บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4 ลูกชายผมมันร้าย

“อะไรนะคะ! คู่หมั้นเหรอ เมื่อไหร่กัน”

“ผมไม่จำเป็นต้องบอกรายละเอียด “คนอื่น” เอาเป็นว่าพวกเราขอตัวก่อนนะครับ ไปเถอะน้องอัน ทำไมตัวเย็นแบบนี้ล่ะ รอเดี๋ยวนะ”

ภาวิชญ์ถอดเสื้อสูทของเขา สวมทับให้อันตรา ต่อหน้าคนที่ได้ชื่อว่าเป็น “อดีตคนรัก” อย่างครีม ที่ได้แต่ยืนนิ่ง มองดูเขาแสดงความรักออกนอกหน้า อันตราที่ยืนงง ทำอะไรไม่ได้นอกจากพูดขอบคุณ และปล่อยให้ภาวิชญ์พาเดินเข้าไปด้านใน

“ขอโทษด้วยนะ ที่พี่เสียมารยาท โกรธไหม”

“เปล่าค่ะ พี่บอกว่าคนนั้น คือรุ่นน้องเหรอคะ”

“ใช่ คนที่อยู่กับพี่ในห้องเรียนวันก่อน ที่อันได้ยิน”

“คะ? ก็บอกแล้วว่าไม่ได้แอบฟัง แค่ตกใจเสียงประตู ก็เลยเดินไปดู”

“เลยทำไอ้นี่ ตกไว้ใช่ไหม”

ภาวิชญ์หยิบปากกาของเธอออกมา อันตราคิดว่ามันหายไปแล้วเสียอีก ที่แท้ก็ตกตอนที่เธอกำลังเก็บของหนีนั่นเอง

“เอาคืนมานะคะ”

“ได้สิ แต่ต้องช่วยพี่ก่อน”

“ช่วย… ให้ช่วยอะไร”

“ก็ได้ยินแล้วนี่ เมื่อกี้นี้พี่ประกาศชัดเจน”

“อะไรนะคะ แต่ว่าเราพึ่งคุยกันว่าจะไม่…”

“ไม่ถึงขนาดนั้น เอาเป็นว่าให้พี่พูดเอง”

“แต่ว่า…”

"มาเถอะน่า"

“อย่าเอาแต่ใจตัวเองสิคะ”

ภาวิชญ์ดึงอันตราเข้ามาในห้องว่าง และดันเธอไปติดผนังอีกครั้ง ตรงนี้เป็นห้องส่วนตัวที่ว่างเปล่า ไม่มีคนเข้าออกนอกจากจะมีคนใช้งาน อันตราใจเต้นแรง แน่ล่ะคนหล่ออย่างเขา จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่ปฏิเสธได้ ใช่ว่าเธอจะไม่หวั่นไหวเสียหน่อย

“หรือจะให้พี่บอกพ่อกับแม่ดีล่ะ ว่าพวกเรารู้จักกันดีขนาดไหน น้องอันตรามหึงพี่ และโกรธจนพูดแบบนั้นออกไป ปากกานี่เป็นหลักฐานได้ มันอยู่กับพี่มานาน อีกอย่างปากกาแบบนี้ มีแค่อันเดียวในโลกนะ”

“พี่อย่า…”

“เพราะพี่พูดไปแล้ว รับรองว่าจากนี้เค้กคงไม่อยู่เฉย ๆ แน่ คงตามสืบเรื่องของอัน พี่เงอก็พึ่งนึกขึ้นได้ ดังนั้นหลังจากนี้ในมหาลัย พี่คงจะต้องจัดการต่ออีกหลายอย่าง ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าหลังจากนี้อันไม่ยินดีที่จะหมั้น พี่ก็จะยอมรับการตัดสินใจของอัน โดยไม่โต้แย้งเลย”

“ทำไมต้องลากอันเข้ามายุ่งเรื่องนี้ด้วย”

“ขอโทษนะ พี่ปากไวไปหน่อย เอาไว้จัดการเรื่องนี้จบเมื่อไหร่ พี่จะไม่มาวุ่นวายกับอันอีก”

“แต่ว่าทางผู้ใหญ่ละคะ”

“พี่จัดการเอง เชื่อใจพี่ได้ไหม”

เธอมีทางอื่นให้เลือกด้วยเหรอ ปากกาที่พ่อของเธอทำให้ เป็นของขวัญวันเกิดก็อยู่กับเขา ดูยังไงก็ไม่ต่างกับแฟน และตอนนี้ยังดึงเธอไปพัวพันกับผู้หญิงสองคนที่พึ่งเจออีก

ห้องส่วนตัว

“กลับมากันแล้วเหรอ”

“หนูอันเป็นยังไงบ้าง ป้าต้องขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้หนูตกใจ พวกเราคุยกันแล้วว่า”

“ผมคุยกับอันแล้วครับ พวกเรายังไม่คุยเรื่องหมั้นกันตอนนี้ เพราะอันยังไม่พร้อม อีกอย่างเรายังเรียนไม่จบ ผมกับอันคุยกันว่าหลังจากนี้ จะลองศึกษาดูใจกันไปก่อนสักพัก ถ้าหากว่าชอบกันจริงๆ ค่อยมาคุยกัน แต่ถ้าลองแล้วมันไม่เวิร์ค ต้องปล่อยพวกเราไปนะครับ ได้ไหม”

ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนอ้าปากค้าง และหันไปมองหน้ากัน นี่ไม่ใช่โอกาสที่ดีหรอกเหรอ ที่ภาวิชญ์เสนอขึ้นมาเอง พ่อแม่ของเขากังวลเรื่องนี้มาตลอด กลัวว่าจะติดหลุมพรางผู้หญิงคนอื่น ๆ และไม่อยากให้ลูกต้องเสียใจ เหมือนกับครั้งก่อน คุณวิชุดาถูกชะตากับอันตรา ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก และเห็นความกระตือรือร้นของเธอ ในการช่วยงานบริษัทคุณพ่อ จึงประทับใจ และอยากได้อันตรามาเป็นลูกสะใภ้

“แบบนี้ก็ดีเลย! เอาล่ะนั่งลง ๆ ในเมื่อคุยกันได้ ก็ตกลงตามนั้น หนูอันหลังจากนี้ ถ้าเจ้าภีมทำอะไรไม่ดี ก็บอกลุงกับป้าได้เลยไม่ต้องเกรงใจ ลุงกับป้าอยู่ข้างหนูเสมอ และพร้อมจะจัดการเจ้าลูกชายตัวดีให้”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะคุณลุงคุณป้า”

เสกสรรค์หันไปชนแก้วกับภาษิต เพราะไม่คิดว่าทั้งคู่ จะกลับมาพร้อมกับข่าวที่ดีเกินคาดแบบนี้

“นึกว่าจะต้องกินแห้วเสียแล้ว”

“ลูกชายผมมันร้ายใช่ไหมล่ะ ผมบอกคุณแล้วไง”

ภาษิตหันมากระซิบกับภรรยา ที่กำลังยิ้มอย่างพอใจ ที่ภาวิชญ์ยอมตกลงเรื่องนี้ หลังจากนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็เปลี่ยนไปทันที

“ของหวานสักหน่อยไหม”

“ขอบคุณค่ะ”

ภาวิชญ์ดูแลอันตราเป็นอย่างดี จนทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรู้สึกโล่งอก ตอนนี้อันตราไม่ได้พูดอะไรมากแล้ว อีกอย่างเธอก็หันไปคุยกับภาวิชญ์บ่อยขึ้น

“ขอเบอร์หน่อยสิ เอาเผื่อไว้ คงไม่อยากให้พวกพ่อแม่สงสัยหรอกนะ"

“ก็ได้ค่ะ”

อันตรารู้สึกว่าพลาดไปแล้ว ตอนนี้เธอเริ่มตั้งตัวไม่ติด อีกอย่างแม้ว่าภาวิชญ์จะบอกไปอย่างนั้น แต่หลังจากนี้ล่ะ ถ้าเธอเกิดหวั่นไหวกับเขา และชอบเขาขึ้นมาจริง ๆ จะทำยังไง

แต่ผู้ชายเจ้าชู้อย่างภาวิชญ์ มีเหรอที่จะชอบผู้หญิงอย่างเธอ ซึ่งอันตราก็คิดถูก เพราะหลังจากคืนนั้น เมื่อทั้งสองครอบครัวแยกย้ายกันกลับบ้าน เขาก็ไม่เคยติดต่อเธออีกเลย

จนกระทั่งเธอไปช่วยมะปรางย้ายห้อง มาที่คอนโดใหม่ และในที่สุดก็เปิดเทอมวันแรก ช่วงบ่ายที่ไม่มีเรียน เธอก็ไปที่หอสมุด ส่วนเพื่อน ๆ แยกย้ายกันกลับบ้าน

หอสมุดในมหาวิทยาลัย

อันตราเดินไปหยิบหนังสือที่เธอจะยืม และเมื่อไปถึงชั้นสาม ก็ได้ยินเสียงของรุ่นพี่ที่มานั่งคุยงานกัน ดูเหมือนว่าช่วงนี้ จะมีพวกปีสี่เข้ามาที่หอสมุดบ่อย เธอจึงรีบหยิบหนังสือ และกำลังจะเดินออกมา แต่ก็ได้ยินบางอย่าง จากคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ

“จริงเหรอวะ ทำไมก่อนหน้านี้ไอ้ภาวิชญ์ไม่เคยบอกเลยว่า รู้จักกับน้องเค้กคณะพยาบาล”

“มึงไม่รู้เหรอ น้องมันตามไอ้ภีมไปที่สนามแข่งตลอด คงเพราะสาเหตุนี้ละมั้ง มันเลยยอมให้พ่อแม่มันหาคู่หมั้นให้”

“แล้วคู่หมั้นไอ้วิชญ์คือใครวะ มึงรู้ไหม มึงสนิทกับมันนี่”

“ไอ้กองทัพ นี่มึงคงจะไม่คิดจะเอาข่าวเพื่อน ไปขายหรอกใช่ไหม”

“ไม่ใช่แบบนั้น เห็นกูเป็นแบบนี้ แต่ข่าวของพวกมึงกูไม่เคยเอาไปประกาศนะโว้ย สรุปมึงรู้ไหมว่าคู่หมั้นมันคือใคร”

“ไม่รู้ว่ะ มันไม่ได้บอก อีกอย่างก็บอกว่าเรื่องนี้ยังไม่แน่นอน แต่กูว่านะ มันแค่อยากได้ไม้กันหมาแค่นั้นแหละ น้องเค้กอะไรนั่นก็ตื๊อมันฉิบหายเลยแม่ง ถ้าเป็นกูนะ จับกดจนลืมทางกลับบ้านไปนานละ”

“ไอ้เวร! มึงก็รู้ว่าสเปกของไอ้วิชญ์ ไม่ใช่สาวแบบนั้น มันชอบคนอายุมากกว่าไม่ใช่เหรอ”

“มันเด็ดกว่านั้นว่ะ ตรงที่…”

“อะไรอีก รีบว่ามา ก่อนที่มันจะมา”

“ที่กูรู้มา คนที่ทำให้ไอ้วิชญ์ไม่คบใครจนถึงตอนนี้ ก็คือคนที่ทิ้งมันไปหลายปีก่อน”

“แล้วไงวะ เรื่องนั้นพวกเราก็รู้หมดแล้วนี่”

“มันไม่ใช่แค่นั้น คือว่า… ผู้หญิงคนนั้น เป็นพี่สาวน้องเค้กน่ะสิ”

“ฉิบหาย!”

“ไอ้เวร! มึงจะร้องเพื่อ! ไอ้เพื่อนเวรนี่ กูจะไม่บอกอะไรมึงแล้ว อายคนอื่นเขา รีบไปก่อนจะโดนไล่”

“รอกูด้วย ไอ้ก้อง”

อันตราได้ยินเต็มสองหู เธอจึงนึกได้ว่าคืนนั้น ที่เขาพาเธอเข้ามาในห้องส่วนตัว ผู้หญิงสองคนที่เจอตรงทางเดิน คนหนึ่งอายุพอ ๆ กับเธอ ส่วนอีกคนดูอายุมาก เธอสวยและมีเสน่ห์มาก ๆ อันตรารีบหันไปนั่งที่โต๊ะ เพื่อสงบใจให้นิ่ง

“นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่ โง่จริง ๆ เลยอันตรา”

สองวันถัดมา

อันตรากับ “ทราย” เพื่อนสนิทในกลุ่ม กำลังเดินไปที่ร้านคาเฟ่เปิดใหม่ ซึ่งอยู่หน้ามหาวิทยาลัย แต่ทางที่ต้องเดินผ่าน กลับได้ยินเสียงคนกรี๊ด แน่นอนว่าต้องเป็นหน้าคณะวิศวะ

“นั่นพวกเขาแหละ ดูสิมีแต่คนกรี๊ด เลี่ยงไปทางอื่นเหอะอัน”

“ได้สิ”

อันตราเดินตามทรายออกไป แต่บางคนที่เธอหันไปมอง สังเกตเห็นเธอแล้วเหมือนกัน อันตราจึงรีบเดินหลบไปทันที

“รีบเดินเถอะทราย เดี๋ยวร้านก็ปิดหรอก”

“เออ ๆ แล้วทำไมแกต้องหน้าแดงด้วยละ”

“ไม่มีอะไรรีบไปเถอะ”

อันตราเดินไปแล้ว ภาวิชญ์หันไปมองเธอก็คิดอยู่ในใจ เขาไม่ได้ติดต่ออันตราไปเลยหลังจากวันนั้น แต่นี่ถึงกับไม่คิดจะทักทายเขาสักหน่อยเลยเหรอ

“ใจร้ายจังแฮะ ไม่คิดจะทักทายกันสักคำ สงสัยต้องไปกระตุ้นความทรงจำสักหน่อยแล้วมั้ง”
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel