ตอนที่ 2 - 1 เรื่องราวในวันวาน
“คุณหนู… ท่านซุกซนอีกแล้วนะเจ้าคะ”
แม่นมซิ่วเปรียบเสมือนมารดาอีกคนของหลูชิงเหลียน เพราะนอกจากทำหน้าที่คอยให้นมยามที่เด็กหญิงยังคงเป็นทารกแล้ว นางยังคอยดูแลหลูชิงเหลียน ราวกับว่าเป็นบุตรสาวอีกคนของตน จิ่งอี๋ก็คือบุตรสาวแท้ๆ ของแม่นม อีกฝ่ายแก่กว่าหลูชิงเหลียนไปเพียงแปดเดือน
“ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าให้คอยดูแลคุณหนูให้ดี หากคุณหนูบาดเจ็บขึ้นมาอีก นายหญิงมิต้องเสียใจอีกหรือ” แม่นมซิ่วหันไปตำหนิบุตรสาวของตน ที่ดูแลรับใช้คุณหนูไม่ดี ปล่อยให้คุณหนูลงไปต่อสู้กับบุรุษในสนามประลอง
ตระกูลหลูนั้นมีบุญคุณต่อนางและบุตรสาว เมื่อสิบสองปีก่อน นางถูกแม่สามีขายให้กับพ่อค้าทาสทั้งๆ ที่นางกำลังตั้งท้องจิ่งอี๋ เป็นหลูฮูหยิน ที่เพิ่งมีครรภ์แล้วเกิดสงสารนาง จึงซื้อตัวนางกลับมา แล้วมอบหน้าที่แม่นมให้กับนาง
มิเช่นนั้นแล้ว ชีวิตของพวกนางในยามนี้ หากไม่อยู่ในหอคณิกา ก็คงจะกลายเป็นทาสอยู่ที่ไหนสักแห่ง ยังจะได้ใช้ชีวิตสุขสบายอยู่เช่นนี้หรือ
“แม่นม…ท่านไม่ต้องตำหนิจิ่งอี๋ เป็นข้าที่นึกสนุกเอง” หลูชิงเหลียนปกป้องจิ่งอี๋ จิ่งอี๋หลบฝ่ามือของมารดาอยู่ทางด้านหลังของคุณหนูด้วยความซาบซึ้งใจ
“คุณหนู…ท่านก็ใจดีกับนางเกินไป ประเดี๋ยวนางก็ลืมตัว ว่านางเป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้ หาใช่พี่สาวหรือสหายของคุณหนูจริงๆ ไม่”
จิ่งอี๋รู้ดีว่ามารดากำลังกล่าวถึงสิ่งใด นางไม่เคยลืมสถานะของตนเอง และยิ่งไม่เคยคาดหวัง ว่าตนเองจะได้เป็นพี่สาว หรือสหายของคุณหนูเลยแม้แต่นิด ฮูหยินมีบุญคุณต่อพวกนาง นางย่อมเทิดทูนคุณหนูไว้เหนือตนเองเช่นกัน
“ท่านแม่…ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้น” จิ่งอี๋น้ำตาคลอ ทำท่าจะคุกเข่าลง ทว่าหลูชิงเหลียนมือไว คว้าสาวรับใช้คนสนิทเอาไว้ ก่อนที่เข่าอีกฝ่ายจะถึงพื้น
“แม่นม…นางเป็นเพียงสาวรับใช้ข้างกายของข้า นางจะกล้าเอ่ยปากห้ามข้าได้อย่างไร หากจะถามหาว่าผู้ใดผิด เรื่องนี้เป็นข้าที่ผิดเอง”
หลูชิงเหลียนไม่เคยโยนความผิดของตนเองให้ผู้อื่น นางเป็นเช่นนี้ จึงทำให้บ่าวรับใช้รักและเคารพนางจากใจ จิ่งอี๋เองก็เช่นกัน แม่นมซิ่วพูดไม่ออก ได้แต่ทอดถอนใจออกมา พลางปรายตามองบุตรสาว แล้วจึงพาคุณหนูกลับเรือนไปอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์
ทุกการกระทำของหลูชิงเหลียน ตกอยู่ในสายตาของหลัวอี้เฉิน มุมปากของเด็กหนุ่มเผลอยกขึ้นสูง ยามที่เขาได้เห็นท่าทีที่นางกางปีก ปกป้องสาวรับใช้คนสนิท นางนับว่าเป็นเจ้านายที่น่าเคารพนับถือจริงๆ
คุณหนูที่มีชีวิตสูงศักดิ์บางคน มีหรือที่จะยอมรับ ว่าสิ่งที่ตนกระทำนั้นเป็นเรื่องที่ผิด มีแต่จะโยนความผิดให้แก่ผู้อื่นเสียด้วยซ้ำ ทว่ากับเด็กหญิงที่อายุเพียงสิบเอ็ดสิบสองปี นางกลับมีความซื่อตรงและกล้าหาญ
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา หลัวอี้เฉินก็ได้้เป็นศิษย์ อยู่ที่สำนักคุ้มภัยต้าฟง เขาร่ำเรียนวรยุทธ์ทุกอย่างที่เจ้าสำนักถ่ายทอดอย่างไม่อิดออด เพราะเขาอยากเป็นขุนนางที่มีความสามารถ มีวรยุทธ์ล้ำเลิศเพื่อใช้ในการปกป้องคนดี ปราบปรามคนชั่ว
สำนักคุ้มภัยต้าฟงนั้น เป็นสำนักที่คอยฝึกฝนยอดฝีมือออกมาสู่ยุทธภพมากมาย และมีศิษย์หลายคน กลายเป็นขุนนางฝ่ายบู๊คอยรับใช้แผ่นดินเกิด หลัวอี้เฉินก็หวังว่าตนจะได้เป็นหนึ่งในนั้น เขาจึงไม่เคยย่อท้อต่อความยากลำบาก
และในการฝึกวรยุทธ์ภายในสำนักคุ้มภัยต้าฟง เขาก็มักจะได้พบเจอกับคุณหนูหลูอยู่บ่อยๆ ทั้งสองกลายเป็นคู่ซ้อมให้กันอยู่หลายปี
จากเด็กน้อยวัยสิบสองในวันนั้น ก็เริ่มเติบโตเป็นหนุ่มสาว และอาจจะเป็นเพราะทั้งสองใช้เวลาส่วนใหญ่ด้วยกัน จึงทำให้เกิดมีความรู้สึกดีๆ ให้กันและกัน ทั้งสองได้ตัดสินใจคบหาดูใจกันและกัน หลังจากพิธีปักปิ่นของหลูชิงเหลียนผ่านพ้นไป โดยที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ต่างก็รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของเด็กทั้งสอง
“พวกเราหมั้นหมายกันเอาไว้ก่อนดีหรือไม่ หลังจากที่ข้าสอบคัดเลือกได้เป็นขุนนางแล้ว พวกเราค่อยแต่งงานกัน” จู่ๆ หลัวอี้เฉินก็ถามหลูชิงเหลียนออกมา อีกฝ่ายกำลังรินน้ำชาให้เขา นางรินน้ำชาจนล้น จ้องหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“อุ้ย!!! มะ…เมื่อครู่ท่านว่าสิ่งใดนะ” หลูชิงเหลียนอุทานก่อนที่จะถามเขาออกมา
น้ำชาที่นางเทนั้นล้นแก้วออกมาจนไหลมาถูกอาภรณ์ของอีกฝ่าย จิ่งอี๋รีบนำผ้ามาส่งให้คุณหนูอย่างรู้ความ หลูชิงเหลียนจึงส่งให้หลัวอี้เฉินพร้อมทั้งกล่าวขออภัย เขาเพียงฉีกยิ้มออกมาแล้วรับผ้าไปเช็ดลงบนอาภรณ์ของตน
“ข้าบอกว่า ก่อนที่ข้าจะไปสอบจิ้นซื่อ พวกเราหมั้นหมายกันเอาไว้ก่อนดีหรือไม่”
ครานี้หลูชิงเหลียนได้ยินอย่างชัดเจน แม้แต่จิ่งอี๋เองก็ได้ยินเช่นกัน นางกลั้นยิ้ม รู้สึกยินดีไปกับคุณหนูของตนอยู่ไม่น้อย เพราะนางเองก็เห็นคุณหนูกับชายหนุ่มสนิทสนมกันมาตั้งแต่เยาว์วัย หากจะลงเอยกันย่อมไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอันใด จิ่งอี๋หลบออกไปยืนอยู่ไกลๆ ปล่อยให้สองหนุ่มสาวได้พูดคุยกัน
“ทะ..ท่านแน่ใจแล้วหรือ”
หลูชิงเหลียนถามชายหนุ่ม นางเป็นสตรีที่ไม่เหมือนสตรี ไม่มีความนุ่มนวลอ่อนหวาน ไม่ถนัดงานสตรีถนัดแต่งานที่ใช้กำลัง เย็บปักพอได้แต่จัดดอกไม้ไม่ไหว
“แน่ใจสิ หากไม่ใช่เจ้าแล้ว ข้าย่อมไม่อยากแต่งกับผู้ใด" หลัวอี้เฉินวัยสิบแปดปีกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หลูชิงเหลียนใบหน้าเห่อร้อน รู้สึกเขินอายต่อคำพูดของเขายิ่งนัก นางรู้ดีว่าเขานั้นพูดจาเป็น อีกทั้งยังเป็นคนที่อ่อนโยน และชอบเอาใจใส่
ยามที่นางได้รับบาดเจ็บเขามักจะคอยช่วยทำแผลให้ นางอยากกินสิ่งใดหรือชอบสิ่งใด เขาก็พยายามที่จะหามาให้นาง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ได้พิสูจน์แล้ว ว่าเขาจะเป็นสามีที่ดีของนางได้ไม่ยาก
หญิงสาววัยแรกแย้มพยักหน้าเป็นคำตอบ หลัวอี้เฉินดีใจจนน้ำตาไหลลงมา เพียงแค่นางยอมหมั้นหมายกับเขา เขาก็รู้สึกว่าชีวิตนี้เขาโชคดีแล้วที่ได้เกิดมา แม้สถานะจะไม่สูงส่ง ไม่ใช่คุณชายที่เกิดในตระกูลขุนนางเหล่านั้น นางก็ไม่เคยนึกที่จะรังเกียจเขา
หลังจากนั้นไม่นาน ตระกูลหลัวก็ได้ส่งของหมั้นมายังสำนักคุ้มภัยต้าฟง หลูชิงหลง เจ้าสำนักคุ้มภัยยิ้มออกมาด้วยความยินดี ที่ลูกศิษย์คนโปรดมาขอหมั้นหมายบุตรี ก่อนที่อีกฝ่ายจะขอตัวไปสอบจิ้นซื่อที่เมืองหลวง นั่นหมายความว่า หลัวอี้เฉินนั้นจริงใจต่อตระกูลหลู เขาให้ความมั่นใจแก่หลูชิงเหลียนว่า หากเขาสอบผ่านเขาจะมาสู่ขอนาง
หลูฮูหยินก็รู้สึกยินดีเช่นกัน เพราะเห็นอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ว่าตระกูลหลัวจะไม่ใช่ตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ มีอาชีพเป็นเพียงพ่อค้า ทว่าพวกเขากลับคลอดบุตรชายที่มีความสามารถออกมาหนึ่งคน อนาคตของตระกูลย่อมสดใสอย่างแน่นอน
หลังจากการสอบพ้นผ่านไป ข่าวความคืบหน้า ในการสอบขุนนางจากเมืองหลวงก็มาถึงเมืองต้าฟง ความยินดีของตระกูลหลูไม่มีสิ้นสุด เพราะปีนี้ลูกศิษย์จากสำนักคุ้มภัยต้าฟง สอบผ่านจิ้นซื่อได้อยู่หลายคน แต่คนที่ทำให้ท่านเจ้าสำนักยินดีเป็นที่สุด นั่นก็คือว่าที่ลูกเขยของเขา
หลัวอี้เฉินได้รับตำแหน่งเล็กๆ อย่างตำแหน่งมือปราบ อยู่ในเมืองต้าฟง แต่ถึงอย่างไรเขาก็นับได้ว่าเป็นขุนนางแล้ว ตระกูลหลัวมีหน้ามีตาขึ้นมา ผู้คนเริ่มไปมาหาสู่มากมาย และไม่นานจวนตระกูลหลัวก็มีงานมงคล บุตรชายตระกูลหลัวแต่งสะใภ้สกุลหลูเข้าจวนในปีนั้น สองสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว บิดามารดาฝั่งสามีเอ็นดูลูกสะใภ้ยิ่งกว่าลูกในไส้ของตน ชีวิตคู่ของสองหนุ่มสาวเริ่มต้นขึ้นอย่างมีความสุข…
