ศัตรูบนทางแคบ
เสวียนหรงเป็นทั้งสหายร่วมเรียนเป็นทั้งสายพระญาติจึงค่อนข้างสนิทสนมกับองค์รัชทายาท การที่องค์รัชทายาทจะเสด็จมาเยี่ยมกั๋วฟูเหรินจึงเป็นเรื่องสมควรอยู่
เมื่อมีองค์รัชทายาทประทับอยู่บนตั่ง ผู้คนจึงมิกล้าที่จะหายใจแรง ขณะหมอหลวงกำลังจับชีพจรผ่านเส้นด้าย ภายในห้องจึงตกอยู่ในความเงียบ
สีหน้าหมอหลวงคล้ายมีความหนักอกหนักใจพาดผ่าน อาการป่วยของกั๋วฟูเหรินผ่านการรักษาจากหมอมาแล้วหลายคน กลับไม่มีผู้ใดวิเคราะห์ได้กระจ่างแจ้ง ชัดเจนว่าหมอหลวงผู้นี้มิใช่ข้อยกเว้น
ครั้นเห็นหมอหลวงเอาแต่ถอนหายใจ เสวียนหรงพลันรู้สึกหมดหวังกับพวกเขาขึ้นมา ไม่ว่าจะหมอกี่คน ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ แต่ละคนช่างไร้สามารถ “พวกท่านเป็นหมอประสาอะไร จนป่านนี้แล้ว ยังวินิจฉัยโรคไม่ออกอีก!”
องค์รัชทายาทเห็นว่าเขามีโทสะแล้ว จึงลุกจากตั่งสาวเท้ามายืนข้างกาย ยกมือตบบ่าเขาสองสามที จากนั้นหันไปรับสั่งถามหมอหลวง “อาการของกั๋วฟูเหรินเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ทูลไท่จื่อ กระหม่อมจนปัญญาจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงยกมือประสานค้อมกายลงต่ำ ท่าทางอับจนอย่างยิ่ง เมื่อคืนควบม้ามาทั้งคืนยังไม่ได้พักผ่อน ยังมาถูกซื่อจื่อตำหนิอีก ตอนนี้แทบจะยืนไม่ไหวแล้ว
หลี่จื้อได้ยินดังนั้น ก็โบกมือไล่ให้เขาออกไป หมอหลวงผู้นี้มิใช่คนแรกที่กล่าวเช่นนี้ มิควรถือโทษ
คนอื่นพากันก้มหน้าลง เสวียนหรงยืนกำหมัดแน่น คิดว่าตนช่างไร้สามารถ แค่จะหาหมอมารักษามารดายังทำมิได้
ตู้หมัวมัวตรึกตรองอยู่นาน ที่สุดก็เอ่ยปาก “ซื่อจื่อเจ้าคะ มิสู้ให้คุณหนูหยางลองดู ดีหรือไม่”
“คุณหนูหยาง?” หลี่จื้อถามอย่างฉงน
“ทูลไท่จื่อ คุณหนูหยางคือผู้ที่ช่วยชีวิตฟูเหริน เมื่อวานเพคะ นางเป็นหมอ” ตู้หมัวมัวรีบอธิบาย
หลี่จื้อพึ่งจะเห็นว่ามีดรุณีน้อยไม่ได้สวมชุดสาวใช้อยู่ในห้องอีกสองคน สายตาจึงหยุดอยู่บนร่างของพวกนาง
อวี้ฮวารู้ว่าเขามองมาแล้ว พลันก้าวขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว ยอบกายให้เขาด้วยท่าทางสง่างาม “หม่อมฉันหยางอวี้ฮวาถวายพรไท่จื่อเพคะ”
“ไม่ต้องมากพิธี” หลี่จื้อพิศดูนางอย่างละเอียด หญิงงามเขาย่อมเคยเห็น แต่หญิงงามที่ไม่ประหม่ายามอยู่ต่อหน้าเขานั้น นับว่าพึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก อีกทั้งเมื่อครู่ยังได้ยินว่านางเป็นหมอ จึงรู้สึกสนใจอยู่บ้าง เขาเอ่ยถามนางอย่างสนใจใคร่รู้ “เจ้าเป็นหมอหรือ?”
“หามิได้เพคะ หม่อมฉันเพียงรู้วิชาแพทย์เล็กน้อยเท่านั้น” อวี้ฮวาตอบเสียงเรียบ ทั้งที่ในใจรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าจะได้พบองค์รัชทายาท ชาติก่อนแม้แต่ฝันนางยังมิกล้า อาการตื่นเต้นของอวี้ฮวาเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม่นานก็กลับมาสงบดังเดิม นางหันไปกล่าวกับเสวียนหรงว่า
“หากซื่อจื้อไม่รังเกียจ ข้าอยากทำการรักษากั๋วฟูเหรินเจ้าค่ะ อันที่จริงอาการป่วยนั้นรักษาได้ง่ายมาก เพียงแต่หมอหลวงเป็นบุรุษ จึงไม่เข้าใจอาการป่วยของสตรีอย่างถ่องแท้ ถึงได้วินิจฉัยไม่ออก” อวี้ฮวาไม่เพียงกล่าวกับเสวียนหรงซื่อจื่อ ยังให้ทางลงกับหมอคนอื่นไว้เสร็จสรรพ ทุกการกระทำของนาง แน่นอนว่าย่อมต้องคิดเผื่อเอาไว้ล่วงหน้า
ช่างเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน ที่จะสร้างความประทับใจให้บุรุษทั้งสอง หากชาติก่อนนางไม่โง่เขลา คงไม่ต้องรอมาถึงชาตินี้ อวี้ฮวาคิด
“รบกวนคุณหนูหยางแล้ว” เสวียนหรงกล่าวพร้อมทั้งหลบไปยืนด้านข้าง เพื่อเปิดทางให้นาง ต่อให้อวี้ฮวาไม่กล่าววาจาเช่นนั้นออกมา เขาก็มีเจตนาจะให้นางรักษามารดาอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่เห็นนางฝังเข็มเมื่อวาน เขามีความคิดเช่นนี้มาโดยตลอด
หลี่จื้อที่ถูกนางละเลย ในใจเริ่มไม่เป็นสุข แต่เขาเป็นถึงองค์รัชทายาท ย่อมมิอาจแสดงอาการทางสีหน้าออกมาได้ เมื่อเห็นว่าเสวียนหรงถอยออกไป ตนเองจึงเดินกลับไปนั่งบนตั่งดังเดิม
อวี้ฮวารอให้องค์รัชทายาทประทับเรียบร้อยแล้ว ถึงค่อยเยื้องย่างเข้ามาหยุดยืนข้างเตียง กิริยามารยาท ตลอดจนท่วงท่าการเดิน สง่างามหาใดเปรียบ ใบหน้างดงามปานล่มเมืองสุขุมเยือกเย็น ต่างจากดรุณีน้อยทั่วไป
หลี่จื้อกับเสวียนหรงแทบมิอาจละสายตาจากนางไปได้ แม้แต่กั๋วฟูเหรินที่นั่งเงียบมานานยังมองนางอย่างนึกทึ่ง หลัวอู่เยี่ยถึงกับมีความคิดอยู่อย่างหนึ่ง ว่าหากตนมีลูกสะใภ้เช่นนี้ จะดีเพียงใด
“ฟูเหรินโปรดวางใจ ข้าจะทำสุดความสามารถเจ้าค่ะ” อวี้ฮวาคลี่ยิ้มบางพร้อมทั้งยอบกายคราหนึ่ง จากนั้นหันกลับไปกวักมือเรียกอวี้ซื่อ “น้องสี่มานี่”
ถึงตอนนี้ บุรุษทั้งสองพึ่งจะเห็นการมีตัวตนของเด็กสาวอีกคน หลี่จื้อมิได้ให้ความสนใจเท่าใดนัก เพราะอวี้ซื่อเอาแต่ยื่นก้มหน้าคางชิดอก ซึ่งเป็นอาการของคนทั่วไปยามอยู่ต่อหน้าเขา จึงมองนางเพียงผ่านๆ ทว่าเสวียนหรงกลับมองมาที่นางอย่างเย็นชา
น่าแปลก ที่เขากลับจดจำนางได้อย่างแม่นยำ หากแต่การจดจำนั้นมิใช่ในทางดี ยิ่งเห็นท่าทางประหม่า เดินแขนขาไม่สัมพันธ์กันเช่นนั้น ในใจยิ่งนึกดูแคลน
กว่าที่อวี้ซื่อจะเดินมายืนข้างกายพี่สาวได้ ไม่รู้ว่าโดนเขาบริภาษในใจไปแล้วกี่ยก
“รบกวนเจ้าช่วยเตรียมของให้ที พี่ใหญ่จะฝังเข็มให้ฟูเหริน” อวี้ฮวาสั่งน้องสาวแล้ว หันกลับไปประคองร่างของกั๋วฟูเหรินให้นอนราบลงบนเตียง พลางอธิบายอาการป่วยและวิธีรักษาให้ทุกคนฟังอย่างละเอียด
ขณะที่นางบรรยาย ตู้หมัวมัวสั่งให้สาวใช้ยกโต๊ะเล็กมาวางข้างมือเพื่อให้นางหยิบจับของได้สะดวก กระทั่งนางอธิบายจบ หันกลับมาอีกที “น้องสี่?”
อวี้ซื่อยังยืนทึ่มทื่ออยู่ตรงนั้นประหนึ่งคนโง่งม มือไม้เก้กังไม่รู้จะหยิบอะไรออกมาวางก่อนดี นางทั้งไม่มีประสบการณ์ ทั้งไม่เคยอยู่ร่วมกับอวี้ฮวามาก่อน จะรู้ได้อย่างไรว่าการฝังเข็มต้องตระเตรียมสิ่งใดบ้าง
อวี้ฮวาขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าคล้ายมีความหนักใจพาดผ่าน ผู้อื่นเห็นแล้ว คิดว่านางไม่ได้เต็มใจพาน้องสาวมา สายตาไม่พอใจหลายคู่ จึงไปตกอยู่บนร่างของอวี้ซื่อ ทุกคนต่างคิดตรงกันว่า น้องสาวผู้นี้ของนางคงขู่เข็ญพี่สาวให้พาตนมา เพื่อหวังพบหน้าซื่อจื่อ
“เจ้าให้นางออกไปเถิด อยู่ที่นี่ไปก็ไร้ประโยชน์ นางมีค่าไม่เท่ากับสาวใช้ของเจ้าด้วยซ้ำ” เสวียนหรงหันไปกล่าวกับอวี้ฮวา แม้แต่ใบหน้าของอวี้ซื่อยังคร้านที่จะมอง ถึงเขาจะไม่ได้เอ่ยนามออกมา ทว่าทุกคนก็เข้าใจได้ ว่าคำว่า ‘นาง’ ของเขาหมายถึงผู้ใด
“เจ้าค่ะ” อวี้ฮวารับคำด้วยสีหน้าจนใจ หันไปกล่าวกับอวี้ซื่อสีหน้าไม่ดีนัก “เจ้ากลับไปเถิด เรียกจิ่นเซียวเข้ามาให้ข้าที หากท่านย่าถาม ให้บอกไปตามตรง”
อวี้ซื่อพยักหน้า วางย่ามลงบนโต๊ะ จากนั้นยอบกายให้ทุกคน ก่อนจะหมุนตัว ก้มหน้าเดินออกจากห้อง หลังจากที่บอกกล่าวกับจิ่นเซียวแล้ว ก็เร่งสาวเท้าออกจากชายคาไปอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู เป็นอันใดไปเจ้าคะ” ซูหยุนที่เดินตามมาด้านหลัง ถามขึ้นอย่างนึกเป็นห่วง นางไม่เคยเห็นคุณหนูของนางมีสีหน้าสีหน้าขมขื่นเช่นนี้มาก่อน
“ข้าอยากอยู่คนเดียว เจ้ากลับเรือนไปก่อนเถิด” อวี้ซื่อบอกกล่าวกับสาวใช้เสียงเบา โดยไม่ได้หันกลับไป
ซูหยุนมีท่าทางลังเล แต่ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่ง ทั้งยังไม่กล้ากลับเรือนไปก่อนด้วยเช่นกัน
ครั้นเดินห่างจากสาวใช้มาแล้ว น้ำตาที่กลั้นเอาไว้พลันไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ อวี้ซื่อไม่เข้าใจอย่างยิ่งยวด ว่าตนเองเป็นอะไรกันแน่ เหตุใดต้องรู้สึกเจ็บช้ำกับวาจาของเสวียนหรงซื่อจื่อด้วย ดูเอาเถิด แม้แต่น้ำตายังไม่รักดี ไหลออกมาเองเสียอย่างนั้น ทั้งที่ยามปกติ นางไม่เคยร้องไห้เลยด้วยซ้ำ คิดแล้วก็ก้มหน้าก้มตาเดิน พลางเช็ดน้ำตาอย่างเอาเป็นเอาตาย จนม่านตาพร่าไปหมด
