บทที่ 5 บังเอิญเกินไปหรือไม่?
เมื่อจื่อหนิงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว อย่างแรกที่นางทำคือการเข้าไปนั่งในร้านน้ำชา เพื่อฟังเรื่องราวที่ผู้คนชอบนำมาเล่าสู่กันฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทั่วไปจนถึงเรื่องของขุนนาง ล้วนมีให้ฟังอยู่เป็นประจำ ซึ่งวันแรกของการหลบหนีออกจากหมู่บ้าน จื่อหนิงก็ได้ฟังข่าวลือเรื่องใหญ่ทันที
“นี่สหายเจ้าว่าใครกันที่กินดีหมีหัวใจเสือ กล้าลักพาตัวซื่อจื่อจากจวนหลี่อ๋องได้”
“ฮ้าย ในความคิดข้านะในจวนของหลี่อ๋อง ต้องมีเกลือเป็นหนอนคบหาคนนอกจวน รอจังหวะที่ทุกคนไว้ใจถึงได้กล้าลงมือเช่นนี้”
“ข้าก็คิดคล้าย ๆ กับพี่ชายท่านนี้นะ แต่สาเหตุของการลักพาตัวซื่อจื่อมาจากอะไรกันแน่ล่ะ”
ขวับ! ขวับ! “ชู่ว์ เรื่องนี้ถ้าพวกเจ้ารู้แล้วต้องปิดปากให้สนิท อย่าได้เที่ยวไปพูดให้ใครฟังพร่ำเพรื่อเด็ดขาด”
“พวกข้ามิใช่คนปากสว่างเสียหน่อย รีบเล่ามาเร็วเข้าสิ”
“ที่จริงแล้วซื่อจื่อคนนี้เป็นบุตรของน้องชายหลี่อ๋อง ซึ่งถูกคนร้ายลอบสังหารพร้อมกับพระมารดาและฮูหยินของตน ผ่านมาหลายปีจนถึงตอนนี้ยังหาตัวผู้บงการไม่ได้ ไหนจะสูญเสียพระบิดาไปในสนามรบอีก หลี่อ๋องที่สืบทอดตำแหน่งจากพระบิดา จึงรับบุตรของน้องชายเป็นบุตรของตน หลังจากนั้นเป็นต้นมาหลี่อ๋องก็ไม่คิดแต่งพระชายาเข้าจวน”
“จริงรึ! ใครกันที่กล้าลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ ครอบครัวของหลี่อ๋องคอยปกป้องชายแดนมานาน ไม่เคยคิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแก่งแย่งในราชสำนัก ข้าว่าอาจจะเป็นคนจากวังหลวงที่ลงมือ ด้วยเกรงกลัวฝีมือและอำนาจทางทหารของหลี่อ๋องมากกว่า”
“ใช่ ๆ ๆ ข้าเห็นด้วย หลี่อ๋องช่างน่าสงสารจริง ๆ หน้าที่ปกป้องชายแดนก็ต้องทำ บุตรของน้องชายก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี แต่ยังมีมือมืดยื่นเข้ามาทำร้ายอีกครั้งจนได้ เฮ้อ สวรรค์ช่างไม่เห็นใจคนดีบ้างเลยรึ”
“เอาล่ะ ๆ เลิกพูดเรื่องนี้เถิด ข้ายังไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวตอนนี้”
บุรุษทั้งสามที่แต่งกายคล้ายนักเดินทาง เปลี่ยนเรื่องพูดคุยไปเรื่องอื่นแทน เนื่องจากกลัวว่าตนเองจะดวงซวยกับเรื่องนี้ แต่สตรีร่างบางที่คล้ายกับว่ามิได้สนใจผู้ใด กลับนั่งนิ่งตั้งใจฟังทั้งสามคนพูดจนจบ และเป็นเสี่ยวถังเป่าที่คิดว่า ตอนนี้มีขาทองคำมาเชิญจื่อหนิงถึงที่
‘จื่อหนิงข้าว่าขาทองคำที่เจ้าอยากได้ คงเป็นหลี่อ๋องผู้นี้อย่างแน่นอน’
