1
“ประธานหลินคะ สัญญาฉบับนี้”
เสียงแหลมสูงของเลขาทำให้หลินซูเม่ยละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์ที่สว่างวาบ หญิงสาวในวัยสามสิบต้นๆ ยกมือขึ้นนวดขมับที่เต้นตุบๆ ความเหนื่อยล้าสะสมมาหลายสัปดาห์จากการเทคโอเวอร์บริษัทคู่แข่ง เธอทำงานหามรุ่งหามค่ำจนแทบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน
“วางไว้ก่อน เดี๋ยวฉันจัดการเอง” เธอบอกปัดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
ชีวิตของหลินซูเม่ย นักธุรกิจหญิงแกร่งแห่งศตวรรษที่ 21 ก็เป็นเช่นนี้ เธอปีนป่ายจากเด็กสาวบ้านนอกจนกลายเป็นซีอีโอของบริษัทมูลค่าหลายพันล้าน แลกมันมาด้วยหยาดเหงื่อ เวลา และชีวิตส่วนตัวที่ว่างเปล่า
เอี๊ยดดดดดดด โครม
เสียงกรีดร้องของยางรถยนต์ที่บดขยี้ไปกับพื้นถนนดังขึ้นพร้อมกับแรงกระแทกมหาศาล ร่างของเธอที่นั่งอยู่เบาะหลังของรถยนต์ประจำตำแหน่งกระเด็นอัดเข้ากับเบาะหน้าอย่างรุนแรง เศษกระจกแตกกระจายเหมือนหิมะในพายุ ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วร่าง ก่อนที่สติสัมปชัญญะสุดท้ายของเธอจะดับวูบลงพร้อมกับภาพสุดท้ายภาพของเอกสารสัญญาที่เปื้อนเลือด
ความมืด ความเงียบ และความว่างเปล่า
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่หลินซูเม่ยล่องลอยอยู่ในความมืดมิดนั้น จนกระทั่งแสงสว่างริบหรี่เริ่มปรากฏขึ้นพร้อมกับเสียงทะเลาะวิวาทที่ดังเข้ามาในโสตประสาท
“จะเอาเงินที่ไหนไปหาหมออีก แค่ยาต้มที่จ่ายไปก็แทบจะหมดตัวแล้วนะ”
เสียงแหลมสูงของผู้หญิงมีอายุคนหนึ่งดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด
“เป็นแค่เด็กผู้หญิง ป่วยแค่นี้ก็ทำเป็นสำออย ถ้ามันจะตายก็ให้มันตายไปสิ ถือว่าเป็นเวรเป็นกรรมของมัน”
“ท่านแม่ ท่านพูดอย่างนั้นได้ยังไง นั่นเยว่เยว่ ลูกสาวของข้านะ” เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งตอบกลับอย่างเจ็บปวด แต่กลับแฝงไว้ด้วยความลังเลและอ่อนแอ
“ลูกสาวแล้วจะทำไม สินค้าขาดทุน เลี้ยงไปก็ต้องแต่งออกไปเป็นคนของบ้านอื่นอยู่ดี สู้เก็บเงินไว้ซื้อปุ๋ยให้ไร่นา หรือเก็บไว้ให้หลานชายคนโตของข้าซื้อเสื้อผ้าใหม่ยังจะดีกว่า”
หลินซูเม่ยพยายามจะลืมตาขึ้น แต่เปลือกตาของเธอกลับหนักอึ้งราวกับมีหินถ่วง ร่างกายร้อนเหมือนไฟเผา หายใจติดขัด และเจ็บปวดไปทุกอณู นี่มันไม่ใช่โรงพยาบาลแน่ๆ กลิ่นที่เธอได้สัมผัสคือกลิ่นอับชื้นของดิน กลิ่นยาต้มสมุนไพรราคาถูก และกลิ่นสาบของเสื้อผ้าที่ไม่ค่อยได้ซัก
ในที่สุด เธอก็รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีปรือตาขึ้นมาได้ ภาพที่เห็นทำให้สมองที่เคยปราดเปรื่องของเธอว่างเปล่าไปชั่วขณะ
นี่ไม่ใช่ห้องพักวีไอพีในโรงพยาบาลหรู แต่เป็นห้องแคบๆ หลังคาทำจากคานไม้สีดำคล้ำ ผนังดินเหลืองถูกแปะทับด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าจนกลายเป็นสีชา บนหัวของเธอมีเพียงหลอดไฟไส้สีเหลืองสลัวดวงหนึ่งที่ให้แสงสว่างเพียงริบหรี่
ทันใดนั้นเอง ความทรงจำที่ไม่ใช่ของเธอก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวราวกับเขื่อนแตก
เด็กหญิงเจ้าของร่างนี้ชื่อ "หลินเยว่" อายุเพียงห้าขวบ เธอป่วยเป็นไข้หนักมาหลายวันแล้ว พ่อของเธอ "หลินเจี้ยนกั๋ว" และแม่ "หลิวซูเฟิน" พยายามหาเงินมารักษา แต่เงินที่ได้มาก็แทบไม่พอยาไส้ในยุคสมัยที่ทุกอย่างขาดแคลนเช่นนี้ ยุค 1980
ใช่แล้วจากบทสนทนาและสภาพแวดล้อมที่เห็น นี่คือประเทศจีนในยุค 80 ชัดๆ ยุคที่ข้าวยากหมากแพง ยุคที่ผู้คนยังต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด
เสียงแหลมสูงที่เกรี้ยวกราดนั้นคือย่าของเธอ
"ย่าจาง" หญิงชราที่รักและลำเอียงต่อลูกชายคนโตกับหลานชายอย่างออกนอกหน้า และมองครอบครัวของหลินเจี้ยนกั๋วซึ่งเป็นลูกชายคนรองเป็นเพียงวัวม้าไว้ใช้งาน
หลินซูเม่ยไม่สิ ตอนนี้คือหลินเยว่อยากจะหัวเราะให้กับการเล่นตลกของโชคชะตา เธอทำงานหนักแทบตายเพื่อหนีจากความจน แต่สุดท้ายสวรรค์กลับส่งเธอทะลุมิติมาอยู่ในร่างเด็กน้อยที่กำลังจะตายเพราะความจน
เสียงสะอื้นไห้แผ่วเบาของหลิวซูเฟินดังมาจากนอกห้อง
“ท่านแม่ได้โปรดเถอะค่ะ ช่วยลูกของข้าด้วย”
“ช่วยรึ เอาอะไรไปช่วย พวกแกสองคนก็มีปัญญาแค่นี้แหละ หาเงินก็ไม่เก่ง ยังจะมามีลูกสาวให้เป็นภาระอีก” ย่าจางตวาดกลับอย่างไม่ใยดี
“ข้าจะไปยืมเงิน ข้าจะไม่ยอมให้ลูกสาวของข้าตายเด็ดขาด” เสียงของหลินเจี้ยนกั๋วตะโกนขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะมีเสียงฝีเท้าวิ่งออกไปจากบ้าน
หลินเยว่หลับตาลงอีกครั้ง ความร้อนจากไข้ยังคงแผดเผา
แต่ที่หนาวเหน็บกว่าคือหัวใจของเธอ เธอรอดจากอุบัติเหตุรถชนเพียงเพื่อมาตายด้วยไข้หวัดธรรมดาๆ ในยุคที่ล้าหลังนี้อย่างนั้นหรือ
