ตอนที่ 3
ตอนที่ 3
“คุณอยากรู้หรือเปล่าว่าผมมีทางใช้หนี้ได้ทางไหนบ้าง” ประมุขของบ้านกล่าวออกมาอย่างช้าๆ แต่ตัวท่านไม่คิดทำเช่นนั้นแน่ เพราะทางเจ้าหนี้ต้องการให้ส่งบุตรสาวไปใช้หนี้ในตำแหน่งเมียเก็บ ซึ่งหากทำเช่นนั้นก็เหมือนส่งลูกไปลงนรกชัดๆ และไม่ว่าลูกคนไหน ท่านไม่คิดจะส่งไปชำระหนี้ ในวันนั้นตัวท่านยอมรับว่าตกใจจนแทบช็อกเมื่อตัวแทนของเจ้าหนี้ได้ยื่นภาพถ่ายของปิ่นสุดามาให้ดูพร้อมบอกความจำนง
“ก็พูดมาสิ ว่าต้องทำยังไง ก่อนที่คนละแวกนี้จะรู้ว่าเราจะหมดตัว แต่คุณอย่าบอกเชียวนะว่าจะขายบ้านหลังนี้ ฉันไม่ยอมแน่ๆ” คนเป็นภรรยาพูดดักคอ ส่วนบุตรชายและบุตรสาวก็ตาลุกด้วยความดีใจเมื่อบิดามีหนทางแก้ปัญหาครั้งเสียที
“เจ้าหนี้ต้องการให้ผมส่งยัยเปรมไปเป็นเมียเก็บ” คุณกิตติเอ่ยตอบภรรยาอย่างช้าๆ ชัดๆ แล้วมองหน้าบุตรสาวและถึงอย่างไรท่านก็ไม่มีวันส่งลูกสาวไปเป็นเมียเก็บใคร ไม่ว่าจะเป็นปิ่นสุดาหรือปิ่นมุก
“เรื่องอะไรคุณพ่อจะมายกเปรมไปใช้หนี้แทน ในเมื่อคุณพ่อเป็นคนก่อเรื่องเอาไว้เอง ฉะนั้นคุณพ่อนั่นแหละที่ต้องไปใช้หนี้แทน เปรมไม่เกี่ยว เปรมไม่ไปไหนเด็ดขาด คุณพ่อห้ามมาบังคับเปรม” ปิ่นสุดาค้านเสียงแหลมสูงแล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง จากนั้นก็กระทืบเท้าดิ้นเร่าๆ อย่างขัดใจ
คุณปภาดาเห็นเข้าก็รีบเข้าปลอบบุตรสาวคนโตให้ใจเย็นเสียก่อน ก่อนที่ตัวท่านจะเผยยิ้มมุมปากกับสิ่งที่คาดการณ์อยู่ในใจนั่นคือ เจ้าหนี้ที่ว่านั่นเป็นใครและรวยหรือไม่ แล้วถ้ารวยถึงขึ้นมหาเศรษฐี ตนยินดีส่งปิ่นสุดาไปให้ เพื่อให้บุตรสาวคนโตจะได้สุขสบายไปตลอดชาติ เป็นเมียเก็บคนรวย ใช่ว่าจะไม่ดีเสียเมื่อไหร่กัน หากรู้จักออดอ้อน ฉอเลาะ ประจบประแจงเข้าหน่อย ขี้คร้านพวกผู้ชายจะหลงจนโงหัวไม่ขึ้น
“พ่อก็ไม่คิดจะส่งลูกคนไหนไปให้ใครทั้งนั้น แกวางใจเถอะ ยัยเปรม” คนเป็นพ่อบอกสีหน้ายิ้มนิดๆ เมื่อได้เห็นสีหน้าของบุตรสาวระบายยิ้มด้วยความโล่งใจ ผิดจากคนเป็นแม่นักที่กำลังครุ่นคิดไม่ตก
“แล้วคุณจะทำยังไง จะหาเงินจากที่ไหนไปใช้หนี้ ส่วนไอ้โรงแรมนั่นก็จะถูกฟ้องอยู่อีกไม่กี่วัน” คุณปภาดาถามเสียงอ่อนลง พลางหันไปสำรวจบุตรสาวของตนที่มีรูปร่างหน้าตาไม่ได้น้อยหน้าใคร คนเป็นแม่ก็ลอบยิ้มอยู่ในใจ คาดเดาว่าเจ้าหนี้ของสามีคงจะรวยระดับเจ้าพ่อแน่
“เราต้องขายบ้านหลังนี้ แล้วเอาเงินไปใช้หนี้บ้างส่วน ผมว่ามันคงได้สักสิบล้านขึ้น” ประมุขของบ้านพูดขึ้นเสียงเครียด รอยยิ้มซีดเซียวเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น
“ไม่ได้! ยังไงฉันก็ให้คุณขายบ้านหลังนี้ไม่ได้ คุณคิดบ้างสิ ถ้าเรา ขายบ้านไปแล้ว เราจะอยู่ที่ไหนกัน” คนเป็นภรรยาค้านเสียงแข็ง
“เราก็ไปหาซื้อบ้านหลังเล็กๆ ราคาไม่กี่ล้านอยู่ก็ได้ คุณเลิกยึดติดกับหน้าตาทางสังคมบ้างเถอะคุณภา” เอ่ยอย่างตำหนิปนอ่อนอกอ่อนใจ เพราะฝ่ายภรรยาที่อยู่ร่วมกันมาหลายปียึดถือแต่หน้าตาและออกงานสังคมเป็นว่าเล่น แม้กระทั่งเงินทองกำลังขัดสน ผู้เป็นภรรยาก็ไม่เคยคิดจะหยุด
“ฉันไม่ไปอยู่หรอก บ้านหลังเล็กเท่ารูหนู แถมราคาก็แค่ล้านสองล้าน” คุณปภาดายังค้านเสียงแข็งเช่นเดิม
“เปรมก็ไม่ไปเหมือนกันค่ะคุณแม่ เปรมว่าบ้านที่คุณพ่อบอก ห้องน้ำ ห้องนอนคงเล็กน่าดู เปรมอยู่ไม่ได้หรอกค่ะคุณพ่อคะ คุณพ่อห้ามขายบ้านหลังนี้เด็ดขาด ไม่งั้นเปรมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนถ้าเพื่อนๆ ของเปรมแวะมาที่บ้าน อีกอย่างถ้าต้องไปอยู่บ้านหลังเล็กเท่ารูหนูอย่างที่คุณแม่บอกจริงๆ เปรมอยู่ไม่ได้แน่ เพราะเปรมอายเพื่อน” บุตรสาวคนโตค้าน ผสมโรงกับมารดา ทำเอาประมุขของบ้านถอนใจหนักๆ แล้วส่ายศีรษะให้กับสองแม่ลูก
“ใช้แล้วละลูกเปรม คุณกิต...คุณห้ามขายบ้านหลังนี้นะ เห็นใจลูกบ้างเถอะ ถ้ามีบ้านหลังเล็กๆ ลูกคงได้อายเพื่อนๆ แน่ ส่วนฉันก็ทำใจไปอยู่บ้านหลังเล็กๆ ไม่ได้หรอก”
“มันจะเล็กหรือใหญ่ก็ไม่สำคัญ เพราะบ้านหลังนี้ถูกยึดแน่ ถ้าเรา ไม่มีเงินไปใช้หนี้ธนาคาร คุณคิดบ้างสิคุณภา ส่วนแก...ยัยเปรม แกอย่าทำตัวยึดติดสิ่งของนอกกายเหมือนแม่ของแกจะได้ไหม” ผู้เป็นพ่อโต้กลับอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“คุณแม่! คุณพ่อว่าคุณแม่ชอบยึดติดกับของนอกกายค่ะ” ปิ่นสุดาหันไปฟ้องมารดาด้วยเสียงแหลมสูง
“คุณกิต คุณอย่ามาว่าลูกฉันนะ อีกอย่างฉันก็ไม่ได้ยึดติดอะไรทั้งนั้นแหละ แต่ถึงยังไงฉันก็ไม่ยอมขาย ไม่ยอมให้ธนาคารมายึดบ้านหลังนี้ไปเด็ดขาด” คนเป็นภรรยาต่อว่าเสียงสูง พลางเชิดหน้าใส่ผู้เป็นสามี
