ตอนที่4.เฮ้ย ฉันยังไม่แก่ขนาดนั้น
เขาหมายถึงบาริสต้าสาวน้อยที่รูปร่างอวบอัดเกินวัยท่าทางแก่แดดแก่ลม กว่าเขาจะมาถึงเด็กนั่นคงต้องมนต์หนุ่มเมืองกรุงไปเรียบร้อยแล้ว
“ก็แค่อาหารตา” จิณณ์หันกลับมา
“ละเว้นบ้างเว้ย คราวลูกคราวหลาน”
“เฮ้ย ฉันยังไม่แก่ขนาดนั้น” ผู้ถูกพาดพิงร้อง
“เพราะแบบนี้กระมัง แม่ถึงอยากให้นายแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา”
คราวนี้จิณณ์ถอนหายใจ ท่าทางเหนื่อยหน่าย
“แล้วพ่อนายว่าไงบ้างกับว่าที่ลูกสะใภ้”
จิณณ์ยักไหล่
“จะไปว่าอะไร” เขาบอกเพื่อน “นายก็รู้ พ่อฉันยอมแม่มาแต่ไหนแต่ไร”
พัลภพยักหน้าอย่าเข้าใจ ติดจะสงสารนายชวัลบิดาจิณณ์ด้วยซ้ำ เพราะรู้ว่าชายวัยกลางคนไม่เคยมีปากเสียงใดในบ้าน
ทั้งที่นอกบ้านเป็นนักธุรกิจที่มีฝีมือ หากกับมารดาของจิณณ์ท่านกลับต้องเป็นฝ่ายเงียบ
พัลลภพอจะรู้ที่มาที่ไปของคนในครอบครัวคนรักกับพี่ชายที่เป็นเพื่อนสนิทของตัวด้วย
นายชวัลมาจากครอบครัวที่ด้อยฐานะกว่าภรรยา แต่เพราะความอุตสาหะและความขยันขันแข็งของเจ้าตัวจึงได้รับการยอมรับจากครอบครัวของฝ่ายภรรยา
ส่วนจงกลนีผู้เป็นมารดานั้นถือตนว่าเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลจึงได้รับสิทธิ์ขาดจากเจ้าสัวที่มีภรรยาน้อยแต่ลูกของภรรยาหลวงเท่านั้นที่ได้รับกิจการมาสืบทอด
นอกนั้นต้องอยู่ภายใต้อาณัติของจงกลนีที่กุมบังเหียนทุกอย่างตามที่บิดามอบหมาย
จงกลนีจึงไม่เพียงวางอำนาจกับบรรดาลูกหลานเมียน้อยบิดา ยังลามเข้ามายึดครองอำนาจในบ้านเป็นของตนคนเดียว
โชคดีที่ชวัลไม่มีปากมีเสียง
นอกจากเรื่องงานแล้ว เขาไม่ชอบออกเที่ยวเตร่ยกเว้นสังสรรค์กับลูกค้าหรือเพื่อนร่วมวงการธุรกิจ
ยิ่งเมื่อลูกชายคนโตอย่างจิณณ์เรียนจบกลับมาทำงานแทนได้ทุกอย่าง เขาก็ค่อยๆวางมือหันมาเป็นที่ปรึกษาให้ลูกชาย
“ยิ่งเดี๋ยวนี้ พ่อยิ่งปล่อย” จิณณ์นึกถึงบิดา “เข้าบริษัทน้อยลงจนแทบจะวางตัวเองเป็นแค่ที่ปรึกษา”
“พ่อคงนึกเซ็งๆไม่กระตือรือร้นเหมือนก่อน”
เขาถอนหายใจ อย่างลูกชายที่เข้าใจผู้เป็นบิดาพอๆกับที่เข้าใจน้องชายตัวเอง นั่นล่ะ
“พ่อก็คงคล้ายๆนายจุณ จริงๆพ่ออาจจะชอบชีวิตเรียบง่ายมากกว่าอยู่ท่ามกลางเสือสิงห์ในแวดวงธุรกิจ”
“แล้วนายล่ะ” พัลลภย้อนถาม
จิณณ์รู้นิสัยใจคอคนในครอบครัวดี ถึงคราวตัวเอง
“ไม่รู้หว่ะ” เขายอมรับ
ตั้งแต่เด็กจนโตมา เขาไม่เคยขัดใจใครสักคน จะว่าฝืนใจก็คงไม่ใช่เพราะไม่เคยรู้สึกทุกข์ใจที่จะทำตามความรู้สึกของใครต่อใคร
เขาเป็นคนง่ายๆสบายๆรักสนุก ไม่ค่อยเก็บเรื่องใดมาเป็นอารมณ์
เพียงเรื่องเดียวในตอนนี้ที่ทำให้จิณณ์กังวล
“ที่ผ่านมา ก็รู้สึกเฉยๆไม่คิดว่า แม่บังคับอะไรทั้งนั้น เพราะทุกเรื่องที่แม่ต้องการมันก็เป็นความต้องการของฉันด้วย” จิณณ์บอก
“แม่อยากให้เรียนบริหาร มันก็เป็นสิ่งที่ฉันชอบ หรือเรื่องธุรกิจฉันก็สนุกกับมัน”
เขานิ่งไปครู่
“มีแค่เรื่องแต่งงานบ้าๆนั่นที่...” จิณณ์ส่ายหน้า “ไม่ไหวจริงๆ”
“จะว่าไป ก็ยังไม่เห็นว่า แม่จะต้องการให้นายเร่งแต่งงานทำไม บริษัทนายก็ใหญ่โตพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ ไม่เห็นต้องระดมทุนเพิ่มเสียให้เหนื่อย”
พัลลภพูดอย่างที่ตัวเองรู้สึก
“เฮ้อ” จิณณ์ถอนหายใจหนักหน่วง “สำหรับนายแพทย์ที่มีอุดมการณ์อย่างนายก็คงคิดแบบนั้น”
เขาหันมองไปนอกกระจก เห็นบรรยากาศเงียบสงบภายนอก ถนนที่ว่างเปล่าถึงแม้จะเป็นถนนสายหลักในตัวอำเภอ ร้านรวงที่มีอยู่น้อยนิดแทบร้างผู้คน นอกจากชาวบ้านที่เดินกันนับหัวได้ เปลวแดดบ่ายเต้นระริกบนพื้นถนนไกลๆ หมาพันทางจอมขี้เกียจนอนหลับอุตุบนฟุตบาท นานๆจะลุกขึ้นมาเห่ามอเตอร์ไซค์รุ่นเดอะเก่ากึ๊กที่คำรามเสียงเครื่องยนต์เก่าๆ พร้อมควันจากท่อไอเสียจิณณ์มาถึงที่นี่ไม่กี่ชั่วโมงยังรู้สึกถึงความเงียบสงบผิดจากที่ที่เขาจากมาแน่ล่ะ ที่นี่ห่างไกลเมืองหลวงหลายร้อยกิโลจนไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ความเจริญจากที่นั่นจะย่างกายมาถึง
