ตอนที่ 2 เป็นเมียข้าไม่ดีที่ใด (1)
ในค่ำคืนอันเหน็บหนาว รั่วหลานรู้สึกว่าตัวเองถูกประคองและกรอกยาขมชามใหญ่ ชายหนุ่มที่จับนางกรอกยานั้นพูดอยู่ข้างหูนางเบาๆ นี่เอง
“อีกนิดเดียว ดื่มยาเสร็จค่อยนอน” แล้วเขาก็ป้อนยานางต่อไป จากนั้นก็ปล่อยให้นางนอนลง
รั่วหลานพยายามจะลืมตาขึ้น แต่ก็ยังเห็นแค่เงาเลือนราง นางไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใด รอดจากหมีใหญ่ตัวนั้นมาได้อย่างไร ภาพวันนั้นยิ่งทำให้นางหวาดกลัวจนหลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่รู้ตัว ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกอุ่นขึ้นทันที เหมือนมีผ้าห่มนวมผืนใหญ่ห่อหุ้มนางเอาไว้ แม้จะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แข็งนิดหน่อย แต่อย่างน้อยก็ดีกว่านอนหนาวตายอยู่กลางป่ามากนัก
นางหลับๆ ตื่นๆ สลับกันอยู่เช่นนี้หลายวัน ในเช้ามืดของวันที่หกนางก็รับรู้ได้ถึงผ้าห่มอุ่นกายที่ผ่านมานั้นไม่ถูกต้อง เพราะมันขยับได้ ซ้ำยังขยับมาลูบไล้เรือนกายของนางจนทั่ว นางจึงคว้าหมัดเข้าก็กุมเอามือใหญ่อุ่นข้างหนึ่ง
“ท่านเป็นใคร!” รั่วหลานหวาดกลัวสุดขีด นางมองไม่เห็น ในจมูกมีกลิ่นกายบุรุษอวลอยู่ข้างตัว นางจึงผวาลุกขึ้นจากเตียงเล็กๆ แต่ถึงกระนั้นก็มีเรื่องที่น่าตกใจกว่ารออยู่ นางลูบกายตัวเอง มันก็เปลือยตลอดทั้งร่าง
“ท่านทำอะไรกับข้า!”
“ข้าเป็นคนช่วยเจ้าไว้ บุญคุณที่ข้ามีให้เจ้า เจ้าต้องตอบแทน ต่อจากนี้ไป เจ้าเป็นเมียข้า”
รั่วหลานตัวอ่อนยวบไปอีกครั้ง อย่างไรนางก็ถูกพิษ ตอนนี้ฟื้นขึ้นมาได้ก็ดีมากแล้ว ยังจะเปลืองแรงพูดกับเขาไปหลายคำ ย่อมต้านไม่ไหว
“เจ้านอนก่อน ยังต้องดื่มยาอีกสามเทียบ” พูดแล้วเขาก็ลุกขึ้นออกจากห้องเล็กๆ ที่ทำขึ้นมาจากไม้อะไรสักอย่าง นางลงจากเตียงไม้ ใช้ผ้าห่มห่อกาย สองขาที่สั่นและอ่อนแรงพานางเดินไปยังประตูที่ยังแง้มอยู่ นางยังไม่ทันไปถึง แสงจากตะเกียงก็สอดส่องเข้ามาก่อน ตามด้วยร่างสูงใหญ่ของบุรุษหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่า หน้าตากลับหล่อเหลาผิดคาด เพียงแต่เสื้อผ้าและการเป็นอยู่ของเขาบอกนางว่าเขาเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านสักแห่งนอกเมือง อาจจะเป็นนายพรานที่หาของป่าเลี้ยงชีพไปวันๆ
พอเห็นเขาเต็มตาแล้วนางก็ไม่กล้าขยับกายอีก กลับเป็นโจวหยวนที่ยังเดินเข้าไปในห้อง วางตะเกียงลงบนโต๊ะเพียงหนึ่งเดียวในกระท่อม ตอนนี้เองที่หลินรั่วหลานเห็นอาวุธล่าสัตว์แขวนบ้าง วางพิงผนังบ้างมากมายจนนางตกใจกลัว
“ข้าบอกให้เจ้านอนลง” เขาเดินมาตวัดร่างอ่อนนุ่มอุ้มขึ้นและเดินกลับไปที่เตียง วางนางลงอย่างเบามือแต่ทั้งที่ระวังแล้วก็ยังทำนางเจ็บอยู่ดี
“ขออภัย ข้าเป็นคนแรงเยอะ มือหนัก เจ้าระวังหน่อยก็แล้วกัน”
นี่มันขู่กันชัดๆ!
