สะบั้นหยวนหยาง
หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ ดรุณีน้อยทั้งสี่ทยอยมารวมตัวอยู่ใต้ต้นหลิวหน้าห้องของฮูหยินผู้เฒ่า ใบหลิวช่วงฤดูใบไม้ผลิเป็นสีเขียวชอุ่ม ห้อยเป็นพุ่มระย้างดงามอย่างยิ่ง หยางอวี้หรัวนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว กำลังพูดคุยอยู่กับอวี้หลุนและอวี้เจียวที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ส่วนอวี้จิ้นที่ยืนอยู่ด้านข้างชะเง้อมองไปทางประตูห้องห้องหนึ่ง
“พี่ใหญ่กับน้องสี่ ไฉนถึงยังไม่ออกมาอีก หรือต้องให้ท่านย่าเป็นฝ่ายมารอพวกนาง?”
เสียงพูดคุยของดรุณีน้อยทั้งสามพากันหยุดชะงักลง พร้อมใจกันหันไปมองอวี้จิ้นเป็นตาเดียว แม้ว่าพวกนางจะไม่ชอบอวี้ฮวา แต่ก็ไม่ได้ชอบอวี้จิ้นเช่นกัน
“พี่สาม หากกังวลนัก มิสู้ท่านไปตามพวกนางดีหรือไม่” อวี้เจียวกล่าว อวี้หลุนที่ยืนอยู่ด้านข้างพยักหน้ายิ้มๆ
“น้องห้ากล่าวได้ถูกต้อง ข้ายังเกรงว่าคอของน้องสามจะเคล็ดไปเสียแล้ว” อวี้หรัวพูดแล้ว ทั้งสามคนก็พากันปิดปากหัวเราะ
อวี้จิ้นที่ถูกพี่น้องกลั่นแกล้ง พลันกระทืบเท้า ยกนิ้วชี้กราดไปทั่ว “พวกเจ้ารังแกข้า!”
ท่าทางเช่นนี้ของนาง กลับถูกฮูหยินผู้เฒ่าที่พึ่งก้าวพ้นออกมาจากประตู พบเห็นเข้าพอดี “จิ้นเอ๋อสำรวมหน่อย ที่นี่เป็นสถานที่ใด ให้เจ้ามาแสดงกิริยาเช่นนี้ได้หรือ!”
“ก็พวกนาง!” อวี้จิ้นยังคิดจะโต้เถียง แต่ถูกท่านผู้เฒ่าถลึงตาใส่ จึงจำใจต้องหุบปาก
อวี้หรัวหันไปลอบยิ้มกับอวี้เจียวและอวี้หลุน ก่อนจะลุกจากม้านั่ง เดินเข้าไปช่วยประคองฮูหยินผู้เฒ่า ถามอย่างประจบประแจงว่า “เมื่อคืนท่านย่าหลับสบายหรือไม่เจ้าคะ”
“ย่าหลับสบายดี ยังเป็นหรัวเอ๋อที่รู้จักห่วงใยคนแก่” สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าดูดีขึ้นมาทันใด น้ำเสียงที่ใช้อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
ไม่รู้ว่าอวี้ฮวากับอวี้ซื่อเดินออกจากห้องมาตั้งแต่เมื่อใด กว่าที่ผู้อื่นจะเห็นพวกนาง ก็ตอนที่ทั้งคู่มาถึงแล้ว
“ท่านย่า” ทั้งสองกล่าวทักทายอย่างพร้อมเพรียง ฮูหยินผู้เฒ่าผินหน้าไปมองพวกนาง โดยเฉพาะอวี้ฮวา
เมื่อวานนางได้สอบถามเรื่องของกั๋วฟูเหรินแล้ว ทราบว่าวันนี้ อวี้ฮวายังต้องไปช่วยดูแลกั๋วฟูเหรินอีกวันหนึ่ง จึงกล่าวกำชับกำชา “ฮวาเอ๋อดูแลกั๋วฟูเหรินให้ดีรู้หรือไม่ หากเจ้ากลายเป็นที่โปรดปรานของกั๋วฟูเหรินได้ นับเป็นวาสนาของตระกูลเรา”
“หลานทราบแล้วเจ้าค่ะ” อวี้ฮวาตอบรับทั้งที่ในใจนึกเย้ยหยันในคำพูดของท่านผู้เฒ่า นางเป็นที่โปรดปรานของกั๋วฟูเหริน เกี่ยวอะไรกับตระกูล ท่านย่าช่างเป็นแม่ค้าที่ดีดลูกคิดรางแก้วได้ละเอียดจริงๆ ขายหลานสาวไม่มีขาดทุน ไม่รู้ว่าชาติก่อน ตอนที่อวี้ซื่อได้รับวาสนานี้ ท่านผู้เฒ่าได้คิดกับนางเช่นนี้หรือไม่ พอคิดไปถึงอวี้ซื่อ อวี้ฮวาจึงเอ่ยขึ้น “ท่านย่าเจ้าคะ หลานมีความคิดเห็นบางประการ มิรู้ว่าควรกล่าวดีหรือไม่เจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี “ว่ามาเถิด”
“เรื่องเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ เมื่อวาน หลานติดตามไปดูแลกั๋วฟูเหริน จิ่นเซียวเป็นเพียงสาวใช้ ดูจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ วันนี้หลานจึงอยากเสนอให้น้องสี่ติดตามไปแทน ไม่ทราบว่าท่านย่าเห็นเป็นเช่นไรเจ้าคะ”
อวี้ฮวารู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าต้องอนุญาตแน่นอน หลานสาวสองคนได้ใกล้ชิดกั๋วฟูเหริน ผู้ใดบ้างจะไม่พอใจ วาสนาเช่นนี้ คาดว่าอีกสิบปียังหามิได้
เห็นได้ชัดว่าแววตาของท่านผู้เฒ่าทอประกายขึ้นมาแล้ว ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงท่านผู้เฒ่ากล่าวว่า “หากเจ้าเห็นควร ก็พาน้องไปด้วยเถิด แต่จงสำรวมหน่อย”
“ท่านย่าเจ้าคะ น้องสี่ยังไม่รู้ความ เกรงจะไปทำขายหน้า มิสู้ให้หลานไปแทนดีหรือไม่เจ้าคะ” อวี้จิ้นรีบเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน นางอยากไป อยากเห็นหน้าเสวียนหรงซื่อจื่อใจจะขาด
ทุกคนพากันหันมองมาที่นาง
เดิมที กิริยามารยาทของอวี้จิ้นไม่ได้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่อยู่ในจวน จึงมิเห็นเด่นชัด ทว่าตอนนี้เห็นได้ชัดยิ่ง ว่ากันว่า ปลาเน่าตัวเดียวส่งกลิ่นเหม็นไปทั้งบ่อ ใครจะปล่อยให้นางไปสร้างความเสื่อมเสียมาถึงผู้อื่น ไม่ต้องรอให้ฮูหยินผู้เฒ่าออกปาก ก็มีคนเอ่ยวาจาขึ้นมาแล้ว
“น้องสาม หากให้ดี เจ้าควรอยู่ข้างกายท่านย่าจะดีกว่า จะได้ไม่เผอเรอแสดงกิริยาไม่น่าดูต่อหน้าผู้อื่น” อวี้หรัวตักเตือนเสียงเรียบ เรื่องที่อวี้จิ้นต้องการไปแทนอวี้ซื่อนั้น นางมิได้สนใจเท่าใดนัก หากไม่ใช่เพราะรู้ข่าวว่าองค์รัชทายาทประทับอยู่เรือนตะวันออก คงมิคิดเอ่ยปาก สิ่งที่นางกังวลที่สุด คือภาพลักษณ์ของจวนเซียวหยางป๋อ
ทว่าอวี้จิ้นกลับเป็นพวกไร้สมองมาแต่กำเนิด นางไม่เพียงไม่ฟัง ยังตอกกลับอย่างใส่อารมณ์ “พี่รองพูดเช่นนี้หมายความเช่นไร หาว่าข้าไร้การอบรมใช่หรือไม่!?” อวี้จิ้นยิ่งพูดก็ยิ่งแผดเสียงดังขึ้น
ฝีปากของอวี้หรัวสู่มิได้ จึงหันไปกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าแทน “ท่านย่าเจ้าคะ เวลานี้องค์รัชทายาททรงประทับอยู่ที่เรือนตะวันออก หากปล่อยให้น้องสามไปไหนมาไหนตามอำเภอใจ คงไม่เป็นการดีแน่ เมื่อวาน น้องสามประพฤติเช่นไร ท่านย่าคงเห็นแล้ว หากปล่อยให้นางกระทำเช่นนั้นเบื้องพระพักตร์ หลานเกรงว่า..”
“จิ้นเอ๋อ จากนี้คอยติดตามย่า อย่าได้เดินไปไหนเพ่นพ่านเป็นอันขาด!” ฮูหยินผู้เฒ่าออกคำสั่งเด็ดขาด น้ำเสียงบ่งบอกว่าไม่ยินยอมให้ผู้ใดขัด ความหวังของตระกูล ฝากไว้กับอวี้หรัว หากจวนป๋อเกิดเรื่องเสื่อมเสีย ย่อมกระทบถึงการคัดเลือกเข้าวังเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ฮูหยินผู้เฒ่าไหนเลยจะยอมให้เกิดขึ้น
ต่อให้อวี้จิ้นฝีปากกล้ากว่านี้ ก็ไม่กล้าที่จะโต้แย้ง ได้แต่ก้มหน้ารับคำ
ท่านผู้เฒ่าไม่ได้ให้ความสนใจนางอีก เหลือบมองไปทางอวี้ซื่อ พิศดูนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหน้านี้ มิได้พิจารณาให้ถี่ถ้วน แต่พอมีคนเตือนสติ ถึงพึ่งคิดได้ หลานสาวสี่ของนางผู้นี้ไม่เคยพบปะผู้คนจริงๆ คิดแล้วพลันหันไปถามอวี้ฮวา “เจ้าแน่ใจแล้วหรือ ว่าจะพาซื่อเอ๋อไปด้วย แต่ไหนแต่ไรมา น้องสี่ของเจ้าหมกตัวอยู่แต่ในเรือน ไม่เคยพบปะผู้คน ย่ากลัวว่านางจะไปทำให้ขายหน้า”
“ท่านย่าไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ หลานจะดูแลน้องสี่อย่างดี ไม่ให้นางทำเรื่องผิดพลาดแน่นอน” อวี้ฮวารับคำอย่างแข็งขัน ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้วางใจ
หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าอนุญาตแล้ว อวี้ฮวาพาอวี้ซื่อแยกตัวไปยังที่พำนักของกั๋วฟูเหริน ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าพาหลานสาวที่เหลือไปกราบเจ้าอาวาส
เรือนที่พำนักของกั๋วฟูเหรินมีลักษณะเหมือนกับเรือนพักอื่นๆ อวี้ฮวาพาอวี้ซื่อมาหยุดยืนที่หน้าห้องแรก รอให้สาวใช้หน้าห้องเข้าไปรายงาน ครู่หนึ่ง สาวใช้ผู้นั้นออกมาตามให้พวกนางเข้าไป
จิ่นเซียวส่งย่ามให้อวี้ซื่อ นางรับมาอย่างไม่นึกตะขิดตะขวงใจ ทว่าสำหรับซูหยุนที่เป็นสาวใช้แล้ว กลับรู้สึกไม่ชอบใจเท่าใดนัก ถึงนางจะมิใช่คนชอบคิดอ่านลึกซึ้ง แต่จะอย่างไรคุณหนูของนางก็มีฐานะเป็นเจ้านายคนหนึ่ง ไฉนคุณหนูใหญ่ถึงได้ทำราวกับว่าคุณหนูของนางเป็นสาวใช้อย่างนั้นเล่า มิใช่ต้องการกดหัวคุณหนูให้ผู้อื่นชมดูหรอกหรือ? ซูหยุนคิดแล้วสีหน้าเริ่มไม่สู้ดี อยากจะเอ่ยเตือนแต่มิกล้า ได้แต่ขานเรียกเสียงเบา “คุณหนู”
อวี้ซื่อหันกลับมามองอย่างแปลกใจ ครั้นเห็นว่าซูหยุนมองย่ามที่ตนสะพายอยู่ จึงเข้าใจความหมาย อันที่จริง อวี้ซื่อหาใช่คนโง่ เรื่องที่ซูหยุนมองออก นางย่อมต้องมองออกเช่นกัน แต่รู้แล้วอย่างไร มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะทำอันใดได้อีก ได้แต่หวังว่าพี่ใหญ่จะไม่ทำเกินไปนัก
อวี้ฮวาเดินนำเข้าไปก่อน อวี้ซื่อเดินก้มหน้าตามหลังอย่างสงบเสงี่ยม นางเป็นเพียงดรุณีน้อยอายุสิบสาม ย่อมต้องรู้สึกประหม่าเป็นธรรมดา
“เมื่อคืน หลับสบายหรือไม่เจ้าคะ” อวี้ฮวาถามพลางเดินเข้าไปจับชีพจร ครู่หนึ่ง ก็ชะโงกหน้าเข้าไปมองดวงตาของกั๋วฟูเหริน เมื่อพิศดูนัยน์ตาคู่นั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว กล่าวขึ้นว่า “ธาตุเย็นธาตุร้อนแปรปรวน อันที่จริง การรักษานั้นมิได้ยากเจ้าค่ะ”
ตู้หมัวมัวที่ยืนอยู่ด้านข้าง ฟังแล้วรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที รีบขยับเข้ามาใกล้ ถามอย่างร้อนใจว่า “คุณหนูหยาง ท่านพูดจริงหรือ?”
หยางอวี้ฮวาหันไปยิ้มให้หมัวมัวคราหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “จริงเจ้าค่ะ”
“คุณหนูมั่นใจเช่นนี้ แสดงว่ารู้วิธีรักษาฟูเหรินแล้วใช่หรือไม่?” ตั้งแต่ที่มีหมอมาตรวจกั๋วฟูเหริน ยังมิเคยมีผู้ใดกล่าวเช่นนี้มาก่อน ตู้หมัวมัวย่อมรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา นางถามออกไปอย่างมีความหวัง ลืมแม้กระทั่งว่าคนตรงหน้า ยังเป็นเพียงดรุณีน้อยวัยสิบสามปี
กั๋วฟูเหรินดูจะตื่นเต้นไม่น้อยเช่นกัน เพียงแต่ยังไม่ค่อยวางใจ
อวี้ฮวาย่อมอ่านความคิดของกั๋วฟูเหรินออก ซ้ำยังกระจ่างแจ้งว่าการจะทำให้ผู้อื่นเชื่อถือนั้นมิใช่เรื่องง่าย จึงมิได้รีบร้อน ต้องรอให้หมอที่มาจนปัญญาเสียก่อน เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว คนเหล่านี้จะเป็นฝ่ายมาขอร้องนางเอง ส่วนแผนการที่นางจะทำวันนี้.... อวี้ฮวาหันกลับไปมองอวี้ซื่อที่ยืนไร้ตัวตนอยู่เบื้องหลัง
สองชาติที่ผ่านมา อวี้ซื่อคือหญิงสาวที่ได้ครอบครองดวงใจของเสวียนหรง ทั้งยังได้แต่งเป็นภรรยาเพียงคนเดียวของเขา ในชาตินั้น นางจำได้ว่าตอนได้ยินเรื่องนี้ นางรู้สึกริษยาอยู่บ้าง แต่จะทำอย่างไรได้ นางกลับมาช้าเกินไป อวี้ซื่อพบรักกับเสวียนหรงในเวลานี้ทั้งสองชาติ หลังจากที่ครบวัยปักปิ่น ก็แต่งให้เสวียนหรงทันที นางไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เห็นหน้าทั้งคู่ด้วยซ้ำ
ได้เห็นอีกทีตอนที่นางเข้าพิธีแต่งงาน อวี้ซื่อมาร่วมอวยพรให้นางตามธรรมเนียม แต่ก็เพียงครั้งเดียว ที่เหลือล้วนเป็นเรื่องราวความรักของคนทั้งสองที่นางได้ยินมา ฉะนั้น สิ่งที่นางกังวลอยู่ตอนนี้ คือหยวนหยางคู่นี้จะแยกกันไม่ขาด นางไม่ต้องการให้เสวียนหรงเหลือเยื่อใยต่ออวี้ซื่อ แม้เพียงเสี้ยวก็ไม่ได้
“น้องสี่ มานี่ มาคำนับกั๋วฟูเหริน”
อวี้ซื่อเดินก้มหน้าต่ำ เข้ามายืนข้างกายพี่สาว ยอบกายคำนับตามที่อวี้ฮวาบอก
“น้องสี่ของข้าเองเจ้าค่ะ นามว่าอวี้ซื่อ” อวี้ฮวาเอ่ยแนะนำด้วยรอยยิ้มบาง พลางลอบสังเกตท่าทีที่กั๋วฟูเหรินมีต่ออวี้ซื่อ
ฮูหยินเจิ้งกั๋วกง แซ่หลัว ชื่อว่าอู่เยี่ย ปีนี้อายุสามสิบห้า เป็นสตรีงดงามทั้งกายและใจ สายตาที่มองอวี้ซื่อจึงอ่อนโยนไม่ต่างจากมองผู้อื่น
อวี้ซื่อยังเยาว์เกินไปที่จะคาดเดาเรื่องราวต่างๆ หรือต่อให้นางโตกว่านี้ ก็ใช่ว่าจะทำได้ นางมิได้เกิดตายมาสองชาติเหมือนอย่างอวี้ฮวา อีกทั้งยังเป็นเพียงลูกอนุที่อยู่แต่ในเรือน ย่อมไม่มีประสบการณ์
“ตามสบายเถิด” กั๋วฟูเหรินกล่าวกับอวี้ซื่อน้ำเสียงมีเมตตา ทำให้อาการประหม่าของอวี้ซื่อค่อยๆ คลายลง
ขณะนั้นสาวใช้ที่เฝ้าหน้าห้องเดินเข้ามาพอดี ทุกคนจึงหันไปมองนาง ไม่นานก็ได้ยินเสียงสาวใช้ผู้นั้นรายงาน
“ฟูเหรินเจ้าคะ ซื่อจื่อพาหมอมาแล้วเจ้าค่ะ ยังมีองค์รัชทายาทเสด็จมาด้วยเจ้าค่ะ”
