บท
ตั้งค่า

แย่งชิงดวงชะตา

หลี่เสวียนหรงทายาทเพียงคนเดียวเจิ้งกั๋วกงหลี่เสวียนจั้ง ปีนี้ย่างเข้าวัยสิบเจ็ด เครื่องหน้าหล่อเหลาราวกับสวรรค์ปั้น ร่างสูงหกเซี๊ยสมส่วนสง่างาม ยากนักที่จะมีหญิงใดหักห้ามใจมิให้หลงใหล ทว่าสิ่งที่ซื่อจื่อผู้นี้รังเกียจที่สุด กลับเป็นสายตาลุ่มหลงเหล่านั้น

เมื่อได้เห็นการกระทำของหยางอวี้จิ้น จึงพาลรังเกียจพี่น้องคนอื่นของนางไปด้วย ในความคิดของเขา เด็กสาวที่นั่งอยู่บนโขดหิน เป็นเพียงหญิงน่าชังอีกคนหนึ่ง ที่พยายามจะเรียกร้องความสนใจจากเขาไม่ต่างจากหญิงอื่น

นับว่าด้ายแดงของอวี้ซื่อถูกตัดขาดโดยสมบูรณ์แล้ว

กั๋วฟูเหรินได้สติทันทีที่หยางอวี้ฮวาดึงเข็มสุดท้ายออก คนแรกที่นางได้เห็นตอนลืมตา คือดรุณีน้อยใบหน้างดงามนางหนึ่ง

“รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” อวี้ฮวาถามเสียงอ่อนโยน พลางยื่นมือไปจับชีพจร เมื่อเห็นว่าชีพจรกลับมาเต้นเป็นปกติดีแล้ว ถึงได้ลุกขึ้นยืน ด้วยความที่นั่งคุกเข่ามานาน ร่างกายจึงซวนเซเล็กน้อย ไม่นึกว่าเสวียนหรงจะเข้ามาประคอง

นางรีบเบี่ยงตัวออกอย่างขัดเขิน ก่อนจะรายงานอาการกั๋วฟูเหรินให้เขาฟัง “เวลานี้ชีพจรของกั๋วฟูเหรินกลับมาเต้นเป็นปกติแล้วเจ้าค่ะ เพียงแต่แค่ชั่วคราวเท่านั้น ทางที่ดีควรได้รับการรักษาโดยด่วน”

กั๋วฟูเหรินที่กำลังให้สาวใช้ประคองลุกขึ้นนั่ง หันไปส่งสายตาตั้งคำถามกับบุตรชาย ก่อนจะมองมาที่อวี้ฮวาอย่างสำรวจ

เสวียนหรงรู้ว่ามารดาต้องการถามเรื่องใด จึงเล่าให้ฟังอย่างละเอียด ตั้งแต่ที่นางเป็นลม ไปจนถึงอวี้ฮวาทำการรักษาด้วยการฝังเข็ม

กั๋วฟูเหรินฟังแล้ว รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่มากสุดคือความประทับใจ ถึงกับออกปากกับฮูหยินผู้เฒ่าขอให้อวี้ฮวามาดูแล

ฮูหยินผู้เฒ่ามีเรื่องดีๆ อยู่ในหัว ไหนเลยจะปฏิเสธ ไม่จับอวี้ฮวาใส่พานให้ นับว่าดีเท่าไหร่แล้ว

ยามนี้ พวกเขาอยู่ที่ศาลาพักริมทาง แสงแดดเริ่มโรยราเต็มที เสวียนหรงคิดดูแล้ว เห็นว่าควรพามารดาขึ้นไปพักที่วัด ดีกว่าต้องเดินทางกลับในยามค่ำคืน จึงสั่งเคลื่อนขบวนขึ้นบันไดไปต่อ ระหว่างนั้นมีอวี้ฮวาคอยดูแลกั๋วฟูเหรินอย่างใกล้ชิด

หลายคนในกลุ่มของฮูหยินผู้เฒ่าที่ตามมาด้านหลัง เริ่มมีความรู้สึกแตกต่างกันออกไป มีทั้งคนพออกพอใจ ทั้งคนอิจฉาริษยา และคนที่เจ็บปวดรวดร้าวอย่างยิ่งยวด

“คุณหนู ร้องไห้หรือเจ้าคะ?”

อวี้ซื่อไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าน้ำตาไหลออกมาตั้งแต่เมื่อใด กระทั่งซูหยุนร้องทัก ถึงได้รู้สึกตัว รีบยกมือปาดน้ำตาข้างแก้ม ก่อนจะดึงสายตากลับมาจากแผ่นหลังของเสวียนหรงซื่อจื่อด้วยความมึนงง หันมากล่าวกับสาวใช้เสียงเบา “ข้าแค่เหนื่อย พวกเราชะลอฝีเท้าลงหน่อยเถิด”

ซูหยุนได้แต่มองด้วยความเป็นห่วง ไม่กล้าซักถามให้มากความ ชะลอฝีเท้าลงตามสั่ง

ความที่ไม่อยากดึงความสนใจของพี่น้องคนอื่น อวี้ซื่อจึงตั้งใจที่จะอยู่รั้งท้าย ขณะที่เดินขึ้นบันได พลางทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองไปด้วย

ชัดเจนแล้วว่า ความรู้สึกเศร้าหมองที่เกิดขึ้นกับนางนั้น ต้นเหตุเกิดจากเสวียนหรงซื่อจื่อ ทางที่ดี นางควรอยู่ให้ห่างเขาเอาไว้เป็นดีที่สุด ทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งกั๋วกง หาใช่คนที่นางจะอาจเอื้อมได้ ไม่ว่าความรู้สึกนั้นจะเกิดจากอะไร ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ควรหาคำตอบ อวี้ซื่อคิดกับตัวเองในใจ

วัดฉวนกว๋อมีสิ่งปลูกสร้างไม่มากนัก รอบลานด้านหน้าใช้ระฆังห้อยต่างกำแพง เว้นว่างเฉพาะทางเข้า ที่นั่นมีหลวงจีนน้อยสองรูปมายืนรอต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองได้แจ้งแก่กั๋วฟูเหรินและฮูหยินผู้เฒ่าว่า ขณะนี้ห้องพักทางตะวันออกและตะวันตกมีคนพักอยู่ จำต้องให้กั๋วฟูเหรินและฮูหยินผู้เฒ่าเข้าพักที่ห้องพักทางใต้ ซึ่งอยู่ห่างหอนั่งกรรมฐานค่อนข้างไกลพอควร

ทั้งกั๋วฟูเหรินและฮูหยินผู้เฒ่าต่างไม่มีปัญหาอันใด จึงพาทั้งกลุ่มแยกย้ายเดินตามหลวงจีนน้อยไปยังที่พักของตน

อวี้ฮวายังคงประคองกั๋วฟูเหรินไปกับกลุ่มของซื่อจื่อ อวี้จิ้นมองแผ่นหลังของนางอย่างอาฆาต ก่อนจะดึงสายตากลับ หันมาเอ่ยกับอวี้เจียวที่เดินอยู่ข้างกาย “น้องห้า เจ้าเห็นที่นางทำหรือไม่?”

“เห็นแล้ว” อวี้เจียวเหลือบมองไปยังแผ่นหลังของอวี้ฮวา ความริษยาในแววตามีไม่น้อยไปกว่าอวี้จิ้น เพียงแค่นางเป็นคนมีหัวคิดกว่า จึงกล่าวเพียงว่า “ปล่อยนางไปก่อน”

ห้องพักทางใต้นั้นมิได้ต่างจากทางตะวันออก หากแต่อยู่ไกลออกมาติดชายป่า แบ่งเป็นสองฝั่งชายหญิง กั้นกลางด้วยแนวไผ่ สำหรับคนป่วยอย่างกั๋วฟูเหริน นับว่าเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง เพราะจะได้พักผ่อนอย่างสงบ

เรือนพักแบ่งเป็นหลังละห้าห้อง แต่ละหลังตั้งห่างกันราวสามสิบจั้ง ภายในห้องมีเพียง เตียง โต๊ะ และตั่งไว้นั่งกรรมฐาน มิได้มีของตกแต่ง

เมื่อมีเพียงห้าห้อง จำต้องมีสองห้องที่พักสองคน อวี้ซื่อถูกจัดให้พักกับอวี้จิ้น ส่วนอวี้เจียวพักกับอวี้หลุน

ครั้นรู้ว่าตนเองไม่ได้พักคนเดียวเหมือนปีก่อน อวี้จิ้นก็เข้าไปโอดครวญกับฮูหยินผู้เฒ่าทันที “ท่านย่า เหตุใดต้องเป็นหลานด้วยเล่าเจ้าคะ ทุกปีหลานพักคนเดียวมาตลอด ท่านย่าให้หลานพักคนเดียวมิได้หรือเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้ว รู้สึกหงุดหงิดใจเป็นที่สุด หัวคิ้วพลันขมวดมุ่น มองอวี้จิ้นด้วยสายตาไม่พอใจ เรื่องขายหน้าที่นางก่อขึ้นยังมิได้ชำระความ คนกลับยังไม่ยอมสงบเสงี่ยม แต่ก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะได้เอ่ยปากตำหนิ ร่างในชุดขาวพลันเยื้องย่างผ่านประตูเข้ามา

อวี้ฮวาสาวเท้าเข้ามาหยุดยืนข้างกายอวี้จิ้น ยอบกายพลางกล่าว “ท่านย่า หลานกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

“กลับมาแล้วหรือ ดีๆ” แววตาของฮูหยินผู้เฒ่าที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนตั่งทอประกาย รีบยื่นแขนให้ฉีหมัวมัวประคองลุกขึ้นนั่ง อารมณ์ขุ่นมัวก่อนหน้านี้มลายหายไปสิ้น กวักมือเรียกหลานสาวคนโตด้วยความเอ็นดู “ไหน เข้ามาใกล้ๆ ย่าหน่อย”

อวี้ฮวาคลี่ยิ้มก้าวเข้าไปหาตามสั่ง รอให้นางมาหยุดยืนเบื้องหน้าแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังจะเอ่ยถามบางอย่าง พึ่งนึกขึ้นมาได้ ตวัดตามองไปทางอวี้จิ้น เตรียมจะออกไปไล่คน

อวี้ฮวาเอ่ยขึ้นมาก่อน “ท่านย่าเจ้าคะ หลานจะพักห้องเดียวกับน้องสี่เองเจ้าค่ะ”

อวี้จิ้นได้ยินแทนที่จะดีใจ กลับกล่าววาจาประชดประชัน “พี่ใหญ่ช่างมีน้ำใจดีแท้”

“หยางอวี้จิ้น ยังไม่ออกไปอีกหรือ!” ฮูหยินผู้เฒ่าตวาดไล่เสียงดัง ท่านผู้เฒ่าถูกนางทำให้หงุดหงิดใจแทบตายแล้ว

อวี้จิ้นยังอยากจะพูดอะไรต่อ หากแต่เห็นสายตาดุดันของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว กลับพูดไม่ออก ได้แต่เดินก้มหน้าออกจากห้อง คิดว่าท่านย่าช่างลำเอียงเหลือเกิน

ส่วนอวี้ฮวาถูกรั้งให้ทานมื้อเย็น เพื่อไต่ถามเรื่องของกั๋วฟูเหริน

สาวใช้ของหยางอวี้ฮวาเป็นผู้ย้ายของไปยังห้องพัก อวี้ซื่อเห็นนางเข้ามา มิได้รู้สึกแปลกใจเท่าใด ด้วยรู้นิสัยของอวี้จิ้นดี

จิ่นเซียวยอบกายให้อวี้ซื่อคราหนึ่ง ก่อนจะแจ้งเรื่องที่อวี้ฮวาจะเข้ามาพักร่วมห้องให้นางทราบ จากนั้นขออนุญาตไปจัดของ การมาสวดมนต์ภาวนาทุกครั้ง จะพักอยู่ที่วัดร่วมสิบวัน เสื้อผ้าอาภรณ์และข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นจึงมีค่อนข้างมาก จิ่นเซียวยกหีบไปไว้มุมหนึ่ง

ซูหยุนพึ่งจะออกไปนำสำรับมื้อเย็นกลับมา เห็นจิ่นเซียวก็แปลกใจ

“พี่ใหญ่จะมาพักห้องนี้แทนพี่สาม” อวี้ซื่อกล่าวขึ้นขณะลุกจากเตียงมานั่งเก้าอี้ ซูหยุนพยักหน้ารับรู้ พลางจัดกับข้าวสองอย่างพร้อมข้าวสวยสองชามขึ้นโต๊ะ

ก่อนจะหยิบตะเกียบ อวี้ซื่อพลันนึกขึ้นมาได้ หันไปบอกกับจิ่นเซียว “พี่ใหญ่คงทานมื้อเย็นกับท่านย่ากระมัง ถ้าเช่นนั้นเจ้ายกสำรับของพี่ใหญ่ไปที่ห้องท่านย่าเถิด”

“เจ้าค่ะ” จิ่นเซียวรับคำเดินเข้ามายกสำรับอาหารอีกชุดหนึ่งก้าวออกจากห้อง รอกระทั่งนางเดินพ้นประตูไประยะหนึ่งแล้ว ซูหยุนถึงได้ถามขึ้น “เหตุใดคุณหนูใหญ่ถึงมาพักร่วมห้องกับคุณหนูเล่า มิใช่ว่าควรเป็นคุณหนูสามหรือเจ้าคะ”

“ช่างเถิด จะพักกับใครก็เหมือนกัน ต่างเป็นพี่น้องทั้งนั้น” อวี้ซื่อตอบพลางหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหาร

ตอนนี้นางหิวมากจริงๆ ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจเรื่องอื่น แม้แต่อาหารเจรสชาติจืดชืดนางยังทานอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากทานเสร็จ นั่งรับลมเล่นอีกครู่หนึ่ง ค่อยอาบน้ำ

ตอนที่อวี้ฮวากลับเข้ามา อวี้ซื่อแต่งตัวเสร็จพอดี จิ่นเซียวหิ้วถังน้ำร้อนตามมาด้านหลังเดินเลยเข้าไปหลังฉาก

“พี่ใหญ่” อวี้ซื่อยิ้มทักทาย อีกฝ่ายยิ้มตอบกลับมา ก่อนจะเดินตามสาวใช้เข้าไป

บรรยากาศในห้องแลดูอึดอัดประหลาดพิกล อวี้ซื่อรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้าง ด้วยไม่มีเรื่องใดจะสนทนา จึงปีนขึ้นเตียงล้มตัวนอนด้านใน

อวี้ฮวายังไม่ทันออกมาจากหลังฉาก อวี้ซื่อก็หลับไปเสียแล้ว รอให้นางขึ้นเตียงล้มตัวนอน จิ่นเซียวจึงปลดม่านมุ้งลง จากนั้นดับเทียน ล้มตัวลงนอนข้างกายซูหยุนข้างเตียง

คืนนี้ต่างคนต่างหลับใหลไปด้วยความอ่อนเพลีย อวี้ฮวากระทำเรื่องแรกสำเร็จ ย่อมต้องนอนหลับอย่างสบายใจ

ยามเช้าในฤดูใบไม้ผลิ อากาศดียิ่ง อวี้ฮวากับอวี้ซื่อลุกจากเตียงแทบจะพร้อมกัน ซูหยุนกับจิ่นเซียวแยกย้ายกันไปปรนนิบัติเจ้านาย

อวี้ซื่อเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว เมื่อมาอยู่ร่วมกับอวี้ฮวาที่เป็นคนไม่ค่อยพูด ภายในห้องจึงได้ยินเพียงเสียงสวบสาบจากเนื้อผ้าเสียดสีกัน อวี้ฮวายังคงสวมชุดฮั่นฝูสีขาวกระโปรงบานกรอมเท้าเช่นเดิม ส่วนชุดของอวี้ซื่อนั้นมีลักษณะเดียวกัน เพียงแต่เป็นสีฟ้าคราม หลังสวมอาภรณ์เสร็จ ทั้งสองพากันลงนั่งเก้าอี้ให้สองสาวใช้ทำผม

เก้าอี้รอบโต๊ะสี่เหลี่ยมมีอยู่สี่ตัว อวี้ฮวาเลือกนั่งตัวใกล้อวี้ซื่อทางขวามือ เห็นว่าพี่สาวลงมานั่งข้างกายแทนที่จะไปนั่งฝั่งตรงข้าม อวี้ซื่อจึงผินหน้าไปยิ้มให้นาง

อวี้ฮวาคลี่ยิ้มตอบ ทว่าในหัวกำลังขบคิด ที่นางลงนั่งด้านข้าง เพื่อต้องการสำรวจรูปร่างหน้าตาของอวี้ซื่อให้ชัด ชาติก่อนนางแทบไม่เคยพบหน้าอวี้ซื่อเลย เพราะตอนที่นางกลับเข้าจวนอวี้ซื่อออกเรือนไปกับเสวียนหรงแล้ว จึงไม่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาอีกฝ่ายเปลี่ยนไปในทางใด

ยามนี้อวี้ซื่อพึ่งอายุสิบสาม หน้าผากจนถึงคิ้วถูกผมหน้าบดบังไว้อย่างมิดชิด เห็นเพียงครึ่งของดวงตา แลดูแล้วเหมือนดรุณีน้อยยังไม่โตนางหนึ่ง ยิ่งมวยผมทรงซาลาเปาสองลูกไว้บนศีรษะ ยิ่งให้อารมณ์เหมือนกำลังมองเด็กน้อยบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างยิ่งยวด ช่างน่าทำให้แปดเปื้อนยิ่งนัก

อวี้ฮวาเริ่มมีแผนการในใจ “น้องสี่ พี่ใหญ่มีเรื่องอยากรบกวนให้เจ้าช่วย ไม่รู้ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่?”

“ข้าย่อมเต็มใจอยู่แล้ว” อวี้ซื่อตอบรับ ทั้งที่ความคิดยังจดจ่ออยู่กับทรงผมของอวี้ฮวาที่จิ่นเซียวพึ่งทำเสร็จ

ผมด้านหน้าของอวี้ฮวานั้น ถูกรวบถักไปครึ่งศีรษะผูกไว้ด้วยผ้าสีขาว ครึ่งที่เหลือปล่อยยาวสยายทิ้งตัวลงไปถึงบั้นท้ายราวกับสายน้ำ ดูแล้วงดงามแปลกตายิ่ง ยังไม่เคยเห็นผู้ใดทำผมเช่นนี้มาก่อน ครั้นเลื่อนสายตาจากทรงผมมาที่ใบหน้า เห็นว่าอวี้ฮวากำลังมองมา อวี้ซื่อพลันรู้สึกขัดเขิน พึ่งนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายกล่าวอันใดกับตนเอง “พี่ใหญ่ต้องการให้ข้าช่วยอะไรหรือ?”

“วันนี้พี่ใหญ่ยังต้องไปดูแลกั๋วฟูเหริน จิ่นเซียวเป็นเพียงสาวใช้ ตามเข้าไปใกล้ชิดมิได้ จึงอยากรบกวนให้น้องสี่ติดตามไปช่วยพี่ใหญ่ดูแลกั๋วฟูเหรินสักวัน คงไม่หนักหนาสำหรับเจ้ากระมัง” อวี้ฮวากล่าว

หากเป็นผู้อื่นได้ยินเช่นนี้ คงดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ ทว่าอวี้ซื่อนั้น กลับรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นเรื่องนี้ นางคงไม่มีทางรับปาก เพราะไม่อยากพบเสวียนหรงซื่อจื่อ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel