บท
ตั้งค่า

บทที่3

“คุณมันโรคจิต”

หลังจากที่ได้กล่าวหาผมจนพอใจเธอก็ลงมือเขียนข้อมูลลงกระดาษ ระหว่างรอผมก็นั่งทำงานผ่านคอมพิวเตอร์พกพาไปด้วย เพราะผมเองก็มีงานที่ต้องสะสางอีกเยอะแยะ จนเวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีลูกค้าแรกก็เข้ามาในร้าน เพียงแค่เธอได้ยิ่งเสียงกระดิ่งที่ประตู ก็รีบลุกพรวดเข้าไปที่เคาน์เตอร์เพื่อต้อนรับลูกค้า

“สวัสดีค่ะ คุณหนิงวันนี้รับกี่ชิ้นดีคะ?” ดูจากการทักทายผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นลูกค้าประจำ

“สวัสดีค่ะคุณแพรว วันนี้พี่ขอเหมือนเดิมสองชิ้นแล้วก็คาปูชิโน่ร้อนหนึ่งแก้วค่ะ”

“ได้เลยค่ะ เชิญคุณหนิงนั่งรอสักครู่นะคะ” เธอบอกพร้อมกับพาลูกค้ามานั่งที่โต๊ะจากนั้นก็เดินไปหยิบหนังสือมาหนึ่งเล่ม “เรื่องนี้เพิ่งเข้ามาใหม่เลย คุณหนิงอ่านรอก่อนนะคะ”

“พี่กำลังสนใจเล่มนี้อยู่พอดี ขอบคุณมากเลยค่ะคุณแพรว”.

“ยินดีค่ะ” เธอยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรก่อนจะเดินกลับเข้าไปที่หลังเคาน์เตอร์

ทุกการกระทำของเธออยู่ในสายตาผมตลอด เห็นแล้วอดชื่นชมไม่ได้ที่เธอทุ่มเทให้กับการบริการขนาดนี้ เธอจำรายละเอียดของลูกค้าได้และใส่ใจเป็นอย่างดี ขาดแต่เพียงแรงสนับสนุนไม่อย่างนั้นร้านเธอคงมีคนเข้าเยอะกว่านี้ ผมว่า Café Library ของเธอดูเข้าท่าจะตายเป็นธุรกิจที่ทันสมัยมากในยุคนี้ ถ้าทำการตลาดดี ๆ สักหน่อยรับรองว่าเวิร์ค

หลังจากลูกค้าคนแรกออกไปเธอก็กลับมานั่งที่เดิม สีหน้าของเธอเวลาอยู่ตรงหน้าผมช่างแตกต่างจากตอนรับลูกค้าเหลือเกิน อยากรู้จักเวลาอยู่ใต้ร่างผมเธอจะมีสีหน้ายังไง…..

“มองทำไมคะ” คนถูกจ้องเอ่ยท้วง

“ผมหิว”

“ก็ไปหาอะไรกินสิมาบอกฉัน…..” เธอหยุดพูดกะทันหันเหมือนเห็นสายตาของผมที่กำลังจ้องมองเธออย่างมีความหมาย “คุณนี่มัน!!!”

“ถ้าไม่อยากโดนกินซะเอง…..ก็หาอะไรให้กินหน่อยสิ”

“เหอะ!”

ร่างเล็กส่งเสียงไม่พอใจก่อนจะเดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์เพื่อทำอะไรง่าย ๆ ทาน ผมเชื่อว่าเธอมีฝีมือในการทำอาหารเพราะใบประกาศนียบัตรที่แปะอยู่บนกำแพงนั่นสามารถการันตีในเรื่องนี้ได้ ความจริงแล้วแพรวเป็นผู้หญิงที่มีคุณสมบัติทุกอย่างที่ผู้ชายต้องการ เธอสวย ฉลาดและทำอาหารเก่ง

ขนมที่ว่าหวาน….อยากรู้อยู่นักว่าคนทำจะหวานกว่าสักกว่าแค่ไหน

ยังไงก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมฉันถึงได้มรดก??!

พื้นเพครอบครัวของฉันก็ไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดไปรู้จักมหาเศรษฐีแบบนั้น แล้วบอกตรง ๆ ว่าฉันไม่ไหวคุณกริชอะไรนั่นสักนิดเพราะท่าทางของเขาไม่น่าไว้ใจ หนำซ้ำยังมาขออาศัยอยู่ด้วยไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงรึเปล่า โอ้ยย เป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบแท้ ๆ ที่ทำให้ฉันเผลอไผลตอบตกลง เพียงเพราะเขาเอาเรื่องร้านมาเป็นข้อเสนอ

แต่ยังไงซะฉันก็รับปากเขาไปแล้ว ยังไงคงต้องดูสถานการณ์ไปก่อนเพราะหากเขาสืบหาข้อมูลที่ฉันต้องกาไม่ได้ ฉันก็จะไม่ยอมเซ็นต์อะไรทั้งนั้น ถือว่ายังมีข้อต่อรองที่ได้เปรียบอยู่บ้าง

แล้วนี่ฉันจะทำอะไรกับของตรงหน้าดีล่ะ ถ้าเป็นพวกอาหารส่วนใหญ่จะสั่งมากินไม่ค่อยได้ทำเท่าไหร่นัก แต่ในตู้เย็นก็พอมีของสดอยู่บ้าง คงพอทำอะไรง่าย ๆ ได้อยู่ ฉันเอาวัตถุดิบออกมาวางกองกันดู แล้วคิดเมนูที่พอจะทำได้ ก็คงไม่พ้นอะไรที่สามารถเอาเข้าไมโครเวฟได้

ระหว่างที่ฉันทำอาหารอยู่ก็เริ่มมีลูกค้าเข้ามาบ้าง ส่วนใหญ่เป็นฟรีแลนด์ที่ฉันคุ้นหน้าคุ้นตาดี มุมทำงานในร้านจะอยู่ด้านในสุดของซึ่งติดริมกระจกสามารถมองออกไปเห็นสวนเล็ก ๆ ที่ฉันแบ่งเอาไว้เป็นพื้นที่สีเขียว และมีลูกค้าอีกสองสามคนที่เข้ามาอ่านหนังสือฆ่าเวลา

เพราะฉันต้องทำเมนูเครื่องดื่มและขนมสดที่ลูกค้าสั่งไปพร้อม ๆ กับทำอาหารให้เขาทานเลยออกจะช้าไปสักหน่อย คนร่างสูงคงหิวมาก เลยเดินมาช่วยฉันที่หลังเคาน์เตอร์

“มีอะไรที่ผมพอทำได้บ้างมั้ย?”

“จะดีมากถ้าคุณกลับไปนั่งรอเงียบ ๆ ที่โต๊ะ”

“ทำไมล่ะ ก็ผมอยากช่วย” ฉันว่าเขาจะมาทำให้มันยุ่งยากมากกว่าเดิมน่ะสิ

“ว่างงานเหรอไงคุณ!”

ฉันไม่ชอบเลยเวลาที่มีคนแปลกหน้ามายุ่มย่ามในพื้นที่ของฉัน ความหล่อเหลาของเขาไม่อาจสลายความคืบแคลงใจไปได้ เขามันเป็นตัวอันตรายที่จ้องจะคุกคามฉันทุกครั้งที่มีโอกาส!

“จานนี้โต๊ะไหน?” เขาชี้นิ้วมาที่จานเล็ก ๆ ที่มีแพนเค้กร้อน ๆ วางอยู่

”โต๊ะแปดด้านในสุด”

“แค่นี้ก็จบเรื่อง”

เขาบอกพร้อมกับเดินถือจานไปที่โต๊ะดังกล่าว ฉันเหนื่อยหน่ายที่จะต่อปากต่อคำผู้ชายอะไรเอาแต่ใจที่สุด ไม่รู้คำพูดของฉันผ่านเข้าโสตประสาทการรับรู้ของเขาบ้างรึเปล่า!!

ระหว่างที่เขาเดินกลับมาอาหารก็สุกพอดี ฉันเลยเดินตามหลังเพื่อเอาจานไปวางไว้ให้ที่โต๊ะ พอมองจากด้านหลังแบบนี้แล้วหุ่นเขาเหมือนนายแบบเลย รูปร่างสูงโปร่ง…ไหล่กว้างเคลื่อนไหวอย่างได้สัดส่วน ขายาว ๆ แต่ละย่างก้าวของเขาช่างชวนมองซะเหลือเกิน

“ขอบคุณนะครับ” เขาเอ่ยขณะที่กำลังจะลงมือทาน

“ถามจริงเถอะ คุณไม่กลับไปทำงานทำการหรือไง”

“วันนี้ผมจะทำงานที่นี่” ประโยคที่เขาพูดทำให้ฉันหน้าหงิกทันที “ไม่ได้นั่งฟรี ๆ หรอกน่า ผมมีเงินจ่ายนะ”

“แล้วแต่เลยค่ะคุณกริช! ยังไงก็กินนอนที่นี่อยู่แล้วหนิ” แทนที่จะสลดกับคำประชดประชัดของฉัน เขากลับหัวเราะชอบใจซะนี่

ขืนอยู่คุยต่อคงได้อารมณ์เสียทั้งวันแน่ ๆ ฉันเลยเลือกที่จะเดินกลับไปทำงานโดยไม่หันกลับมาสนใจเขาอีกเลย ระหว่างที่ว่างก็จัดหนังสือไปเรื่อยเปื่อย เก็บโต๊ะให้เข้าที่พอบ่ายคล้องใกล้เย็นมีลูกค้าเข้ามาสั่งขนมมากขึ้น ฉันเลยต้องง่วนอยู่กับการขนมเพิ่มเติมเพื่อเอาไว้ขาย

ช่วงเย็นใกล้หัวค่ำมีลูกค้าเข้ามามากเป็นพิเศษส่วนใหญ่เป็นลูกค้าใหม่ที่เข้ามาอุดหนุนขนมทั้งนั้นเลย กลายเป็นว่าขนมหมดตู้ไม่เหลือค้างเลยสักชิ้น ตั้งแต่เปิดร้านมามีไม่กี่วันหรอกนะที่ฉันจะขายดีขนาดนี้ อดลอบมองผู้ชายที่นั่งทำงานไม่มีปากมีเสียงคนนั้นไม่ได้ จะเป็นเพราะเขารึเปล่านะ….

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel