ตอนที่ 2 ฝันถึงงานแต่งงานของเรา
ในขณะที่ถิงถิงคิดว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ แต่ความจริงแล้วทุกอย่างล้วนเกิดจากความตั้งใจของคริสเตียนทั้งนั้น
เขาเห็นตั้งแต่เธอเดินขึ้นจากเรือที่ล่องมาตามแม่น้ำแล้ว ความสะสวยเป็นธรรมชาติโดยปราศจากการปรุงแต่งใด ๆ ทำให้เขาสะดุดตาเธอตั้งแต่แรกเห็น ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าได้รูปเรียวรี ดวงตากลม ปลายหางตาเฉียงขึ้นแบบสาวเอเชีย อีกทั้งทรวดทรงองค์เอวก็ช่างเย้ายวนใจผู้ชายเจ้าคารมอย่างเขาไปซะหมด เรียกได้ว่าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของหญิงสาวตรงหน้านั้นตรงกับสาวในฝันของคริสเตียนทุกอย่าง จนแทบอยากจะ...
“ฝันถึงงานแต่งงานของเรา ฝันว่าเรา...”
“ฝันอะไรของมึง ยังไม่นอนก็ฝันได้เหรอวะ” เสียงของไมเคิลเพื่อนสนิทที่คริสเตียนลากมาเที่ยวด้วยเอ่ยถาม ทำเอาคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ของห้วงแห่งการตกหลุมรักถึงกับกลอกตามองบนทันที
คริสเตียนได้แต่ตวัดสายตามองไปอย่างไม่สบอารมณ์พลางแยกเขี้ยวขู่ไม่ต่างจากหมาตัวหนึ่งที่กำลังจะบ้าเพราะถูกขัดจังหวะ
“มึงนี่นะ ชอบขัดคอกูจริง ๆ”
“อะไรกันวะ อยู่ ๆ มึงก็ร้องเพลงขึ้นมา เพลงอะไรนะ ฝันถึงงานแต่งงาน มึงจะไปแต่งกับใคร” ไมเคิลถามด้วยน้ำเสียงดูถูก ทั้งยังทำสีหน้าไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยินสุดขีด เพราะผู้ชายเจ้าคารม เจ้าชู้ หูตาแพรวพราวเวลาเจอสาวอย่างคริสเตียนจะไปหยุดที่ใครได้
“ก็แต่งกับนางในฝันไง”
“คนอย่างมึงเนี่ยนะมีนางในฝันด้วย”
“มีสิ นั่นไง นางในฝันที่คนอย่างกูอยากจะใช้เวลาอยู่ด้วยไปทั้งชีวิต” ว่าแล้วคริสเตียนก็ใช้วงแขนโอบรอบลำคอของไมเคิลให้หันไปมองยังทิศทางที่ตัวเองเพิ่งมองในทันที ซึ่งภาพเบื้องหน้าตอนนี้ก็คือหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนชื่นชมความงามของสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ของเมืองแห่งนี้อยู่ ทั้งหมดช่างเป็นความงดงามที่ไร้ที่ติในสายตาของคริสเตียนจริง ๆ
“โอ้ว แค่เห็นไกล ๆ กูยังทรมานหัวใจขนาดนี้เลย ถ้าได้เห็นใกล้ ๆ นะ โอ้มายก้อด! กูต้องหลงเธอหัวปักหัวปำแน่นอน” พูดไปเขาก็ยกฝ่ามือใหญ่ขึ้นมาทาบแผ่นอกด้านซ้ายของตัวเองไปด้วย
“น้อย ๆ หน่อย อะไรกัน แค่เจอหน้ากันผ่าน ๆ ถึงกับตกหลุมรักได้เลยเหรอ กูไม่เชื่อหรอก” ไมเคิลถึงกับส่ายหน้าไปมาด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่ายที่จู่ ๆ เพื่อนก็เริ่มเพ้อเจ้อ
“แต่กูเชื่อ เชื่อใน...” คริสเตียนพูดด้วยแววตาเหม่อลอย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองไปบนฟากฟ้าที่ไม่มีอะไรให้มองแม้กระทั่งนก จากนั้นก็ระบายรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันทุกซี่พร้อมทั้งวาดวงแขนไปมาอย่างคนกำลังร่ายระบำ
“อะไร” ไมเคิลได้แต่ทำหน้าเหลอหลา ดูท่าตอนนี้เพื่อนของเขาน่าจะโดนหมัดฮุกจากสาวเอเชียคนนั้นเข้าอย่างจัง ถึงขนาดเดินไม่มองทาง เอาแต่มองเมฆด้านบนเหมือนคนสติไม่ดี
“พรหมลิขิต”
“เอาที่มึงสบายใจเลย” ไมเคิลเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยล้าพร้อมทั้งส่ายหน้าระอาให้กับท่วงท่าบ้า ๆ บอ ๆ ของเพื่อนสนิทไปด้วย
คริสเตียนไม่ยอมหยุดแค่นั้น เขายังคงเดินตามหญิงสาวในฝันไปเรื่อย ๆ เฝ้ามองดูเธอยืนชื่นชมสถาปัตยกรรมมุมนั้นมุมนี้จนกระทั่งเธอเดินมาหยุดอยู่หน้าวิหารเซนต์มาร์กอันเลื่องชื่อ หญิงสาวกำลังจะยกกล้องฟิล์มขึ้นมาถ่ายรูปเก็บความสวยงามตรงหน้าเอาไว้
ไวกว่าความคิดก็คงเป็นเท้าของคริสเตียน เขารีบเอาตัวเองเข้าไปเสนอหน้าอยู่ในฟิล์มแผ่นนั้นโดยไม่ขอคำอนุญาตใด ๆ จากเจ้าของกล้องเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังจ้องมองผ่านเลนส์กล้องเข้าไปสบตาเธออีกด้วย
วินาทีแรกที่ได้มองหญิงสาวตรง ๆ คริสเตียนก็บอกตัวเองได้ในทันทีเลยว่าเขากำลังตกหลุมรักเข้าแล้วจริง ๆ ผู้ชายที่ชอบหยอดหญิงสาวไปวัน ๆ อย่างเขากำลังจะมีความรักเป็นชิ้นเป็นอันสักที แล้วเขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าของดวงตาทรงเสน่ห์นี้จะรู้สึกแบบเดียวกับเขา ไม่ใช่แค่ชอบ แต่คิดไปไกลจนถึงขั้นแต่งงานกัน
“ขอโทษครับ” คริสเตียนรีบพูดหลังจากหลุดออกจากภวังค์พร้อมทั้งโค้งศีรษะตามจำนวนคำที่พูดออกไปด้วย ก่อนจะระบายรอยยิ้มอบอุ่นแล้วเดินออกมา
เขาไม่ได้คิดจะปล่อยให้โอกาสครั้งนี้หลุดรอดไปแต่อย่างใด หากแต่เขาอยากสร้างความประทับใจในการพบกันครั้งแรกให้เหมือนกับภาพในนิยายที่พระเอกกับนางเอกเจอกันด้วยความบังเอิญ แล้วค่อย ๆ ก่อร่างสร้างความรักขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งทุกอย่างสุกงอมถึงชวนกันเข้าสู่พิธีวิวาห์
“ไว้เจอกันอีกนะ แม่สาวรักแรก”
คริสเตียน แกรนซ์ เอ่ยชื่อนี้ออกไปเขามั่นใจว่าผู้คนค่อนประเทศอิตาลีต้องเคยได้ยิน ตระกูลของเขาเป็นผู้มีอิทธิพลของประเทศแถบนี้แทบทั้งหมด เนื่องจากบรรพบุรุษมีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ ๆ มาอย่างยาวนาน และทุกวันนี้ก็ยังมีบุญคุณต่อทางภาครัฐอีกด้วย ไม่ว่าจะเรื่องบนดินหรือใต้ดินตระกูลแกรนซ์นั้นล้วนมีอิทธิพลแทรกแซงทั้งสิ้น รวมถึงโรงแรมขนาดใหญ่หลายร้อยแห่งที่ตั้งอยู่ในประเทศนี้ก็เป็นของตระกูลแกรนซ์เช่นกัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าถิงถิงจะเข้าใช้บริการที่ไหนก็ไม่แปลกที่คริสเตียนจะรู้แล้วตามไปเจอได้ทุกครั้ง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศนี้ถูกเขากำหนดทิศทางไว้หมดแล้ว
“เจอกันอีกแล้วนะครับ”
“คุณพูดไทยได้เหรอคะ” ถิงถิงถลึงตาโตอย่างตกใจกับสำเนียงไทยที่เกือบจะชัดของคนตรงหน้า เมื่ออยู่ ๆ อีกฝ่ายก็เอ่ยทักทายเธอขึ้นมาด้วยภาษาไทย
“ครับ ผมเป็นลูกครึ่งไทยน่ะครับ ว่าแต่คุณล่ะ ทำไมถึงได้พูดไทยชัดจัง” เขาแสร้งถามทั้งที่รู้อยู่แล้วถึงได้มาตีสนิทเธอด้วยภาษาไทย
“อ๋อ ถิงเป็นลูกครึ่งไทยเหมือนกันค่ะ อุ๊ย! ขอโทษค่ะ ฉันลืมตัวไปหน่อย” ถิงถิงยิ้มแก้เขินออกมาที่เมื่อกี้เธอดันเผลอใช้สรรพนามที่ชอบใช้กับคนสนิทไปซะอย่างนั้น
“ไม่เป็นไรครับ คุณ...ถิง” คริสเตียนไม่ถือสาแถมรีบยิ้มกว้างให้เธอทันที
“ถิงถิงค่ะ” เธอแนะนำชื่อของตัวเองออกไปเสียงฟังชัด ในขณะที่คนฟังก็ยิ้มกว้างจนเมื่อยแก้ม
“ชื่อน่ารักสมกับคุณถิงถิงเลยครับ อย่าบอกนะครับว่าคุณถิงถิงเป็นลูกครึ่ง...”
