รับรู้ถึงความต่างชั้น
"ทะ…ท่าน…'' เเม้เเต่ในตอนนี้ เจ้าสำนักเขาเขียวยังต้องเคารพข้า ไม่แปลกที่ข้าจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ เพราะมีอาจารย์เป็นถึงเซียนสวรรค์ หลังจากนี้ถ้าหากใครจะทำอะไรคนรอบตัวข้าล่ะก็ต้องคิดกันดีๆสักหน่อย…
"ข้ามีธุระ…ดูเเลตัวเองด้วย'' ข้าหันไปกล่าวกับหลิวหลิงถิงก่อนจะเดินผ่านทั้งพวกปราบมารเเละคนของขุนนางสวรรค์ไป โดยที่พวกเขาได้เเค่คุกเข่าขออภัยข้า ในตอนนี้ข้าเป็นอำนาจที่สองที่สามารถขัดแผนการของขุนนางสวรรค์ได้ เขาเป็นเพียงร่างทรงของเหล่าเซียน เเต่ข้าเป็นถึงศิษย์ของเซียนจริงๆที่จะสามารถตามอาจารย์ขึ้นไปเป็นเซียนด้วยการชี้เเนะของเขาเป็นเเน่ ทุกคนจึงไม่อยากมีเรื่องกับข้าในตอนนี้เพราะพวกเขาจะต้องไปสืบเบื้องหลังของข้ามาก่อน ว่าอาจารย์ของข้าเป็นใคร
เเต่ด้วยพลังที่บริษุทธิ์ของปานโพธิ์ดำ อย่างน้อยคนที่เห็นเเละได้สัมผัสออร่าที่มันแผ่ออกมา จะต้องคิดได้อย่างน้อยว่าอาจารย์ของข้าอยู่เหนือเซียนสวรรค์ไปซะอีก เเม้เเต่ระดับมหาเทพก็ยังไม่ดูบริษุทธิ์เเละมีเอกลักษณ์เช่นนี้ อาจจะเหนือกว่าระดับอมตะด้วยซ้ำ เเต่นั่นคือสิ่งที่พวกเขาเผ่าเซียนคิด ไม่ใช่เซียนจริงๆ ถ้าเหล่าเซียนเห็นมีหวังต้องก้มกราบกันเเน่นอน
หลังจากนั้นข้าก็ได้ออกไปจากโลกเเห่งเซียนโดยที่ไม่ได้เเวะหาครอบครัว เพราะข้ารู้สึกเหมือนกำลังถูกจ้องมองจากบนฟ้า ทำให้ข้าต้องรีบเพิ่มพลังของตนเองมากที่สุด ในเขตเผ่าเซียนพวกมันอาจจะจ้องมองข้าจากบนฟ้าได้ เเต่ถ้าหากอยู่โลกภายนอกพวกมันไม่สามารถเห็นข้าได้เเน่นอน
"อีกไม่นานเเล้ว…ที่ข้าจะได้ใช้ชื่อจริงของข้าสักที'' ข้ากล่าวกับตนเอง ข้าเองก็ขัดใจเล็กน้อย อุตส่าห์จะสร้างชื่อโพธิ์ดำ กลับกลายเป็นศิษย์เซียนสวรรค์ซะอย่างนั้น เเถมศิษย์เซียนสวรรค์คนอื่นก็ไม่ได้ถูกเรียกเช่นข้า พวกเขาถูกเรียกด้วยตำเเหน่งเดิม ส่วนข้าที่เป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งจึงถูกเรียกศิษย์เซียนสวรรค์บ่อย
เมืองหลวง
"เจ้าว่าเช่นไรนะ?…ข้ามิไป…ข้าเคยบอกเขาเเล้วว่าข้าไม่ได้อยากจะเป็นเเม่ทัพ'' ข้ากล่าวกับหลินเฟยเฟิ่ง เมื่อฮ่องเต้รับรู้ว่าข้ากลับมา เขาก็เรียกข้าเข้าเฝ้าทันที เขาพยายามจะดึงข้าให้เป็นเเม่ทัพ อยู่ในราชการต่อ
"พี่ใหญ่…เเต่มีเพียงท่านที่มีพละกำลังอันเเข็งเเกร่ง''
"ในตอนนี้เมืองเฟยเทียนกำลังเผชิญศึกหนัก''
"ทั้งแผ่นดินต้องการให้ท่านช่วย!'' หลินเฟยเฟิ่งตอบกลับข้ามาทันที
"เจ้าไปท่องบทที่พ่อเจ้าพูดมางั้นหรือ?'' ข้ากล่าวถามนางกลับก่อนจะหันหน้าหนี
"ฮึๆ…อย่าว่าท่านพ่อข้าสิ'' นางหัวเราะที่ได้ปั่นหัวข้า
"อีกอย่างมีเจ้าอยู่ก็พอเเล้วมิใช่เหรอ?''
"ไฟของเจ้า…สามารถกำจัดพวกมันเป็นวงกว้างได้'' ข้ากล่าวเข้าเรื่องที่ข้ามาหานาง เราเคยพูดกันเเล้วว่าเมื่อข้ากลับมาข้าจะพานางไปภูเขาไฟสวรรค์ เพื่อที่นางจะได้เพิ่มความรุนเเรงธาตุไฟของนางเเละยังสามารถยกระดับบ่มเพาะของนางได้อีกด้วย
"ท่านก็พูดเกินไป…ไฟของข้ายังไม่สามารถทำอันตรายกับท่านได้เลย''
"เเล้วกับอสูรพวกนั้นไฟของข้าจะทำอะไรพวกมันได้กัน?'' นางกล่าวก่อนจะเล่นไฟบนมือของตน
"ที่ผ่านมาเจ้ามองข้าเป็นตัวอะไรกันเเน่?'' ข้ากล่าวถามนางเมื่อข้าสับสนกับคำกล่าวของนาง
"ถ้าข้าบอกว่าเป็นเทพอสูรท่านพี่จะเชื่อไหม?'' หลินเฟยเฟิ่งกล่าวถามข้ากลับเช่นกัน
"หน้าตาอย่างข้า?''
"เจ้าไปเตรียมของได้เเล้ว…พรุ่งนี้เราจะออกเดินทาง'' ข้ากล่าวเพื่อไม่ให้นางมาปั่นหัวข้าอีก ซึ่งนางก็หัวเราะคิกๆออกมาอย่างน่าหมั่นไส้
"เเล้วเจ้า?…เหตุใดยังไม่กลับนิกายของเจ้าอีก?'' ข้ากล่าวถามเกาหลิ่งเหวิน เขายังคงอยู่ที่เมืองหลวงเเละนังฟังพวกข้าเมื่อครู่อยู่ด้วย
"ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ท่านพ่ออยู่คุยกันก่อนสักสามวัน'' เกาหลิ่งเหวินกล่าวออกมาด้วยท่าทางเบื่อหน่าย
"ฝ่าบาทคงจะเหงา…เเล้วเพราะอะไรเจ้าถึงทำท่าน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้?'' ข้ากล่าวถามต่อเมื่อเขาเอาเเต่นั่งฟุบบนโต๊ะเเละเล่นกิ่งไม้ใบไม้ไปเรื่อย
"ในกองทัพไม่มีใครสู้วิชาดาบข้าได้สักคน…'' เขากล่าวออกมาอย่างเซ็งๆ
"เเม่ทัพหลิ่งกวางล่ะ?'' ข้ากล่าวถามเขาต่อ
"พวกเเม่ทัพส่วนใหญ่ตอนนี้ไปเมืองเฟยเทียนซะหมดเเล้ว'' เขากล่าวออกมาเเละยังคงมีท่าทางเช่นเดิม เเสดงว่าพวกระดับสูงส่วนใหญ่ก็ไปที่นั่นเช่นกัน จึงไม่มีคนที่มีความสามารถระดับเกาหลิ่งเหวินสักคน ที่จริงจะว่าไปหลิ่งจีอาจจะพอรับมือกับเขาได้
"ถ้าหากเจ้าเบื่อมากก็ไปสนามประลองกับข้า'' ข้ากล่าวเมื่อทนเห็นท่าทางของเขาไม่ไหว
"ข้ายังไม่สู้กับพี่ใหญ่หรอก'' เขาตอบกลับมาทันที
“อะไร?…เจ้ามีดาบของท่านอาจารย์อยู่"
“ข้าเเค่อยากจะรู้ว่าดาบดาวตกหรือดาบทมิฬของข้า"
"ดาบเล่มไหนจะเเข็งกว่ากัน'' ข้ากล่าวด้วยความอยากรู้ ที่จริงเมื่อข้าได้จับดาบทมิฬครั้งเเรกข้าก็คิดเรื่องนี้เเล้ว
"ดาบดำของท่านนะหรือ?''
"เช่นนั้นก็ได้'' เขาตอบตกลงเเละลุกขึ้นพร้อมกับข้าเเละเขาที่พากันเดินไปที่สนามประลอง
ณ สนามประลองกองทัพ
"คารวะ!…ท่านศิษย์เซียนสวรรค์ลำดับที่หนึ่ง!''
"คารวะ!…ผู้สืบทอดนิกายกระบี่เทพ!'' ยามทั้งสองเคารพให้กับข้าเเละเกาหลิ่งเหวิน ซึ่งตั้งเเต่ข้าออกมาจากโลกเซียนข้าก็ได้ใช้ร่างเล่อป๋อเเละสวมหน้ากากโพธิ์ดำเช่นเดิม จากที่ข้าคิดพวกมันจะต้องมาตามดูข้าอีกเเน่ เพราะยังมีอีกข้อนึงที่พวกมันยังไม่สามารถไขข้อสงสัยได้ นั่นก็คือร่างผู้ชายที่เล่อปิงแปลงกายคือใคร? และพวกมันเริ่มขุดคุ้ยเรื่องของหลี่เล่อป๋ออีกครั้ง
"ไม่มีใครสู้นางได้เลยงั้นหรือ?''
"ช่างเเข็งเเกร่งสมกับเป็นธิดาของเเม่ทัพหลิ่งกวางจริงๆ!'' ทหารทุกนายพากันสรรเสริญหญิงสาวคนนึงที่เพิ่งจะเอาชนะหัวหน้าหน่วยคนนึงไป
"หลิงจี…'' เกาหลิ่งเหวินกล่าว
"นางอยู่ที่นี่ด้วยงั้นหรือ?'' พร้อมกับกล่าวออกมาด้วยความสงสัย เพราะที่ผ่านมาหลายวันเกาหลิ่งเหวินก็ไม่ได้พบกับนางมาก่อน
"ข้าอยากไปร่วมสงครามด้วย!…เพราะอะไรกันนะท่านพ่อถึงส่งข้ากลับ!'' หลิ่งจีกล่าวกับตนเองเบาๆ ซึ่งเธอเพิ่งจะโดนส่งตัวกลับมาหลังจากที่แอบขึ้นรถเสบียงไปเเละถูกจับได้ หลิ่งกวางจึงส่งตัวนางกลับมาทันที
"ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้ลองดาบเเล้วสิ'' ข้ากล่าวเมื่อได้เห็นท่าทางตื่นเต้นของเกาหลิ่งเหวินราวกับเขาเพิ่งจะถูกเติมไฟสู้
"ถ้าหากเจ้าเเพ้นาง…เรื่องที่ข้าสอนวิชาดาบให้เจ้าอย่าบอกกับใครเด็ดขาด'' ข้ากล่าวกับเกาหลิ่งเหวินก่อนจะเดินไปยังที่นั่งผู้ชม ซึ่งมันไม่ได้อยู่ใกล้ลานประลอง เเต่มันอยู่ไกลพอสมควร เเต่มันก็ไม่ได้มีผลกับข้า ข้าใช้ปราณเสริมการมองเห็นเอาก็ได้
"พี่ใหญ่…ท่านนี่มัน…'' เขากล่าวพลางยิ้มบางๆไปด้วยก่อนจะเดินไปยังลานประลอง
"ไม่ทราบว่าเเม่นางยังสู้ต่อหรือไม่?'' เพียงเเค่เขากล่าวออกไปทหารทุกคนก็จ้องไปที่เขาทันที
"คารวะผู้สืบทอดนิกายกระบี่เทพ!'' ทหารทุกคนพากันทำความเคารพเกาหลิ่งเหวิน ยกเว้นหลิ่งจี
"มาสิเจ้าขึ้นมาสู้กับข้าหน่อย'' หลิ่งจีกล่าวก่อนจะใช้ดาบจริงของนาง เเละส่งดาบของกองทัพคืนให้กับพวกทหาร
วึบ
"โอ้ว…'' เหล่าทหารเมื่อได้เห็นดาบดาวตกพวกเขาถึงกับอ้าปากค้างด้วยความสวยงามของมัน ออร่าที่มันปล่อยออกมามันน่ามองมากๆ
"เเม่นางหลิ่งจี!…ถ้าดาบของท่านหักข้าให้ยืมกระบี่ของข้าได้นะ!'' ข้าตะโกนออกไปพวกเขาถึงกับหันมามองข้า
"คารวะท่านเเม่ทัพ/ศิษย์เซียนสวรรค์'' พวกเขากล่าวออกมา บางคนยังคงเรียกข้าว่าเเม่ทัพอยู่ทั้งๆที่ตอนข้ากลับมาข้าก็พูดไปเเล้วว่าข้าจะลาออกจาการเป็นเเม่ทัพ
"เจ้า!!!'' เมื่อนางเห็นข้านางถึงกับกำด้ามกระบี่ในมือไว้เเน่น
"เเต่เจ้าจะยกขึ้นมันไหมนั่นก็อีกเรื่อง'' ข้ากล่าว เพราะว่ากระบี่ทมิฬมันหนักจริงๆ เเม้เเต่เกาหลิ่งเหวินเองก็ยังไม่สามารถยกมันขึ้นได้
"เริ่มการประลองได้!'' ทหารคนนึงกล่าวออกมา เขารับหน้าที่เป็นคนส่งสัญญาณ ทั้งสองได้พุ่งเข้าใส่กันทันที
เคร้งๆๆๆ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
"เป็นเพราะอะไรกัน…เเฮ่ก…เเฮ่กๆ'' ที่ผ่านมาหลิ่งจีไม่สามารถทำอะไรเกาหลิ่งเหวินได้เลยเเม้เเต่น้อย
“ท่านฝึกวิชากระบี่ของนิกายกระบี่เทพจากศิษย์หลัก”
"ส่วนข้าฝึกกับตระกูลผู้สร้างวิชากระบี่ในนิกายโดยตรง''
"อีกทั้ง…'' เกาหลิ่งเหวินกล่าวก่อนจะมองมาทางข้า ทำให้หลิ่งจีเข้าใจทันทีว่านอกจากเกาหลิ่งเหวินจะมีเกาเทียนเฉินคอยสั่งสอนเเล้ว ยังมีศิษย์พี่ใหญ่อย่างโพธิ์ดำที่สอนวิชาที่สามารถทำลายวิชาของนิกายกระบี่เทพอีกด้วย นางจะเเพ้ก็มิใช่เรื่องแปลก
"ขอบคุณแม่นางหลิ่งจีมาก'' เกาหลิ่งเหวินคารวะให้กับหลิ่งจีเป็นอันว่าการประลองได้สิ้นสุดลงเเล้ว
"สมเเล้วจริงๆกับคำว่าอัจฉริยะที่เหนือกว่าพ่อของตนเอง'' หลายคนกล่าว ทุกคนรู้ดีว่าเกาเทียนเฉินเจ้านิกายกระบี่เทพรุ่นนี้มีความสามารถมากที่สุดของทุกรุ่นที่ผ่านมา ส่วนในตอนนี้เกาหลิ่งเหวินลูกชายของเกาเทียนเฉินได้เเสดงความสามารถออกมาในวัยเดียวกันกับท่านพ่อของตนเองอย่างเหนือชั้นมากกว่า เพียงเเค่นี้ก็เห็นได้ชัดเเล้วว่าเกาหลิ่งเหวินจะกลายเป็นเจ้านิกายกระบี่เทพที่เเข็งเเกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์
"พี่ใหญ่ท่านลงมาได้เเล้ว!'' เกาหลิ่งเหวินกล่าวเมื่อเขาเพิ่งจะได้ออกเเรง เหงื่อเริ่มออกเขาจึงอยากจะสู้ต่อราวกับเครื่องกำลังร้อนอยู่
"ท่านเกาหลิ่งเหวินจะสู้กับท่านเเม่ทัพโพธิ์ดำงั้นรึ!?'' พวกทหารตกใจมาก เกาหลิ่งเหวินจึงอธิบายว่าเขาไม่ได้มาสู้กับหลิ่งจีเเต่เเรก เขาจะมาสู้กับเเม่ทัพโพธิ์ดำต่างหาก
"ขอให้เจ้าพ่ายเเพ้ตั้งเเต่กระบวนท่าเเรก!'' หลิ่งจีกล่าวพร้อมกับเเลบลิ้นใส่เกาหลิ่งเหวิน
"ท่านอย่าพูดสิ!'' เกาหลิ่งเหวินเมื่อนึกถึงอดีตจึงกล่าวออกมา ทำให้ทุกคนเข้าใจทันทีเมื่อได้เห็นท่าทางของเกาหลิ่งเหวิน เเสดงว่าเขานั้นเคยเเพ้ให้กับเเม่ทัพโพธิ์ดำมาเเล้วในหนึ่งกระบวนท่า เเละมันน่าจะน่าอับอายมากเเน่ๆ
"จริงๆงั้นหรือ?…เจ้าเเพ้เพียงหนึ่งกระบวนท่าจริงๆงั้นหรือ?'' นางกล่าวจบก็หัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
"ในตอนนั้นพี่ใหญ่เอาจริงน่ะสิ'' เกาหลิ่งเหวินกล่าวออกมา นางจึงเงียบลง เเม่ทัพโพธิ์ดำเอาจริงงั้นหรือ? จะเป็นยังไงกันนะ?
‘ข้าไม่ได้เอาจริงซะหน่อย…ในตอนนั้นเจ้ายังเป็นกระบี่เเค่ครึ่งๆกลางๆเท่านั้นหรอก' ข้าคิดในใจก่อนจะเดินลงไปเเละตรงไปที่สนามประลอง
“เเม่นางหลิ่งจี…ที่พ่อของเจ้าไม่ให้เจ้าไปร่วมสงคราม”
"เพราะเจ้ายังอ่อนเเอเกินไป…เเละยังไม่เคยเจอการต่อสู้จริงๆ''
"เเม่ทัพหลิ่งกวางจึงเป็นห่วงท่านเเละคนในกองทัพ'' ข้ากล่าวพลางหยิบดาบธรรมดาๆมาจากที่ตั้งอาวุธ ซึ่งมันมีอาวุธมากมายเต็มไปหมด
"ข้าเคยพบการต่อสู้จริงๆมาเเล้ว!'' นางกล่าวเเย้งข้าเเละมั่นใจในตนเองมาก
คลื่นน
"งั้นหรือ…เเล้วในตอนนั้นเจ้ากดดันแบบนี้หรือเปล่าล่ะ?'' เมื่อข้ากล่าวจบทหารทั่วทั้งสนามประลองก็มือสั่นตัวสั่นกันไปหมด ด้วยเเรงกดดันจากจิตดาบของข้า เพราะในครานี้ข้าถือดาบไม่ใช่กระบี่ จิตดาบจึงรุนเเรงกว่าปกติ หลิ่งจีเองก็สั่นกลัวไปด้วย
"นะ…ในตอนนี้ท่านเเม่ทัพ…เหมือนจะฆ่าเราจริงๆ!'' พวกทหารกล่าวออกมาด้วยความกลัว เพราะนอกจากจะมีจิตดาบของข้าเเล้ว ข้ายังปล่อยจิตสังหารออกไปด้วย มีเพียงเกาหลิ่งเหวินที่ตั้งท่าเตรียมอย่างมั่นคงทำให้ข้าพอใจมาก เขาเองก็เคยรับมือกับสถานการณ์แบบนี้กับข้ามาครั้งสองครั้ง ครั้งเเรกเขาก็คล้ายๆกับหลิ่งจีเเละทหารพวกนี้นี่เเหละ
“ในสงคราม…มันมิใช่การประลองที่เพียงเเค่ใช้ดาบจริงสู้กันหรอกนะ''
"เเต่มันเป็นการต่อสู้ระหว่างเรากับพวกอสูร…พวกมันดุร้ายเเหละโหดร้ายมากๆ''
“ถ้าหากพวกเจ้าได้ลองสู้กับทหารที่เคยผ่านศึกตรงนั้นมา”
"พวกเจ้าจะรับรู้ถึงความต่างชั้นของพวกเขากับพวกเจ้ากันอย่างสิ้นเชิง'' ข้ากล่าวสอนทั้งพวกทหารเเละหลิ่งจี พวกเขาอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องง่ายๆ สู้ไม่ได้ก็ปล่อยให้คนที่เก่งกว่ามาสู้ก็จบ เเต่ในสงครามจริงๆที่เฮียเทพเขาคิดขึ้นมามันลึกล้ำมากกว่านั้น มันเหมือนสงครามจริงๆ เเรงกดดันในสงครามครั้งนั้นก็เหมือนกับได้เอาชีวิตลงไปสู้จริงๆ บางคนกลัวจนต้องออกเกมไปตั้งสติกันก่อนเลยทีเดียว ซึ่งในตอนนี้มันก็เป็นสงครามจริงๆเเล้ว เพราะข้าไม่ได้เล่นเกมเเต่ข้าได้มีชีวิตในเกมที่ข้าเล่นจริงๆ
