ด้ายแดงถูกตัดขาด
“บ่าวให้คนไปสอบถามที่ศาลว่าการมาแล้ว ได้ความว่า หมอดูผู้นั้นไม่ได้ให้การพาดพิงถึงผู้ใด ส่วนที่ว่าเจ้าหมอดูนั่น เหตุใดถึงมาสารภาพผิด ยังสืบมิได้เจ้าค่ะ” ฝูหมัวมัวรายงานเสียงเบา
“เรื่องนั้น ไม่จำเป็นต้องสืบ ข้ารู้ว่าเป็นฝีมือนาง เห็นทีว่าพรุ่งนี้ ข้าคงต้องกลับจวนติ้งป๋อดูสักครา”
ตระกูลเดิมของหยางฮูหยินคือตระกูลสู่ บิดาได้รับบรรดาศักดิ์ป๋อเช่นกัน ตอนนี้รับราชการเป็นรองลี่ปู้ ดูแลกรมขุนนาง ที่หยางอวี้เซิ่งยังกุมบรรดาศักดิ์เซียวหยางป๋อต่อจากบิดาเอาไว้ได้ นับว่าพ่อตาผู้นี้มีส่วนช่วยอยู่มากเลยทีเดียว
ราวยามเซิ่น ขบวนรถม้าได้ทยอยเข้ามาจอดกลางลานกว้าง
วัดฉวนกว๋อตั้งอยู่กลางหุบเขา รอบด้านโอบล้อมไปด้วยหน้าผาที่มีรูปสลักพระพุทธ ในลานปลูกต้นหลิวไว้มากมาย ใต้ต้นหลิวยังมีศาลาไว้สำหรับนั่งพักผ่อน หากมองไปทางซ้ายมือจากทางเข้า จะเห็นคอกม้ากับลานจอดรถม้า ส่วนตรงกลางเป็นบันไดสองร้อยขั้นขึ้นไปยังอาราม
สาวใช้จากรถม้าคันที่สามพากันลงมารอรับเจ้านาย
หลังจากลงมาแล้ว อวี้ซื่อเดินตามพี่สาวน้องสาวเข้าไปรวมตัวกับกลุ่มของท่านย่า
หากมองจากตรงนี้ จะเห็นว่าในศาลาใต้ต้นหลิวยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง เหมือนจะพึ่งเดินทางมาถึงก้อนหน้าไม่นาน ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปสั่งฉีหมัวมัวให้ส่งคนไปสอบถามผู้ดูแลวัดดู ว่าเป็นขบวนของผู้ใด
ครู่หนึ่ง บ่าวผู้นั้นกลับมารายงานว่าเป็นขบวนของกั๋วฟูเหรินฮูหยินเอกของเจิ้งกั๋วกง
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้อย่างนั้นแล้ว หันมากวาดมองบรรดาหลานสาวเพื่อพิศดูความเรียบร้อยปราดหนึ่ง “อีกประเดี๋ยว ย่าจะพาพวกเจ้าเข้าไปคำนับกั๋วฟูเหริน อย่าได้ลืมเรื่องกิริยามารยาทเป็นอันขาด หากผู้ใดกล้าทำให้จวนป๋อขายหน้า อย่าหาว่ายายเฒ่าอย่างข้าไม่เตือน!”
“เจ้าค่ะ” ดรุณีน้อยทั้งหกรับคำอย่างพร้อมเพรียง
ครั้นเห็นว่าพวกนางเข้าใจดีแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงหันไปสั่งการหมัวมัว
ฉีหมัวมัวเดินตรงไปยังกลุ่มคนที่นั่งพักตรงศาลา พูดคุยกับสาวใช้สองสามประโยค ครู่หนึ่งก็กลับมารายงานว่ากั๋วฟูเหรินอนุญาติให้เข้าพบ ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้ให้สาวใช้ประคอง เดินนำขบวนพาหลานสาวเข้าไป
นับว่าหาได้ยากยิ่ง ที่ลูกอนุเรือนหลังจะมีโอกาสพบเจอกับชนชั้นสูง หลายคนจึงออกอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด มีเพียงหยางอวี้ฮวาเท่านั้น ที่ยังคงความสงบไว้ได้ เพราะอะไรนะหรือ เป็นเพราะนางรู้อยู่ก่อนแล้ว หกเดือนมานี้กั๋วฟูเหรินต้องเดินทางมาวัดบ่อยครั้ง ด้วยเพราะโรคนอนไม่หลับ อวี้ฮวารู้ว่าวันนี้จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง
ที่นางกลับเข้าจวนเร็วกว่าชาติที่แล้วสองปี ย่อมมีสาเหตุ ในขณะที่นางต้องตายอนาถมาสองชาติ ยังมีคนหนึ่งที่สุขสบายมาทั้งสองชาติเช่นกัน ฉะนั้น นางจึงมาที่นี่ มาเพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตนเอง
อวี้จิ้นเป็นคนช่างสอดรู้สอดเห็น อดมิได้ที่จะเงยหน้ามอง เพียงได้เห็นชายหนุ่มชุดขาวที่ยืนอยู่ในกลุ่ม นางถึงกับตะลึงค้าง ลืมแม้กระทั่งจะก้าวเท้า อวี้เจียวที่เดินตามมาเบื้องหลังเกิดชนกับนางเข้าพอดี
“นี่เจ้า!” อวี้เจียวตั้งท่าจะโวยวาย พอเหลือบไปเห็นสายตาเย็นชาของหยางอวี้ฮวา พลันกล่าววาจาไม่ออก ได้แต่หันไปถลึงตาใส่แผ่นหลังของอวี้จิ้นแทน
เหตุการณ์เล็กน้อยนี้ กลับไม่รอดพ้นสายตาเฉียบคมประดุจเยี่ยวของเสวียนหรงไปได้ ในใจนึกดูแคลนเด็กสาวจากจวนเซียวหยางป๋อไม่น้อย ทว่าใบหน้ายังคงเรียบนิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าพาหลานสาวหยุดยืนห่างไปห้าก้าว ก่อนจะนำพวกนางคำนับ กั๋วฟูเหรินนับเป็นสตรีอ่อนโยนใจดีผู้หนึ่ง นางพูดคุยทักทายฮูหยินผู้เฒ่าอย่างเป็นกันเอง จากนั้นเดินขึ้นบันไดออกหน้าไปก่อน
รอให้ขบวนของกั๋วฟูเหรินขึ้นไปถึงสิบขั้นแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้พาหลานสาวเดินตามขึ้นไป
ผู้อื่นเดินก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยม มีเพียงอวี้จิ้นที่คอยแต่ชะเง้อมองกลุ่มคนเบื้องหน้า นางเป็นลูกอนุ ย่อมไม่เคยได้พบเห็นบุรุษมีชาติตระกูลมาก่อน โดยเฉพาะบุรุษหล่อเหลาปานเทพเซียนอย่างเสวียนหรงซื่อจื่อ ในใจพลันบังเกิดความลุ่มหลงอย่างห้ามไม่อยู่
ส่วนคนอื่นๆ ยังคงก้มหน้าเดินขึ้นบันไดอย่างสงบเสงี่ยม
อวี้ฮวาเหลียวหลังกลับไปมองอวี้ซื่อ เห็นว่านางมัวแต่หันไปมองอย่างอื่น จึงดึงสายตากลับ หันกลับมามองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้างกายกั๋วฟูเหริน พลางนึกถึงเรื่องราวในอดีตชาติ
ชาติก่อน ผู้คนได้กล่าวขานถึงความรักลึกซึ้งระหว่างเสวียนหรงซื่อจื่อกับลูกอนุจวนป๋อไว้อย่างสวยงาม ถึงขั้นมีบัณฑิตบางคนนำมาเรียงร้อยเป็นบทกวี ในเรื่องเล่าเหล่านั้น กล่าวถึงบันไดขั้นที่ร้อยแปด ว่าอวี้ซื่อเป็นคนรับร่างของชินหวางเฟยขณะเป็นลมล้มกลิ้งตกลงมาจากบันได ถึงได้กุมหัวใจของซื่อจื่อเอาไว้มั่น จากที่ใคร่ครวญดู บางที บทกวีเลิศหรูนั่นอาจกล่าวเกินจริง
หากนับจากกลุ่มของพวกนาง ตอนนี้ห่างจากขบวนของชินหวางเฟยอยู่ราวสิบขั้น ถ้ากลิ้งตกลงมาขนาดนั้น ต่อให้อวี้ซื่อรับไว้ เกรงว่าชินหวางเฟยคงจะบาดเจ็บไม่น้อยแล้ว นางไม่จำเป็นต้องเสี่ยง
อวี้ซื่อที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าตนกำลังจะถูกผู้อื่นแย่งชิงดวงชะตา ยังคงมองสำรวจภาพพระพุทธที่สลักอยู่บนหน้าผาอย่างสนอกสนใจ ครั้นมาถึงภาพสลักของอิงกง ดวงหน้าพลันชะงักงัน
เมื่อครู่ ช่วงที่สายตาเปลี่ยนผ่าน นางเห็นว่ามีน้ำหยดหนึ่งไหลออกมาจากดวงตาของรูปสลัก ทว่าพอมองอีกที กลับไม่มีอะไร อวี้ซื่อยกมือขยี้ตา ก่อนจะมองซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรจริงๆ ก็คิดว่าตนของตาฝาดไปเอง
กระทั่งเดินมาถึงบันไดขั้นที่เก้าสิบเก้า ในอกของอวี้ซื่อพลันบังเกิดความวูบโหวงอย่างประหลาด น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกจากดวงตาข้างซ้าย คล้ายภาพของอิงกงเมื่อครู่ไม่มีผิดเพี้ยน นางไม่แม้แต่จะรู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าบัดนี้ ตนกำลังมองแผ่นหลังของเสวียนหรงซื่อจื่ออยู่ มารู้ตัวอีกที ตอนที่ถูกแผ่นหลังของใครบางคนเข้ามาบดบังสายตา
ที่แท้เป็นแผ่นหลังของหยางอวี้ฮวาที่กำลังวิ่งขึ้นบันได พริบตาหลังจากนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างหนึ่งลื่นไถลลงจากบันไดมาสองขั้น แต่ก่อนที่ร่างนั้นจะล้มลง อวี้ฮวาก้าวขึ้นมารับเอาไว้พอดี ทว่าด้วยความที่มีรูปร่างเล็กกว่า นางถึงกับเซถลาจนเกือบล้มไปด้วยกัน หากไม่ได้วงแขนแกร่งของซื่อจื่อโอบเอวไว้ คงพากันกลิ้งตกลงไปแล้ว
เกิดความสับสนอลหม่าน สาวใช้สี่นางรีบเข้ามาประคองเจ้านาย
ทันทีที่เห็นว่ามารดาหมดสติ เสวียนหรงพลันตวาดข้ารับใช้เสียงดัง “สมควรตายนัก!”
อวี้ฮวานับว่าสงบนิ่งที่สุดในบรรดาคนทั้งหมด รู้ทั้งรู้ว่าตนเองยังถูกโอบกอด กลับมิคิดเบี่ยงกายออก หากแต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น หันไปกล่าวกับเสวียนหรงด้วยสีหน้ากังวล “ซื่อจื่อ สั่งให้คนพากั๋วฟูเหรินเข้าไปในศาลาก่อนดีหรือไม่”
น้ำเสียงนุ่มนวลระคนร้อนใจของนาง ทำให้โทสะของเสวียนหรงคลายลงครึ่งส่วน มาถึงตอนนี้ เขาพึ่งจะรู้ตัวว่าตนเองยังโอบเอวผู้อื่นอยู่ จึงรีบชักมือกลับ หันไปสั่งสาวใช้ “ยังไม่รีบพาท่านแม่เข้าไปในศาลาอีกหรือ!”
สาวใช้สี่คนช่วยกันประคองร่างไร้สติของกั๋วฟูเหรินเข้าไปในศาลาพักริมทาง อวี้ฮวาเดินตามเข้าไปด้วยท่าทางร้อนใจ รอให้พวกนางวางร่างของกั๋วฟูเหรินนอนราบลงบนม้านั่งตัวยาวแล้ว ก็รีบเข้าไปจับชีพจร
หลายคนยังอยู่ในอาการตื่นตระหนก จึงมิมีผู้ใดขัดขวางห้ามปราม กลุ่มของฮูหยินผู้เฒ่ามาถึงแล้วเช่นกัน ทุกคนมองอวี้ฮวาด้วยความประหลาดใจ โดยเฉพาะฉูหยินผู้เฒ่า
อวี้จิ้นรออยู่นาน เห็นว่าท่านย่าไม่ยอมออกปากห้ามปรามเสียที ในใจเริ่มกระวนกระวาย ถึงกับมีความคิดที่ว่า เหตุใดไม่เป็นตนเองที่เป็นคนเข้าไปช่วยกั๋วฟูเหริน ความอิจฉาริษยาทำให้นางขาดสติ เดินจ้ำเท้าเข้าไปในศาลา กระชากแขนข้างที่อวี้ฮวากำลังใช้จับชีพจรอย่างแรง
“เจ้าคิดจะทำอะไร คิดว่าตัวเองเป็นหมอหรือ!” เสียงของอวี้จิ้นหาใช่เบา ผู้คนจึงเริ่มตั้งสติได้ สาวใช้อาวุโสขยับเข้ามายืนขนาบข้างกายสองพี่น้อง ใช้สายตาบอกเป็นนัยว่าให้พวกนางถอยออกไปให้ห่างกั๋วฟูเหริน
อวี้ฮวาลุกขึ้นยืน ดึงแขนออกจากมือน้องสาวด้วยท่าทางนิ่งสงบ ก่อนจะหันไปสบตาเสวียนหรงซื่อจื่อ กล่าวกับเขาเสียงเรียบทว่าจริงจัง “ชีพจรของกั๋วฟูเหรินเต้นอ่อนมากเจ้าค่ะ อาการนับว่าน่าเป็นห่วง หากซื่อจื่อคิดจะตามหมอ คงต้องตามมาให้ทันก่อนชั่วยาม มิเช่นนั้น เกรงว่า..”
นางหยุดวาจาไว้เพียงเท่านั้น ใช้สายตาเคร่งเครียดมองเขาแทน ประโยคที่เหลือ ต่อให้นางไม่พูด ผู้อื่นย่อมรู้ความหมาย
หัวหน้าองครักษ์ไม่จำเป็นต้องรอคำสั่ง ก็รีบส่งคนไปตามหมอ เหล่าสาวใช้คุกเข่าลงข้างกายกั๋วฟูเหรินด้วยความเป็นห่วง
เสวียนหรงหันไปมองร่างไร้สติของมารดา ในใจทั้งกังวลทั้งเดือดดาลที่ตนเองสะเพร่าไม่ยอมพาหมอติดตามมาด้วย คิดแล้วก็ดึงสายตากลับมามองดรุณีน้อยเบื้องหน้าอีกครั้ง
“เจ้าเป็นหมอหรือ?” เมื่อครู่เขาคอยสังเกตการณ์กระทำของนางมาโดยตลอด เห็นท่าทางตอนที่นางจับชีพจรแลดูชำนาญเป็นอย่างยิ่ง หากมิใช่ว่านางเป็นเพียงดรุณีน้อยที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่นเขาคงไม่ถามเช่นนี้
อวี้ฮวามิได้ตอบรับเช่นกัน เพราะหากทำเช่นนั้น ดูจะเป็นการอวดอ้างตนเองจนเกินไป จึงกล่าวเพียงว่า “ข้าสามารถฝังเข็มให้กั๋วฟูเหรินฟื้นคืนสติได้ หากซื่อจื่อจะอนุญาต”
“พี่ใหญ่! ท่านเสียสติไปแล้วหรือ! ร่างกายของกั๋วฟูเหรินสูงส่งเพียงใดจะให้ท่านแตะต้องส่งเดชได้หรือ!”
ไม่รอให้เสวียนหรงเอ่ยปาก อวี้จิ้นก็แผดเสียงดังอย่างไร้มารยาท ตวาดพี่สาวแล้ว ก็หันมายอบกายให้เขาอย่างชดช้อย พยายามวางท่าให้ตนเองดูดีที่สุด กล่าวอย่างขวยเขิน “ข้าหยางอวี้จิ้น ต้องขออภัยแทนพี่ใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ”
ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาขึ้นมาโดยพลัน ที่เสวียนหรงรังเกียจที่สุดคือสตรีเยี่ยงนี้ หากไม่ติดอาการป่วยของมารดา คงสั่งให้คนจับนางโยนออกไปแล้ว
องครักษ์คนสนิทติดตามข้างกายมานาน อ่านความคิดของเจ้านายออก หันไปกล่าวกับดรุณีน้อยทั้งสองอย่างสุภาพ “เชิญคุณหนูทั้งสองถอยออกไปก่อนเถิดขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นท่าไม่ดี รีบสั่งให้สองพี่น้องออกมาจากศาลา “พวกเจ้ายังไม่รีบออกมาอีกหรือ!”
