ตอนที่ 6 เมียเจ้าโจว
หลิวซิ่วมาตั้งแต่เช้าเพื่อชวนรั่วหลานไปที่หลังภูเขา เพราะที่แห่งนั้นมีทั้งต้นครามและฝ้ายที่ขึ้นเองตามธรรมชาติมากมาย คนในหมู่บ้านเกาสุ่ยมักไปเก็บครามมาย้อมผ้า เก็บฝ้ายมายัดหมอน ยัดผ้าห่มให้หนา ใช้อุ่นกายยามหน้าหนาว
ทั้งสองแบกกระบุงคนละใบ รั่วหลานพยายามปรับตัวให้เข้ากับชาวบ้านในหมู่บ้านเกาสุ่ย หลายวันมานี้นอกจากหลิวซิ่วกับน้าหลัวแล้ว ก็ยังได้คุยกับพี่ป้าน้าอาทั้งหลายอยู่บ้าง
ตัวนางแม้จะถูกเลี้ยงดูในเรือนเสียมาก แต่ใช่ว่าจะสุขสบายไปเสียทุกเรื่องเมื่อไรกัน ซ้ำนางก็ยังปรับตัวเก่ง แม้ชีวิตที่หมู่บ้านเกาสุ่ยจะลำบาก แต่กระนั้นก็ยังพอมีอิสระมากกว่าการอยู่ในบ้านเดิมของตัวเองเป็นไหนๆ
หลิวซิ่วเดินนำหน้า รั่วหลานเดินตามหลังโดยอาศัยทางเดินเล็กๆ ขึ้นเขาและอ้อมไปด้านหลังเขา ระยะทางแม้จะไกลอยู่บ้าง แต่ก็มีร่มเงาต้นไม้ นับว่าเดินสบายอยู่มาก ระหว่างทางก็เจอชาวบ้านหลายคนที่จะเข้าป่า บ้างก็กลับมาจากเก็บฝ้ายเก็บคราม
“ท่านป้าจวง ท่านออกมาตั้งแต่เมื่อใดตอนนี้ถึงเก็บเสร็จแล้ว” หลิวซิ่วถามขึ้น
“ข้ามาตั้งแต่ไม่สว่าง คนแก่อย่างข้านอนไม่ค่อยหลับหรอก เจ้ากับเมียเจ้าโจวก็จะไปหลังภูเขาหรือ”
“ใช้” หลิวซิ่วตอบ
“เจ้าค่ะ” รั่วหลานก็ตอบ
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปเถอะ สายแล้วแดดจะร้อน ข้ากลับก่อนแล้ว”
“ได้”
“ท่านป้าเดินดีๆ”
หลังจากส่งป้าจวงไปจนลับตา หลิวซิ่วกระซิบกับรั่วหลาน “ที่จริงป้าจวงเกลียดสะใภ้ตัวเองมากนะ ตอนนั้นนางอยากได้เกาซิ่งเป็นสะใภ้ แต่ติดที่พี่ใหญ่จวงไม่ชอบเกาซิ่งฝืนจะแต่งกับหวังเหมี่ยว แล้วเป็นอย่างไร สามปีมานี้บ้านจวงไม่สงบสักวัน หวังเหมี่ยวก็ไม่ใช่ยอมคนง่ายๆ ว่าไปแล้วป้าจวงก็น่าเห็นใจอยู่บ้าง เพราะที่บ้านมีกันแค่สามคน ป้าจวงไม่อยากพึ่งพาบุตรชายกับสะใภ้ จึงทำงานหาเงินเอง นี่ก็น่าจะย้อมผ้าเย็บผ้าไปขายในเมืองนั่นแหละ”
“เป็นเช่นนี้เอง” ว่าไปแล้วรั่วหลานก็เคยเห็นสะใภ้ของป้าจวงครั้งหนึ่ง อีกฝ่ายแม้จะยิ้มให้ตน แต่ก็เป็นยิ้มที่ฝืดเฝือนอย่างยิ่ง ตอนนั้นรั่วหลานไม่รู้ที่มาที่ไปของบ้านจวง จึงไม่ได้คิดอะไรมาก
“พวกเขาไม่มีลูกหรือ?” แต่งงานมาสามปี สมควรมีลูกได้เสียที
“เพราะอย่างนี้ไง ป้าจวงจึงมีเรื่องให้ทะเลาะกับหวังเหมี่ยวเพิ่มอีกเรื่อง ดีที่พี่ใหญ่จวงยังดีกับนาง ไม่อย่างนั้นป้าจวงให้เขาหย่าภรรยานานแล้ว”
เป็นสตรีนั้นก็ลำบาก ไม่ว่าจะดีจะเลว หากไม่มีลูกสืบสกุลให้บ้านสามี วันหน้าจะอยู่อย่างไร
ทั้งสองไม่พูดถึงคนบ้านจวงแล้ว เดินทางกันต่อจนไปถึงหลังภูเขา ทั้งสองมาเพื่อเก็บฝ้ายจึงไม่สนใจต้นคราม เก็บกันจนเพลิน ฝ้ายเต็มตะกร้าแล้วจึงกลับถึงหมู่บ้านในตอนสาย
หลิวซิ่วส่งรั่วหลานก่อนที่ตัวเองจะกลับบ้านไป รั่วหลานมาถึงบ้านก็ไม่เจอโจวหยวน นางนั่งบนแคร่ตัวใหม่ที่หน้ากระท่อมแยกเปลือกและเมล็ดฝ้ายอยู่พักใหญ่ ก่อนจะไปทำมื้อเที่ยงง่ายๆ รอสามี
ทางด้านป้าจวง ยังเดินไม่ถึงบ้านตัวเองก็ถูกป้าหูเรียกไปบ้านตน ทั้งสองมักเป็นคู่สนทนา เรื่องใดในหมู่บ้านทั้งสองก็เอามาแลกเปลี่ยนกันตลอด
“นางหู ข้าเพิ่งจะไปเก็บฝ้าย เจ้าดึงข้ามาทำไม”
“วันก่อนข้าเจอเมียเจ้าโจวแล้ว นางงามมาก เจ้าว่านางมาจากไหน ไม่มีใครกล้าถามนาง บางคนไปถามเจ้าโจว เจ้าโจวก็ไม่พูดอีก ผู้เฒ่าจ้าวก็ไม่บอก ข้าสงสัยเสียจริง”
“เจ้าอยากรู้ไปทำไมหนักหนา” ใช่ว่าป้าจวงจะไม่อยากรู้ แต่นางขี้เกียจไปถามต่างหาก
“ข้าว่าเจ้าโจวไปฉุดนางมามากกว่า เจ้าดูสิ ตอนแรกเมียเจ้าโจวไม่สนิทกับเขาสักนิด”
“แต่ยังไงคนเขาก็ยอมแต่งงานและอยู่นี่แล้วนี่”
“มันก็ใช่ เพราะเป็นเมียคนอื่นเขาแล้วหรือเปล่าถึงได้ยอมตัดใจอยู่ที่นี่”
ป้าจวงคิดถึงท่าทางของรั่วหลานที่ตนเพิ่งจะเจอมา ก็ไม่เห็นอีกฝ่ายจะลำบากที่อยู่ที่เกาสุ่ยตรงไหน แต่เรื่องที่อยู่ๆ คนก็โผล่มาก็น่าสงสัยเช่นกัน”
“เจ้าไม่คิดหรือ ตอนนั้นผู้เฒ่าจ้าว เจ้าโจว ยังมีหงทั่ว สามคนเป็นญาติกัน แต่หน้าตาไม่มีเค้าเหมือนกันสักนิด หลายปีก่อนก็มาอยู่ในหมู่บ้านเรา เจ้าดู พวกเขาท่าทางน่าสงสัยมากใช่หรือไม่”
“หากเจ้าไม่พูด ข้าก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว”
“ใช่ไหมเล่า คนเขาออกจะดูดีมีชาติตระกูล หรือพวกเขาหนีอะไรมา เมียเจ้าโจวเองยังมีเรื่องน่าสงสัยมิใช่หรือ”
“แต่ถึงอย่างนั้นสองผัวเมียก็อยู่กันดีมิใช่หรือ ยังไม่ได้ยินเรื่องขัดแย้งกันสักนิด”
“เมียเจ้าโจวงามเช่นนั้น เขาคงเอาใจ เจ้าก็รู้สตรีอย่างเราลองสามีที่บ้านเอาใจหน่อย ไม่ว่าเรื่องใดก็ยอมได้หมดมิใช่หรือ แรกๆ ที่แต่งงานกันก็เป็นเช่นนี้”
“แต่นับว่าเมียเจ้าโจวมีวาสนา พ่อแม่สามีก็ไม่มี จะทำอะไรตามใจก็ได้ทั้งนั้นนี่”
“คนเขาอยู่ดีเช่นนั้น เจ้าอิจฉาแล้วสิ” ป้าหูเย้าสหายเล่น ทั้งสองยังคุยเรื่องของบ้านโจวต่อไปอีกพักใหญ่
ป้าจวงกลับถึงบ้านก็เห็นสะใภ้ของตนนั่งพักดื่มชาอยู่หน้าบ้าน เป็นป้าจวงที่เห็นเช่นนั้นก็ทำสีหน้าไม่พอใจ นางเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ สะใภ้กลับไม่ยกน้ำยกชามาต้อนรับอีก หน้าตาก็ไม่งามเหมือนเมียเจ้าโจว อย่างน้อยเห็นแล้วก็จะลื่นหูลื่นตาสักหน่อย
“เจ้าเห็นข้าเป็นหัวหลักหัวต่อหรือไร ข้ากลับมาเหนื่อยๆ ไม่ออกมาต้อนรับไม่พอ ยังจะนั่งดื่มชาหน้าตาเฉย”
“ท่านแม่” หวังเหมี่ยวลุกขึ้น
ก่อนหน้านี้นางนั่งแยกเปลือกและเมล็ดของฝ้ายอยู่หน้าบ้าน หวังเหมี่ยวไม่ได้เอาฝ้ายไปยัดหมอนผ้าห่ม แต่นางปั่นฝ้ายเป็นเส้นด้าย นางปั่นด้ายเสร็จก็ต้องย้อมครามและสีเปือกไม้ไปส่งที่ร้านขายเส้นด้านในเมือง หลายวันมานี้ยุ่งมาก เพิ่งจะได้นั่งพัก แม่สามีก็มาหาเรื่องอีก
“หน้าตาก็ไม่งามเหมือนเมียเจ้าโจว ยังเกียจคร้านอีก ข้าละน่าสงสารที่มีลูกสะใภ้ก็เหมือนไม่มีจริงๆ” ป้าจวงบ่นไปพร้อมกับเข้าบ้าน ไม่สนใจสีหน้าของหวังเหมี่ยวแม้แต่น้อย
หวังเหมี่ยวเม้มปาก เทียบความงามของนางกับรั่วหลาน ต่อให้เอาอีกฝ่ายมาเทียบกับหญิงสาวทั้งหมู่บ้านก็ไม่มีใครสู้ความงามของเมียโจวหยวนได้ แม่สามียังจะเอานางไปเทียบกับอีกฝ่ายอีก จะให้นางยอมรับได้อย่างไรกัน
หวังเหมี่ยวไม่อยากพูดกับแม่สามี นางจึงออกจากบ้านเดินไปดูที่บ้านของหวังซูเหนียง แม้แซ่เดียวกัน แต่พวกนางไม่ใช่ญาติที่รู้จักกัน แต่เพราะบ้านอยู่ใกล้กัน จึงได้คุยปรับทุกข์กันบ้าง
“เจ้าทะเลาะกับป้าจวงมาอีกหรือ” หวังซูเหนียงเห็นสีหน้าหวังเหมี่ยวก็ทักขึ้น
หวังเหมี่ยวเดินมานั่งที่เก้าอี้ไม้โยกหน้าบ้าน มองเข้าไปในบ้านคราหนึ่งแล้วหันมาพูดกับหวังซูเหนียง “นางก็เอาแต่หาเรื่องข้า วันนี้เอาข้าไปเปรียบกับเมียพี่โจว คนเขาดูดีเช่นนั้น ข้าจะไปเทียบได้อย่างไร”
หวังซูเหนียงเม้มปากแล้วกล่าว “นางก็โชคดีกว่าพวกเราแล้ว พี่โจวทั้งรักทั้งหวงนาง งานหนักก็ไม่ยอมให้แตะ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ก็เจ้าเห็นนางต้องไปเก็บผักเก็บหญ้าบนภูเขาเหมือนเราหรือไม่เล่า” หวังซูเหนียงยอมรับว่าอิจฉารั่วหลาน นางที่ชอบพี่โจว พยายามเข้าหาเขาแล้วพี่โจวก็แค่เอ็นดูเล็กๆ น้อยๆ หลังจากแต่งรั่วหลานเข้ามาก็ไม่ยอมให้นางไปที่กระท่อนของตนอีก เช่นนี้จะไม่ให้นางคิดได้อย่างไรว่าพี่โจวมิได้รักได้หวงเมียตัวเองน่ะ