“เสื้อผ้าข้าอยู่ไหน”
“ชุดแต่งงานหรือ เจ้าอยากใส่มัน?” ทั้งตัวในและตัวนอกล้วนเป็นสีแดง มีแต่เอี๊ยมบังทรงที่เป็นสีเขียวใบบัว เกรงว่าเสื้อสองตัวนั้นนางคงไม่อยากใส่แน่
รั่วหลานนึกขึ้นได้ก็เปลี่ยนน้ำเสียงเล็กน้อย “ข้าขอยืนเสื้อผ้าสักชุด” นางไม่กล้าสบตาเขานัก แต่ถึงอย่างไรก็ไม่กล้าตัวเปล่าคุยกับเขาหรอก
เขาเดินไปที่ราวแขวนผ้า ปลดเสื้อตัวสั้นแขนแคบมาส่งให้นาง แล้วก็นั่งหันหลังให้
รั่วหลานไม่กล้าสั่งให้เขาออกไป จึงจำใจต้องรีบสวมเสื้อผ้าขณะที่เขายังไม่หันกลับมา แต่พอผูกสายเสื้อเสร็จเงยหน้าขึ้นกลับเห็นเขานั่งมองนางอยู่ มุมปากหยักยิ้มเจ้าเล่ห์
“ท่านห้ามมอง!”
“ข้าเห็นหมดแล้ว แตะต้องก็แล้ว ยังจะกลัวสิ่งใดอีก ข้าบอกท่านผู้เฒ่าจ้าวแล้ว รอเจ้าหายดีเขาจะจัดพิธีแต่งงานให้พวกเรา”
“ข้า...”
“เจ้าคงมิได้หนีงานแต่งมากระมัง”
“ย่อมไม่ใช่” นางมองเก้าอี้อีกตัวแล้วเดินไปนั่งลง แต่ยังก้มหน้านิ่งไม่กล้าสบตาเขา
“เจ้าชื่ออะไร... เอาชื่อจริง ไม่เช่นนั้น ข้าจะพาเจ้ากลับไปทิ้งที่เดิมที่เจอเจ้ามา” เขาดักทางไว้ก่อน
รั่วหลานเม้มปาก แต่เห็นเขาจ้องเขม็ง นางจึงยอมพูด “เสิ่นรั่วหลาน”
“ข้าโจวหยวน พรุ่งนี้ก็จัดงานแต่งในหมู่บ้านแล้วกัน”
“นั่นจะได้อย่างไร” นางยังไม่ตกลงเลยด้วยซ้ำ
“เป็นเมียข้าไม่ดีที่ใด ข้าช่วยเจ้าไว้ หนี้บุญคุณครั้งนี้ ต้องใช้ทั้งชีวิตเจ้าทดแทนเท่านั้น”
รั่วหลานช้อนตาขึ้นมองเขา เขาเป็นบุรุษหนุ่มที่ดึงดูดไม่น้อย แต่นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย ยังจะให้นางแต่งให้เขาได้อย่างไร นางกำลังจะพูดเขาก็กล่าวขึ้นมาก่อน
“เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”
เช้ามาโจวหยวนเข้าไปในหมู่บ้าน ไม่นานก็มีพี่ป้าน้าอาจากในหมู่บ้านมาลากตัวรั่วหลานไปในบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านหลังเล็กทำจากไม้และมุงหลังคาด้วยหญ้าฟาง แม้ดูไม่มั่นคงแต่เจ้าของบ้านกลางป่าแห่งนี้ไหนเลยจะเลือกได้
“เมียเจ้าหนุ่มโจวงดงามเช่นนี้เองหรือ” ท่านป้าร่างท้วมกล่าว
“ตอนหลัวต้านบอกข้ายังไม่เชื่อเลย”
“โจวหยวนหล่อเหลาเสียขนาดนั้น ย่อมต้องเหมาะกับแม่นางน้อยนี่อยู่แล้ว ว่าแต่เจ้าชื่อแซ่ใด”
“ข้าแซ่เสิ่น นามรั่วหลาน” นางไม่คิดจะโกหกเพราะถึงอย่างไรก็บอกกับโจวหยวนไปแล้ว
