บทที่ 5 แค่คนรู้จัก
“คุณทิราถึงแล้วนะครับ เด็กกำลังพาไปจอดรถที่ด้านหลัง”
บูมรายงานเจ้านายเสร็จก็ยืนรอคำสั่งว่าเจ้านายจะมีอะไรให้เขาทำเพิ่มอีกหรือไม่ เพราะเมื่อกี้ก็ให้เด็กลงไปตามเขาให้ขึ้นมาหาด่วน แต่พอมาแล้วก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรนอกจากหงุดหงิด
“มึงไม่ได้ย้ำเวลาหรือไงทำไมมาสาย?” คีรินพูดจบก็ตวัดสายตาขุ่นเคืองไปมองลูกน้องคนสนิท
“แจ้งแล้วครับ แต่คุณทิราเลี้ยวผิดซอย” บูมตอบออกไปพร้อมกับก้มหน้าลง ยิ่งเจ้านายเงียบเหงื่อที่แผ่นหลังเขาก็ชื้นไปหมด
“ไปเปิดโต๊ะข้างล่าง!” คีรินพูดจบก็ละสายตาจากกระจกริมระเบียงที่มองลงมาไปจากชั้นสามก็คือลานจอดรถด้านหลัง มุมปากหยักของเขาแค่นยิ้มร้าย
“วันนี้นายจะลงข้างล่างเหรอครับ?” บูมถามอย่างสงสัยเพราะโดยปกติเจ้านายของเขาชอบปาร์ตี้ก็จริง แต่ไม่ได้ชอบที่ที่คนพลุกพล่านแล้ววันนี้เป็นวันเสาร์ลูกค้าที่ร้านเรียกว่าเต็มทุกพื้นที่
“ทำไม…ร้านกู กูจะแดกเหล้าที่ไหนหนักกะบาลใคร?”
คีรินพูดไปด้วยมือก็กดส่งข้อความออกไปหาใครสักคน
“เดี๋ยวผมไปจัดการให้ครับ” แม้จะมีคำถามมากมาย แต่ลูกน้องอย่างบูมก็คิดว่าตนเองไม่ควรจะพูดอะไรในตอนที่เจ้านายอารมณ์เสีย
อินทิรามองตัวเองในเงากระจกของทางเดินเข้าไปในไนต์คลับแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เบ้าตาของเธอลึกโบ๋ขนาดนี้ให้สิบคอนซีลเลอร์ที่ดีที่สุดแห่งปีก็คงจะเอาไม่อยู่
หญิงสาวรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้ติดลิปสติกสีสดมาสักแท่ง ริมฝีปากอวบอิ่มในตอนนี้ทาเคลือบด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อน เข้ามาอยู่ในสถานที่แบบนี้มันกลับกลายเป็นซีดอย่างกับคนป่วย
เธอเทียบไม่ได้เลยกับผู้หญิงที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ แต่ละคนสวยหุ่นดีราวกับพวกดารานางแบบ
อินทิราอดไม่ได้ที่จะก้มลงมองชุดเดรสแขนกุดสีดำพอดีตัว กับรองเท้าส้นที่สูงที่สุดในบ้าน
เครื่องประดับที่ใส่มามีเพียงต่างหูคู่เดียว มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าคลัชใบเล็กน่ารัก ไม่ว่าจะมุมไหนเธอก็ไม่เหมาะกับที่นี่
อินทิราละสายตาจากผู้คนมากมายตรงหน้าก้าวเท้าขึ้นไปยังบันไดขั้นที่หนึ่งในส่วนที่แบ่งโซนกั้นเพื่อความเป็นส่วนตัว
ระดับสายตาของหญิงสาวที่พาดผ่านไปทางนั้น เธอเห็นโต๊ะใหญ่จำนวนสามโต๊ะมีจำนวนลูกค้าหลายคนนั่งกันอยู่เงียบ ๆ ไม่มีใครลุกขึ้นออกสเตปอย่างโซนข้างล่าง
เหมือนพวกเขามาแค่นั่งคุยกัน แต่ข้างกายของผู้ชายพวกนั้นจะมีผู้หญิงหน้าตาสะสวยนั่งขนาบข้าง
“คุณทิราเชิญทางนี้ครับ…” บูมผายมือให้หญิงสาวที่เดินตามหลังมา เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาและเอ่ยปากขอบคุณเบา ๆ
อินทิรากลับมาโฟกัสเส้นทางข้างหน้า พอลูกน้องของคีรินเดินหลบทางเธอไป หญิงสาวก็เห็นแผ่นหลังกว้างที่กำลังนั่งหันหลังให้เธอและหันหน้าไปทางเวที
ในตอนที่เธอไปถึงที่โต๊ะภาพตรงหน้าทำให้เธอทำตัวไม่ถูก สายตาสองคู่เหลือบขึ้นมาจ้องมองเธอ และมันคือแววตาไม่เป็นมิตรของผู้หญิงที่นั่งเคียงข้างคีรินอยู่ แล้วแววตาคมกริบของเขาก็ตวัดขึ้นมามอง อินทิราเผลอขยับเท้าอย่างประหม่า
“นี่เป็นชุดที่ดีที่สุดที่มีแล้วหรือไง?” คำพูดของเขาไม่ต่างอะไรกับน้ำเย็นจัดที่สาดเข้าใส่ใบหน้าเธอ
อินทิรายังคงยืนสบตากับเขา มือทั้งสองข้างของเธอกำแน่น ถ้าตรงนี้มีเพียงแค่คีริน และเขาพูดแบบนี้เธอก็คงจะไม่ได้รู้สึกอะไร
แต่ในขณะที่เย้ยหยันเธอก็มีสายตาทิ่มแทงของผู้หญิงพวกนั้นอยู่ด้วย ใบหน้ากลมเกลี้ยงชาไปทั้งหน้า
“ก็คงดีที่สุดแล้วมั้งคะ...” ผู้หญิงหนึ่งในสองคนนั้นใจกล้าพูดขึ้นมา
“ฉันถามเธอหรือไง? ถ้าไม่ได้ถามก็ไม่ต้องพูด!” คีรินเอ่ยคำพูดทิ่มแทงพวกนั้นออกมา
นี่คือการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนกับผู้หญิงทุกคนที่กล้าเข้ามาอยู่ในวงจรชีวิต ไม่ว่าใครก็ไม่มีความสำคัญอะไรทั้งนั้น
เวลาดีคีรินก็ดีใจหาย แต่เวลาร้ายเขาก็ไล่บี้ราวกับมดปลวกที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด
“แล้วจะยืนอีกนานไหม? เฮ้ย! สายกี่นาทีไอ้บูม! สายกี่นาทีก็ให้คนไม่รักษาเวลาดื่มไปเท่านั้น!”
ยิ่งคีรินเห็นอินทิราสบตาเขาทั้งยังขยับกายมานั่งลงตรงข้ามกันทำราวกับไม่เดือดร้อนอะไรที่ผิดเวลาไปมากขนาดนี้
“ฉันไม่ดื่มค่ะต้องขับรถ...” เธอตอบอย่างไม่สนใจ ทั้งยังทำหน้าเฉย ๆ ไม่แสดงอารมณ์
เหมือนว่าอินทิราไม่รับรู้ถึงอารมณ์เดือดดาลของคีรินเลยสักนิด ต่างกับผู้หญิงสองคนที่ตอนนี้ก้มหน้าเอาแต่หลบสายตา เธอรู้จักนิสัยของคนเลี้ยงดูพวกเธอดี
“เธอสองคนออกไปให้พ้นหน้าฉัน!”
คีรินพูดจบก็กระแทกแก้วบรั่นดีในมือลงบนโต๊ะกระจกเสียงดัง ดีว่าเพลงในร้านดังไม่อย่างนั้นคงได้ยินกันทั่ว
เขาจุดบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นสูบก่อนจะพ่นควันสีขาวคลุ้งออกมาโดยไม่สนใจว่าเธอก็ยังนั่งอยู่ตรงนี้
“อยากมีปัญหากับฉันมากใช่ไหมทิรา...” อินทิรามองหน้าเขาก่อนจะส่ายหน้า เธอจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม เหมือนกำลังใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
แต่เธอไม่รู้หรอกไอ้ท่าทีนิ่งเฉยแบบนี้เหมือนชนวนชั้นดีที่ทำให้อารมณ์ของคีรินพุ่งสูงจนถึงขีดสุด
“ฉันต้องขับรถค่ะ ดื่มไม่ขับ” เธอหันไปขอน้ำดื่มกับบริกรที่ยืนอยู่แถวนั้น แต่คีรินก็ไล่ตะเพิดทุกคนออกไป
“ไปเอาเหล้ามาไอ้บูม!” คีรินเอ่ยปากสั่งบูม ก่อนจะหยิบเมล็ดอัลมอลด์โยนเข้าปาก
สายตาเขาโฟกัสไปที่เวทีด้านหน้าเหมือนกับจะให้พาเอาความรู้สึกเดือด ๆ ในใจไปอยู่ที่อื่น
บูมหายไปพักหนึ่งกลับมาพร้อมกับบาร์เทนเดอร์ที่เดินถือถาดเครื่องดื่มเข้ามาและค้อมศีรษะให้กับเจ้าของร้าน แค่คีรินมองหน้าไฟที่แก้วเหล้าใบเล็กก็ลุกพรึบ
“ถ้าเธอไม่กินฉันก็ไม่คุย กลับบ้านไปซะฉันไม่อยากเห็นหน้าเธอ!” คีรินพูดจบเขาก็หยิบแก้วไฟลุกนั้นยกและกระดกดื่มก่อนจะคว่ำมันอย่างแรงลงไปบนถาดใบเดิม
นัยน์ตาดำดิ่งจ้องมองเธออย่างสื่อความหมาย กดขี่ ข่มเหง คอยแต่จะเหยียบย่ำกันให้ตายอยู่ตรงนี้
“ถ้าคุณยังไม่อยากให้ฉันขับรถไปตายอนาถ ก็ขอให้ฉันดื่มแค่แก้วเดียวเถอะค่ะ” เธอพูดทั้งยังสบตาเขาไปด้วย
เขาดันเธอจนสุดทางแต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังมีทางจะมุดไปทางอื่นได้อยู่ดี
“ได้! เธอไม่มีวันได้ตายง่าย ๆ หรอกทิรา กินซะอย่าลีลา!”
อินทิราจ้องมองเปลวไฟสีน้ำเงินที่ติดอยู่บริเวณขอบแก้ว
แก้วใบที่หนึ่งที่ยกขึ้นจรดริมฝีปากอวบอิ่ม น้ำสีน้ำตาลมองแล้วคล้ายกาแฟใส่นมเข้ม ๆ แตะโดนผิวปากก็รู้สึกแสบ ๆ ร้อน ๆ แล้ว
และเมื่อกระดกดื่มเข้าไปยามน้ำของแอลกอฮอล์ที่มีชื่อว่า B52 ไหลผ่านลำคอ ขนตามร่างกายก็ลุกชัน
แค่เพียงเหล้าแก้วเดียวที่ดื่มไป ร่างกายเธอรู้สึกร้อนผะผ่าว นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ตนเองได้ลิ้มลองแอลกอฮอล์
อินทิรานั่งอยู่ตรงนั้นโต๊ะเดียวกันกับคีริน เราสองคนไม่ได้พูดคุยอะไรกัน แต่เธอจำได้ว่าแก้วสุดท้ายที่ตนเองดื่มเข้าไปเป็นไวน์ของใครสักคนที่เดินมาทักคีรินและเขายื่นมันให้กับเธอ
อินทิราไม่ได้อยากจะดื่ม แต่คนนั้นคะยั้นคะยอ
“ไม่คิดว่าคุณทิราจะรู้จักไอ้โคลมันด้วย…”
“ฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะรู้จักเขาเหมือนกัน...”
“เป็นแฟนมันเหรอครับ?”
“ไม่ใช่ค่ะ แค่คนรู้จัก”