“จีนค่ะ คุณพ่อถิงมาจากฮ่องกง”
“ว้าว ยอดเยี่ยมไปเลยครับ ว่าแต่คุณถิงถิงกำลังจะไปที่ไหนเหรอครับ ให้ผมไปเป็นเพื่อนไหมครับ” คริสเตียนเริ่มชวนถิงถิงคุยเพื่อละลายพฤติกรรมทันที วันนี้เขาตั้งใจว่าจะพาเธอไปเดินชมเมืองต่อเพื่อสร้างความประทับใจ
ด้านถิงถิงเองก็ไม่ใช่หญิงสาวที่ไม่ประสาจนไม่รู้เรื่องอะไร การที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาทักทายแถมยังชวนเธอคุยจ้อแบบนี้ก็แสดงว่าเขามีใจให้เธอไม่น้อยเช่นกัน ประเทศที่สวยงาม บรรยากาศที่แสนโรแมนติก มาพร้อมกับผู้ชายในฝันที่เธอเฝ้ามองหามาทั้งชีวิต ทุกอย่างช่างเป็นไปตามที่เธอเฝ้ารอ
“ก่อนที่เราจะไปเที่ยวด้วยกันถิงยังไม่รู้จักชื่อคุณค่ะ คุณ...”
“คริสเตียนครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณถิงถิง” คริสเตียนไม่ว่าเปล่าพูดจบเขาก็ยื่นมือออกไปเช็กแฮนด์กับหญิงสาวทันที
ถิงถิงหลุบตามองมือใหญ่ตรงหน้า เธอใช้เวลาครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือตอบรับการทักทายกลับไป
“ยินดีที่ได้รู้จักกันค่ะคุณคริสเตียน”
เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ทำให้ทั้งสองได้ทำความรู้จักกันและกัน ถิงถิงประทับใจในตัวคริสเตียนทุกอย่าง ยิ่งได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับเขาเธอก็ยิ่งมั่นใจว่านี่คือผู้ชายที่เธอต้องการ
ส่วนคริสเตียนเองก็เช่นกัน ยิ่งเขาได้พูดคุยกับถิงถิง เขาก็ตอบหัวใจได้อย่างหนักแน่นมากขึ้นว่านี่คือความรักที่คนอย่างเขาไม่เคยคิดจะมอบให้ใคร กระทั่งได้มาเจอกับเธอ หญิงสาวธรรมดาที่สามารถขโมยหัวใจคนอย่างเขาไปได้ทั้งดวง
คนทั้งคู่ใช้เวลาศึกษาดูใจกันเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน คริสเตียนเทียวไปมาหาสู่หญิงสาวไม่เว้นวัน ทั้งไปเที่ยวด้วยกันแทบจะทุกที่ ทั้งรับประทานอาหารร่วมกันแทบจะทุกมื้อ เธอและเขาได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันราวกับมาฮันนีมูน จนกระทั่งถึงวันที่คริสเตียนขอนัดดินเนอร์ยังห้องอาหารริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง
ด้วยความที่เป็นผู้ชายรู้ใจผู้หญิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงจัดการหาร้านที่บรรยากาศสุดโรแมนติกและจัดการส่งชุดสวย ๆ ไปให้ถิงถิงได้สวมใส่ เพื่อให้เธอประทับใจดินเนอร์คืนนี้ไม่มีวันลืม
“นี่คุณทำทั้งหมดนี่เองเหรอคะ” ถิงถิงถามพลางกวาดสายตามองบรรดาดอกกุหลาบหลากสีสันในแจกันที่ตั้งไว้เต็มพื้นที่แห่งนี้ เธอยิ้มให้คริสเตียนเมื่อเขาเดินเข้ามาหาพร้อมทั้งกุมมือของเธอเอาไว้
คริสเตียนพาถิงถิงมานั่งยังโต๊ะดินเนอร์ที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ด้วยอาหารเลิศรส ก่อนที่ค่ำคืนอันสุดแสนโรแมนติกนี้จะจบลงด้วยการที่เธอกับเขาออกไปเต้นรำด้วยกันตามจังหวะเพลงคลาสสิก ราวกับว่าทั้งคู่จะไม่มีวันพรากจากกัน
