ตอนที่ 12 บังคับ
เย็นวันอาทิตย์ หน้าร้านสะดวกซื้อ
ละมุนมาช่วยแม่ขายหมูปิ้งเหมือนทุกอาทิตย์ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือมีเต้อาสามาช่วยขายของตั้งแต่ยกของลงรถจัดเตรียมร้านและขายของให้กับลูกค้า แม้ละมุนรู้สึกไม่ค่อยดีก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงเพื่อถนอมน้ำใจไม่อยากให้เต้เสียความรู้สึกเลยจำใจให้เต้ช่วยขายของข้าง ๆ ในร้านขายหมูปิ้งขนาดเล็ก
อากาศร้อนอบอ้าวละมุนยืนย่างหมูหน้าเตาถ่านเหงื่อไหลย้อยลงข้างแก้มเนียน เต้หันมาเห็นรีบหยิบกระดาษทิชชู่จะซับเหงื่อให้แต่ละมุนผละออกหน้าตาเหลอหลา
“เราแค่จะเช็ดเหงื่อ”
“เดี๋ยวเราเช็ดเอง” ละมุนหน้าเจื่อนมีความกังวลกับท่าทีของเต้ที่อมยิ้มมองเธอตาหวานเยิ้ม ทำให้อึดอัดอยากบอกเขาตรง ๆ ไม่ให้คิดเกินเลยเพราะเธอไม่ใช่หญิงสาวบริสุทธิ์ผุดผ่องแต่มีลูกหนึ่งพร้อมกับสามีในนามที่แม้ไม่เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน เขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย
“ไม่เป็นไรมือละมุนเปรอะอยู่นี่” เต้อมยิ้มขำหน้าละมุนดูตกใจเกินเหตุแล้วยกมือขึ้นจะเช็ดหน้าให้เธอ
“แม่เช็ดให้เอง”
“เอ่อ ครับ” เต้หยุดกึกเหลือบมองแม่พลอยยืนตาเขียวคงไม่ชอบให้ใครแตะเนื้อต้องตัวลูกสาว แม่พลอยเดินมาแทรกกลางหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาซับหน้าให้ลูกสาวเบา ๆ
“หมดเตานี้ก็กลับไปเลี้ยงคุณหนูต่อเถอะลูก”
“จ้ะแม่” ละมุนรีบรับคำมองตากับแม่ที่รู้ว่าเธอลำบากใจ เต้ยืนมองผิดหวังอุตส่าห์ตั้งใจจะมาจีบหญิงสาวแต่เหมือนแม่เธอจะกีดกัน
ค่ำวันเดียวกัน
พ่อแม่ของละมุนขับรถกระบะเข้ามาในรั้วคฤหาสน์หลังจากขายหมูปิ้งเสร็จ ทั้งคู่เหงื่อโซมกายกลิ่นหมูปิ้งยังติดบนเสื้อผ้าหน้าผมแต่ต้องรีบมา
ละมุนนอนกล่อมลูกอยู่บนห้องนอนจนลูกหลับเธอเลยลุกขึ้นไปปิดผ้าม่านหน้าต่างเห็นว่ารถกระบะของพ่อแม่จอดอยู่หน้าลานจอดรถก็แปลกใจรีบเดินกลับมากดปุ่มเรียกนุ่มให้ขึ้นมานอนเป็นเพื่อนอธิกรแล้วหยิบโทรศัพท์มากดดูเห็นมีเบอร์ของแม่โทรมาแต่เธอปิดเสียงปิดสั่นไม่ให้ลูกสะดุ้งตอนที่กำลังจะเคลิ้มหลับ ละมุนกังวลว่ามีเรื่องอะไรกับพ่อแม่รีบเดินเร็วออกจากห้องนอนสวนกับนุ่มที่กำลังเดินขึ้นบันไดมาตามเสียงกดเรียก
“ฝากดูคุณหนูก่อนนะพี่ ไม่รู้ว่าพ่อแม่หนูมีปัญหาอะไรถึงมาหาตอนดึก”
“พ่อแม่ไม่น่าจะมาหาละมุนนะ ท่านเข้าไปพบกับคุณพอลที่ห้องรับแขกใหญ่ป้าแววเอาน้ำไปเสิร์ฟบอกว่าคุณพอลเชิญมาคุยธุระ”
“ธุระตอนสามทุ่มเนี่ยนะ” ละมุนนิ่วหน้าสงสัยนึกกังวลว่าจะเป็นเรื่องไม่ดีหรือว่าเขาจะเลิกจ้างเธอเลยให้พ่อแม่มารับตัวเธอกลับไปแล้วทำไมไม่บอกเธอล่วงหน้า ละมุนร้อนใจรีบเดินปรี่ไปยังห้องโถงรับแขกได้ยินเสียงสนทนาเลยแอบหลบฟังข้างตู้โชว์อยากรู้ว่าพสุธรให้พ่อแม่เธอมาทำอะไรตอนค่ำ
“ผมอยากให้คุณลุงคุณป้าเลิกขายหมูปิ้งที่หน้าปากซอยครับ” พสุธรเอ่ยขึ้นหลังจากพูดคุยสารทุกข์สุกดิบกันมาสักพัก
“ทำไมล่ะครับ” พ่อถามกลับทันควันด้วยความสงสัย
“ผมอยากให้ละมุนไปเยี่ยมพ่อแม่แต่ไม่อยากให้เธอช่วยขายของเพราะจะเหนื่อยกลับมาก็เลี้ยงลูกได้ไม่ค่อยเต็มที่”
“มันคืออาชีพของพวกเรานะคะ” แม่เย้งขึ้นงานนี้คืออาชีพถ้าไม่ทำก็ไม่มีรายได้
“ละมุนให้เงินพ่อแม่ไม่พอใช้หรือครับ?”
“พอค่ะแต่พวกเราเก็บเอาไว้เผื่อลูกต้องใช้ตอนหมดหน้าที่ให้นมลูก” แม่น้ำเสียงเนิบนาบวางแผนเก็บเงินและระวังการใช้เงินเพราะรู้ว่าอีกไม่นานลูกจะหมดหน้าที่ที่ทางสิงหบดินทรว่าจ้างจึงเตรียมเก็บไว้ให้ลูกมีติดตัวและใช้จ่ายในยามที่ยังไม่มีงานทำ พสุธรนิ่งคิดเขาเคยเข้าใจผิดคิดว่าพ่อแม่ละมุนเห็นแก่ได้แม้เธอจะเคยบอกว่าพ่อแม่ไม่อยากเบียดเบียนลูกยอมทำงานเหนื่อยเพื่อให้ลูกสบายมันจริงอย่างที่เธอบอก คนที่มีทุกอย่างอยากได้อะไรก็ได้อย่างเขาไม่เคยเข้าใจความเสียสละของพ่อแม่ที่ต้องพยายามขวนขวายให้ลูกได้อยู่ดีกินดีเป็นยังไงแต่ครอบครัวนี้กำลังทำให้เขาเข้าใจ
“ถ้าอย่างนั้นผมขอรู้รายได้และกำไรต่อวันได้ไหมครับ?”
“กำไรวันละประมาณสี่ร้อยถึงห้าร้อยบาทครับ”
“หนึ่งเดือนประมาณหนึ่งหมื่นห้าพันบาทหนึ่งปีหนึ่งแสนแปดหมื่นบาท ยี่สิบปีสามล้านหกแสนบาทไม่รวมวันหยุดที่ขายไม่ได้ ฝนตก เจ็บป่วย ไปหาหมอ” พสุธรคำนวณเงินรายได้คร่าว ๆ แล้วหยิบสมุดเช็คมาวางบนตักเขียนตัวเลขกับลายเซ็นก่อนจะฉีกเช็คส่งให้กับพ่อแม่ของละมุนที่ยื่นมือรับเช็คอย่างงง ๆ
“ผมให้รายได้ล่วงหน้ายี่สิบปีครับ” คำพูดของพสุธรทำให้พ่อแม่ละมุนตาเบิกโพลงรีบก้มมองอ่านตัวเลขในเช็คจำนวนสี่ล้านบาทถ้วน
“พวกเราไม่ได้อยากได้เงินคุณเพิ่ม เท่าที่เคยให้มาก็มากพอแล้ว” แม่นิ่วหน้าไม่สบายใจไม่อยากให้พสุธรคิดว่าพวกท่านหน้าเงินหวังรีดไถ ก่อนหน้านี้ยอมให้ลูกอุ้มบุญเพราะละมุนอยากตอบแทนที่คุณหญิงย่าช่วยให้เงินค่ารักษาตอนพ่อป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ต้องผ่าตัดลำไส้ให้คีโมรักษาจนหาย ละมุนเลยยอมอุ้มบุญโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนแต่คุณหญิงย่าเกรงใจขอให้รับเงินและบ้านที่ท่านซื้อให้ไม่อย่างนั้นท่านจะรู้สึกไม่ดีที่เอาเปรียบ ในตอนนั้นพ่อแม่จึงจำยอมรับสิ่งของเหล่านั้นมา