อวี้ฮวาได้แต่ถอดถอนใจ ในใจนึกอยากจะผ่าหัวอวี้จิ้นดูสักครา อยากรู้จริงๆ ว่าในนั้นมีสิ่งใดอยู่กันแน่ ไฉนคนจึงโง่งมนัก ในเวลาสำคัญเช่นนี้ ยังกล้ามาเสนอหน้า ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดชีวิตที่แล้วถึงได้มีจุดจบไม่ดี ขณะกำลังคิด อวี้ฮวาก้าวไปได้เพียงสองก้าวกลับถูกคนเข้ามาขวาง
“เจ้าอยู่ก่อน” เสวียนหรงเอ่ยกับนางเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
อวี้จิ้นเห็นอย่างนั้น ก็ทำท่าอิดออดจะไม่ยอมไป
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนช่างสังเกต มองปราดเดียวก็รู้ว่าเสวียนหรงซื่อจื่อเกิดสนใจหลานสาวคนโตของตนเข้าให้แล้ว ย่อมไม่ปล่อยให้อวี้จิ้นทำเสียเรื่อง รีบหันไปสั่งฉีหมัวมัวเข้าไปลากตัวนางออกมา
รอให้พวกนางออกไปพ้นศาลาแล้ว เสียงทุ้มนุ่มของเสวียนหรงจึงดังขึ้น “ข้าอนุญาต”
“ไม่เหมาะกระมังเจ้าคะ ซื่อจื่อโปรดทบทวนด้วย” สาวใช้วัยเยาว์หน้าตาหมดจดนางหนึ่ง รีบเอ่ยทัดทาน พลางตวัดตามองหยางอวี้ฮวาอย่างไม่เป็นมิตร
“ข้าตัดสินใจแล้ว เวลานี้อาการของท่านแม่สำคัญที่สุด พวกเจ้าจงหลีกทางให้นาง!” เสวียนหรงสั่งเสียงเด็ดขาด
สาวใช้ผู้นั้นยังคิดจะกล่าววาจาอีก แต่ถูกสาวใช้อาวุโสเอามือปิดปากรั้งแขนให้หลบไปยืนด้านข้างพร้อมกับสาวใช้ที่เหลือ
อวี้ฮวาหันไปพยักหน้าให้สาวใช้ของตน ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงบนพื้นหินสกปรก จิ่นเซียวรีบเข้ามาเตรียมอุปกรณ์ หยิบเทียนในย่ามออกมาจุด
เดิมที หลายคนที่นี่ไม่เชื่อว่าดรุณีน้อยยังไม่ถึงวัยปักปิ่นผู้นี้จะรู้วิชาแพทย์ ยิ่งเห็นว่านางทำท่าจะฝังเข็ม ยิ่งเกิดความกังวล
อวี้ฮวาคล้ายไม่รับรู้สิ่งรอบกาย ใบหน้างามยังคงเคร่งขรึมจริงจัง ขณะที่เข็มแรกกำลังจะถูกปักลงบนขมับของชินหวางเฟย หลายคนพากันกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
เวลาเดียวกับที่ปลายเข็มในมืออวี้ฮวาแทงเข้าไปในเนื้อ นอกศาลา อวี้ซื่อที่ยืนอยู่หลังกลุ่มพลันยกมือขึ้นกุมอก ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า รู้สึกเจ็บราวไปทั้งอกราวกับเข็มเล่มนั้นกำลังแทงเข้าสู่หัวใจนางก็ไม่ปาน
“คุณหนู!” ซูหยุนตกใจร้องเสียงสูง เป็นเพราะเสียงของนางดังเกินไป จึงเรียกความสนใจจากผู้คน
ฮูหยินผู้เฒ่าหันกลับไปมองอย่างตำหนิ ครั้นเห็นว่าหลานสาวนั่งคุกเข่าใบหน้าซีดเผือด ในใจพลันรู้สึกตระหนกอยู่บ้าง แต่เพราะยังมีเรื่องของชินกั๋วฟูเหรินอยู่ จึงไม่อยากซักถามให้มากความ ได้แต่หันไปสั่งสาวใช้ “ยังไม่รีบประคองนางขึ้นมาอีก”
ซูหยุนรีบประคองเจ้านายพาไปนั่งพักบนโขดหิน
หลังจากที่รู้สึกดีขึ้น อวี้ซื่อหันไปตบหลังมือนางเบาๆ ให้นางวางใจ ก่อนจะเงยหน้ามองเข้าไปในศาลาอย่างหวั่นวิตก เกรงว่าตนจะเป็นสาเหตุทำให้ผู้อื่นเสียสมาธิ ช่วงที่นางมองไป บังเอิญได้สบเข้ากับนัยน์ตาเหยียดหยามของเสวียนหรงซื่อจื่อพอดี อวี้ซื่อชะงักงันไปชั่วขณะ ในอกพลันวูบโหวงอย่างประหลาด ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจผุดขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ
