ตอนที่ 9 ให้นางไปจวนสกุลจางกับข้า
ช่วงปลายฤดูคิมหันต์ บางวันมีฝนตกให้ได้เห็นเป็นสัญญาณเตือนว่าอีกไม่นานจะเข้าฤดูวสันต์แล้ว วันนี้เมฆหนาตั้งเค้าทำท่าจะตกอีกไม่นานตั้งแต่เช้าตรู่ ลมเย็นผัดเอากรีบดอกโบตั๋นสีเหลือง สัญลักษณ์ของความโชคดีและความรุ่งเรือง ที่ถูกปลูกในกระถางไม้แกะสลักอย่างปราณีตจากบริเวณหน้าต่างเรือนเข้ามาตามสายลม ผ้าแพร่เนื้อดีสีขาวบริสุทธิ์ ที่ถูกตัดเย็บด้วยความปราณีตบัดนี้ถูกสวมโดยร่างใหญ่ช่วยเสริมให้ชายหนุ่มดูสุขุมและน่าเคารพมากกว่าเดิม
“ท่านอ๋อง รถม้าพร้อมแล้วขอรับ”
หมิงเพ่ยเข้ามารายงานผู้เป็นนายที่กำลังแต่งกายอยู่ มือหนายกขึ้นเป็นสัญลักษณ์ให้บ่าวรับใช้ที่ค่อยปรนนิบัติดูแลเครื่องแต่งกายออกไปได้ พร้อมกับเดินไปนั่งบนโต๊ะไม้
“ได้ความว่าเช่นไร”
เสียงใหญ่เอ่ยถาม ขณะที่ยกชาขึ้นดื่มด้วยความใจเย็น
“นางเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาขอรับ บิดาเป็นคนล่าสัตว์ในป่า มารดาอยู่เรือน มิได้ติดต่อกับคนของจวนสกุลใด”
“แล้วเรื่องที่นางรู้หนังสือเล่า”
“นางมิเคยร่ำเรียนขอรับ ดนตรี เดินหมาก วาดภาพ”
“แล้วเป็นไปได้เช่นไรที่นางสามารถ อ่าน เขียนคร่องเช่นนั้น”
ร่างใหญ่เอ่ยพร้อมมองไปยังหนังสือบันทึกเล่มหนึ่งของนางที่พบเห็นว่าตกในเรือนตำรา
“ตั้งแต่นางเกิดมิเคยร่ำเรียนกับผู้ใดขอรับ แต่เมื่อ 7 เดือนก่อนนางป่วยหนักจน…จนมิหายใจแล้วแต่พอเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามนางก็ฟื้นคืนชีพขอรับ เพราะนางเป็นคนเก็บตัวทำให้ชาวบ้านมิรู้ว่ามีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง แต่ข้าสืบมาได้ว่า 7 เดือนมานี้นางมักซื้อกระดาษ พู่กัน แล้วก็หนังสือละครจากร้านขายตำราบ่อยๆ อีกทั้งยังพบว่านางแอบทำขนม ภาพวาด แต่งกลอน ไปฝากสหายนางที่เปิดร้านสุราหน้าจวนท่านอ๋องขายอยู่เพียงไม่กี่คราขอรับ”
“เจ้าจะบอกว่า หลังจากนางตายแล้วฟื้นก็มีท่าทีเปลี่ยนไป อันใดที่ทำมิได้ก็ทำได้ทุกอย่างงั้นหรือ”
“ขะ…ขอรับ”
“ให้นางไปจวนสกุลจางกับข้า”
“ขอรับ”
หมิงเพ่ยเอ่ยจบก็รีบวิ่งออกไป ไม่อยากให้ผู้เป็นนายรอนาน ถึงจะรู้สึกแปลกใจที่ท่านอ๋องมิไล่นางออก จวนแห่งนี้มีหรือจะไม่มีผู้ร้ายหรือสายลับที่ถูกส่งตัวเข้ามา แต่ทุกครั้งก็ถูกกำจัดทิ้งมิเหลือ แค่สงสัยผู้เป็นนายก็ไม่เก็บไว้ที่จวนแห่งนี้เสียแล้ว แต่กับแม่นางหลี่ผู้นี้ที่ทำตัวน่าสงสัยอยู่หลายส่วน มิคิดว่านางจะไม่ถูกไล่ออกแต่กลับให้นางอยู่ข้างกายเช่นนี้ด้วย
.…
หน้าจวนสกุลเว่ย ไม่ว่ายามกลางวันหรือราตรีล้วงมีผู้คนไม่ค่อยพลุ่งพล่านมากนัก เนื่องจากจวนมิได้ตั้งอยู่ใกล้ตลาดมากนักนั้นเป็นเพราะเจ้าของจวนต้องการความสงบ รถม้าคันหรู่ที่ผู้ใดพบเห็นก็ต้องให้ความเคาระชพ แม่ทัพแห่งแคว้นที่คว้าชัยชนะจากการทำศึกมานับไม่ท้วน ถึงแม้เหล่าชาวบ้านจะหวาดกลัวในความโหดเหี้ยมหรืออารมณ์ร้ายจากข่าวนาๆที่ลื่อกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ที่นำความสงบสุขมาให้ชาวบ้านคือผู้ที่น่าหวั่นเกรงท่านนี้
หลี่ซิ่วอิงหลังจากไปถูกตามตัวจากที่เรือนตำราก็รีบตามหมิงเพ่ยมารอผู้เป็นนายที่ข้างรถม้าหน้าจวนก่อนแล้ว เพียงไม่นานก็ปรากฏร่างใหญ่ที่เดินออกมาจากจวน วันนี้เขาส่วมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์อย่างเฉกเช่นที่นิยายกล่าวเอาไว้ ปอยผมดำที่ด้านหน้าพลิ้วไหวตามสายลม ผิวขาวของเขาที่เดิมขาวอยู่แล้ว วันนี้กลับทำให้เขาดูดีราวเทพเซียนก็มิปาน ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้รถม้าก่อนที่จะชายตามองมาทางหญิงสาวที่จ้องเขาตาเป็นมันอย่างไม่อาย
“เอ่อ…เชิญเว่ยอ๋องเจ้าค่ะ”
หลี่ซิ่วอิงหาเสียงของตนเองจนเจอ เมื่อถูกจับได้ว่าตนนั้นมองชายหนุ่มจนเผลอแสดงกริยาที่ไม่เหมาะสมออกไป ร่างใหญ่เดินขึ้นไปนั่งในรถม้าด้วยท่าทีนิ่งเรียบเช่นเลย ใบหน้าเช่นนี้หญิงสาวดูไม่ออกจริงๆว่าในใจเขาคิดเช่นไร ก่อนที่จะขึ้นไปนั่งข้างคนขับรถม้าซึ่งวันนี้คือท่านอี้เฉิน ผู้ช่วยคนสนิทอีกคนของชายหนุ่ม ปกติเขาจะมีผู้ช่วยคนสนิททั้งหมด 4 คน คนแรกคือหมิงเพ่ยส่วนใหญ่เขาจะดูแลเป็นผู้ช่วยข้างกายเรื่องต่างๆเวลาชายหนุ่มอยู่จวน ยู่หลงผู้ช่วยข้างกายยามออกทัพ อี้เฉินและอี๋เจ๋อ สองคนนี้เป็นฝาแฝดกันผู้ช่วยทั่วไป แต่เมื่อออกทัพทั้งสี่คนก็จะติดตามข้างกายผู้เป็นนาย ส่วนยามปกติก็จะแบ่งการทำงงานและดูแลเรื่องต่างๆ เรียกว่าเป็นลูกน้องที่ซื่อสัตย์อย่างมาก ถามว่านางรู้ได้เช่นนั้นไรหรือก็เพราะมีบอกไว้ในนิยายหมดแล้ว
“ท่านอี้เฉิน ปกติเว่ยอ๋องไปข้างนอกมีผู้ติดตามน้อยเช่นนี้หรือ”
หลี่ซิ่วอิวเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ ก่อนหน้าที่นางถูกตามให้ไปคอยรับใช้ก็นึกว่าจะมีบ่าวไปด้วยหลายคน แต่พอมาถึงตอนนี้กลับมีแค่นางกับผู้ช่วยอี้เฉินแค่สองคนเท่านั้น
“ท่านอ๋องมิชอบให้มีคนติดตามมากมาย”
“เจ้าค่ะ แต่เอ๊ะ…เหตุใดท่านถึงเรียนเว่ยอ๋องว่าท่านอ๋อง มิได้เรียกเช่นข้าเหมือนที่แม่นมเหมยสอน”
“หากอยู่นอกจวน ท่านอ๋องให้เรียกเช่นนี้เนื่องจากบางคราก็ต้องออกทัพบ่อยครั้ง เหล่าทหารต่างก็เรียกเช่นนี้จนชินเสียแล้ว”
“เช่นนั้นวันนี้ยามอยู่ข้างนอก ข้าต้องเรียกว่าท่านอ๋องหรือ”
“อื้ม”
อี้เฉินพยักหน้าด้วยท่าทางเป็นมิตร รถม้าใช้เวลาเพียงแค่ 1 เค่อ ก็เดินทางมาถึงจวนสกุลจาง ร่างใหญ่เดินนำเข้าไปก่อนที่อี้เฉินจะนำเทียบเชิญแจ้งให้กับพ่อบ้านที่ยืนอยู่หน้าประตูดู
“คารวะท่านอ๋อง รอสักครู่ขอรับ กระหม่อมกำลังให้บ่าวไปตามนายท่านสักครู่ขอรับ”
พ่อบ้านกล่าวพร้อมเหงื่อตกนิดหน่อย นี่คือท่านอ๋อง เว่ยตงหยางที่ใครๆก็ต่างเกรงกลัวให้ความเคารพ ร่างใหญ่ไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆออกมา ใบหน้าของเขาราบเรียบเช่นเคย มิว่าจะท่าทีหรือกริยาต่างๆ ล้วนดูสูงส่งจนคนที่อยู่บริเวณนั้นต่างเหลียวมองด้วยความชื่นชมมิน้อย
“คารวะท่านอ๋อง จวนข้าเสียมารยาทแล้วที่ให้ท่านอ๋องรอนาน เชิญด้านอ๋องด้านในขอรับ”
จางอู๋ตี๋รีบทำคารวะและเชื้อเชิญให้เข้าไปในงานด้านใน อี๋เฉินทำหน้าที่ดูแลรถม้า ส่วนหลี่ซิ่วอิงเป็นเพียงบ่าวรับใช้มิได้รับอนุญาติให้เข้าไปด้านในงานหลัก แต่มีที่ให้บ่าวรับใช้ร่วมถึงบ่าวรับใช้ของจวนอื่นๆด้วย มาอยู่เวณพื้นที่ๆจัดเอาไว้ ถึงแม้มีขนมและชาต้อนรับไว้อย่างดีสำหรับบ่าวรับใช้ แต่บ่าวจวนอื่นนั้นมีไม่ต่ำกว่าสามคนด้วยซ้ำ ตอนนี้บ่าวจากจวนอ๋องเว่ยมีเพียงนางคนเดียว และไม่ค่อยมีใครกล้าพูดคุยกับนางด้วยทำให้บรรยากาศในห้องโถงนี้ดูหน้าอึดอัดมิน้อย
หลี่ซิ่วอิงนั่งหาวไปแล้วนับสิบครั้งเพราะความน่าเบื่อนี้ กว่าหนึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างยาวนาน หญิงสาวรู้ดีว่าภายในงานหลักมีเหตุการณ์ใดเกิดบ้าง แต่นั้นก็ทำได้แค่นั่งเฉยๆที่นี้และมีบริเวณทางเดินสวนหย่อมด้านหน้าที่สามารถไปได้ ก่อนหน้านี้อากาศด้านนอกห้องโถงร้อนจนทำให้ไม่มีใครออกไปเดินเล่นเลย แต่เพียงชั่วครู่เมฆฝนทำท่าตั้งเค้าเหมือนกำลังจะตกอีกไม่กี่ชั่วยามจึงทำให้อากาศเย็นขึ้นทันตา หลี่ซิ่วอิงจึงตัดสินใจออกไปเดินสูดอากาศด้านนอกบ้าง
“เจ้านี้เอง แม่นางหลี่”
เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง เรียกหญิงสาวให้มองตามไปทันที
” คารวะคุณชาย ข้าเป็นเพียงบ่าวรบกวนคุณชายชมทิวทัศน์เสียแล้ว”
” เดี๋ยวสิ จะไปไหน”
ชายผู้นั้นไม่เอ่ยเปล่าแต่ยังจับแขนหญิงสาวเอาไว้ หลี่ซิ่วอิงรีบสะบัดแขนออกก่อนจะก้าวถอยหลังด้วยความสุภาพ ถึงนางจะโมโหเช่นไรก็ควรไว้หน้าจวนอ๋องเว่ย ไม่อยากให้ใครตราหน้าว่าจวนนี้เลี้ยงบ่าวไม่มีมารยาทไว้ในจวน
“คุณชายคงเมาแล้ว เช่นนั้นบ่าวจะไปตามบ่าวรับใช้ชาย ให้ช่วยมาพาท่านกลับไปนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้อง…”
ชายผู้นี้ไม่เพียงปฏิเสธอย่างเดียวแต่กลับยื่นมือมาจับใบหน้าหญิงสาวเพื่อมองอย่างชัดๆ แต่เพราะเขาเมามาก หญิงสาวจึงสามารถปัดมือออกเบาๆ ก่อนจะรีบถอยห่างออกไปไกลๆ
“เจ้านี้เอง…หึ! ใบหน้าเจ้างดงามกว่าในภาพวาดที่ท่านพ่อข้ามอบให้เสียอีก”
“…”