‘หา! เสี่ยวถังเป่าเจ้าจะให้ข้าเข้าไปยุ่งเรื่องนี้เพื่อขาทองคำคือหลี่อ๋องผู้นั้นงั้นรึ’
‘ใช่น่ะสิ หากเจ้าสามารถคว้าโอกาสนี้ได้ ในอนาคตย่อมมีสักวันที่หลี่อ๋องเดินทางไปเมืองหลวง ซึ่งเป็นเทศกาลสำคัญที่เชื้อพระวงศ์จะรวมตัวกัน เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะได้แก้แค้นบิดาชั่วนั่นอย่างไรเล่า’
‘โอ้โฮ! เสี่ยวถังเป่าเจ้าช่างเชี่ยวชาญเรื่องนี้จริง ๆ พอคิดดี ๆ แล้วก็จริงอย่างที่เจ้าพูดมาเหมือนกัน ได้ ข้ายินดีทำสุดความสามารถในการช่วยเหลือซื่อจื่อ เพื่อขาทองคำที่มีอำนาจในมืออย่างหลี่อ๋อง อื้อ’
‘ส่วนเรื่องจะตามหาตัวซื่อจื่อได้อย่างไรนั้น ข้าว่าพวกเราคงต้องเดินทางไปเมืองชางอัน เพราะเมืองนี้เป็นเมืองการค้าระหว่างแคว้น คนที่ลักพาตัวซื่อจื่อหากไม่สังหารทิ้ง ก็ต้องนำตัวไปขายยังต่างแคว้นเท่านั้น’
‘เช่นนั้นจะรอช้าอยู่ไยพวกเรารีบไปเมืองชางอันเถิด หากชักช้าอาจไม่ทันการณ์เอาได้’
‘อืม แต่พวกเราต้องออกไปนอกเมืองเสียก่อนนะ ทำเหมือนตอนที่เดินทางมายังตำบลหลานฮวาน่ะ’
‘เข้าใจแล้ว’
จื่อหนิงจ่ายค่าน้ำชาและลุกออกจากร้านเงียบ ๆ เพื่อไปยังชายป่านอกตำบลตรงจุดที่นางให้มิติพามา หลังจากมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ นางก็หายตัวเข้าไปในมิติทันที ก่อนจะสั่งมิติวิเศษให้พาไปสถานที่ใกล้เขตเมืองชางอัน
ซึ่งเป็นความบังเอิญหรือนางดวงดีก็ไม่อาจทราบได้ เพราะสถานที่ที่จื่อหนิงโผล่ออกจากมิติ กลับเป็นอำเภอที่คนร้ายลักพาตัวเด็กน้อยเดินทางมาถึงพอดี
‘มิติวิเศษพาข้าไปบริเวณที่ใกล้เมืองชางอันมากที่สุด’
‘ถึงแล้วล่ะจื่อหนิงรีบออกไปกันเถิด ข้ารู้สึกว่าเด็กน้อยคนนั้นคงอยู่ไม่ไกลเท่าใดนัก’
“อืม รบกวนเจ้าใช้ความสามารถในการบำเพ็ญเพียร ช่วยเหลือเด็กน้อยเพื่อทำความดีด้วยก็แล้วกัน”
จื่อหนิงก็คิดเช่นเดียวกับเสี่ยวถังเป่า นางคิดว่าคนร้ายจะรีบร้อนเดินทางไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นอาจเผยพิรุธจนถูกทหารจับได้ ดังนั้นการเดินทางและหยุดพักไปเรื่อย ๆ คล้ายคนกำลังย้ายเมือง ย่อมเป็นทางออกของคนร้ายกลุ่มนี้อย่างแน่นอน
จากที่จื่อหนิงเคยดูซีรี่ย์แนวโบราณมาบ้าง นางจึงฉุกคิดถึงสถานที่ที่คนร้ายชอบใช้ซ่อนตัว หากไม่เป็นอารามร้างนอกเมือง ก็ต้องเป็นโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ที่เจ้าของไม่สนใจอย่างอื่นนอกจากเงิน ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้ เมื่อเสี่ยวถังเป่าได้ยินเสียงบุรุษสองสามคน พูดถึงเรื่องการนำตัวเด็กน้อยออกจากแคว้นหลงอวิ๋น
‘จื่อหนิงข้าได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน เกี่ยวกับเรื่องของซื่อจื่อจวนหลี่อ๋อง ที่สำคัญคนเหล่านั้นยังอยู่ในอารามร้างด้านหน้า ห่างจากที่เจ้ากับข้าอยู่ราว ๆ สามจั้ง’
“แต่ตอนนี้ยังสว่างอยู่มากหากจะลงมือช่วยคน คงต้องใช้ยาสลบกับพวกเขาเท่านั้น เอาเช่นนี้พวกเรากลับเข้าไปในมิติก่อน รอข้านำสมุนไพรมาทำยาสลบแล้ว เจ้าค่อยเอาไปใส่ในกองไฟนะเสี่ยวถังเป่า”
‘อืม ทำตามแผนของเจ้าน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้วล่ะ’
เมื่อตัดสินใจจะลงมือในยามพลบค่ำ ทั้งสองจึงกลับเข้าไปอยู่ในมิติอีกครั้ง และจื่อหนิงก็เริ่มทำยาสลบจากสมุนไพรทันที จนกระทั่งเวลาผ่านไปเข้ายามซวี เสี่ยวถึงเป่ารับห่อยาสลบมาเก็บไว้ในมิติของตน เมื่อออกมาด้านนอกมิติจื่อหนิงจึงรออยู่หลังพุ่มไม้ โดยให้เสี่ยวถังเป่าจัดการตามที่คุยกันไว้
ไม่ถึงหนึ่งจิบชาเสี่ยวถังเป่าก็วิ่งกลับมา เพื่อตามจื่อหนิงให้เข้าไปช่วยเด็กน้อย ซึ่งนอนหมดสติจากการสูดควันยาสลบเข้าไป เช่นเดียวกับคนร้ายอีกสามคนที่ร่างกายกำยำ ยังต้องพ่ายแพ้ให้กับสูตรยาสลบของจื่อหนิง
หลังจากเข้ามาในอารามร้างและได้เห็นร่างเล็ก ๆ ที่นอนหมดสติอยู่ซูบผอมลงเล็กน้อย จื่อหนิงจึงรีบเข้าไปอุ้มไว้ในอ้อมแขนทันที “โธ่เอ้ย เด็กก็ตัวเท่านี้เหตุใดพวกผู้ใหญ่ถึงได้ใจร้ายกับเจ้านัก คงตกใจมากสินะที่จู่ ๆ ก็ถูกคนแปลกหน้าพาตัวมาเช่นนี้ รู้สึกว่าตัวจะเริ่มรุม ๆ เหมือนจะเป็นไข้ ไม่เป็นไรมีพี่สาวอยู่ทั้งคนเจ้าต้องมีสุขภาพแข็งแรงได้แน่”
‘จื่อหนิงรีบไปจากที่นี่กันเถิด จะได้เดินทางไปให้ไกลจากอำเภอหลันเถียนเสียก่อน เด็กคนนี้ก็โตพอจะพูดจาตอบโต้ได้แล้ว ไว้ฟื้นคืนสติค่อยถามไถ่เส้นทางไปจวนหลี่อ๋องทีหลัง’
“อืม”
จื่อหนิงยังคงใช้วิธีเดิมอีกครั้ง ด้วยการเคลื่อนย้ายผ่านมิติวิเศษ และครั้งนี้นางขอมายังอำเภอที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลที่นางสามารถหาเช่ารถม้า เพื่อเดินทางพาเด็กน้อยกลับจวนหลี่อ๋อง
ซึ่งยามนี้เจ้าของจวนอย่างหลี่อ๋องหลี่เจิ้งหาน กำลังมีโทสะหลังจากคนของตนถูกคนร้ายลวงไปผิดเส้นทาง ทำให้คลาดกันกับคนร้ายอีกกลุ่มหนึ่ง หลี่อ๋องแม้จะมั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้น ต้องเกี่ยวข้องกับใครบางคนในวังหลวง แต่ตราบใดที่ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ก็ไม่อาจด่วนสรุปว่าใครเป็นคนร้ายตัวจริงได้