ขณะเดียวกันนั้น อีกฟากหนึ่งของแนวไผ่ ใบหน้าหล่อเหลายกยิ้มชั่วร้าย เขาเห็นนางตั้งแต่ที่เดินห่างออกมาจากสาวใช้แล้ว แวบแรกถึงกับจำได้ในทันที
เว่ยกงเยว่เป็นพวกชอบจดจำความแค้น แม้จะผ่านมากว่าสี่ปี แต่เขายังจำนางได้อย่างแม่นยำ คุณหนูสี่จวนเซียวหยางป๋อ เด็กน้อยน่าตายในร้านหนังสือวันนั้น มุมปากข้างหนึ่งยกสูงขึ้นไปอีก เร่งสาวเท้าไปยืนดักหน้า
อวี้ซื่อมัวแต่ก้มหน้าก้มตาจึงไม่ทันระวัง เดินชนเข้าพอดี ยังดีว่าแรงปะทะมีไม่มาก นางเพียงแค่เซถอยหลังไปสองก้าวเท่านั้น ทว่าเว่ยกงเยว่ยังสู้อุตส่าห์หวังดีผลักนางให้ล้มลง
“ไม่มีตาหรือ? ข้ายืนอยู่ทนโท่ยังเดินเข้ามาชนได้” เขากล่าวเสียงยียวน พลางยกมือปัดชุดบริเวณหน้าอกของตัวเองท่าทางรังเกียจ ก่อนจะหลุบตามองนางอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่า เว่ยกงเยว่กำลังมองหาที่ระบายอารมณ์อยู่พอดี ไม่นึกว่าจะพบศัตรูบนทางแคบ
คุณชายสี่จวนอันหย่งโหวผู้นี้ ในยามวัยเยาว์ว่าร้ายกาจแล้ว โตขึ้นยิ่งร้ายกาจกว่าหลายเท่านัก ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นพวกฆ่าคนตาไม่กะพริบ ศักดิ์ศรีอันใดล้วนไม่รู้จัก คนชรา เด็ก สตรี หากไม่พอตาเป็นทุบตีทั้งสิ้น เว่ยกงเยว่คือเดียรัจฉานในคราบมนุษย์อย่างแท้จริง
“ขออภัยเจ้าค่ะ” อวี้ซื่อกล่าวขอโทษ พลางพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน แต่ถูกเว่ยกงเยว่เตะหินใส่ข้อพับขา ร่างจึงทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง
“ข้ายังไม่ได้บอกให้เจ้าลุก!” เขาตวาด
ครานี้อวี้ซื่อเริ่มฉุกคิดได้แล้ว ว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ คนผู้นี้เจาะจงมาหาเรื่องนาง อวี้ซื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง แต่กลับเห็นใบหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดนัก หรือต่อให้เห็นชัด ก็จำเขาไม่ได้อยู่ดี “ท่านเป็นใคร?”
“บังอาจลืมข้า?!” เว่ยกงเยว่ย่อมไม่พอใจที่นางจำเขาไม่ได้ พลันเพิ่มความผิดให้นางอีกหนึ่งกระทง
ท่าจะไม่ดีแล้ว อวี้ซื่อคิด ได้แต่หวังให้คนผู้นี้เข้าใจผิด “คุณชาย ข้าไม่ทราบจริงๆ ว่าท่านเป็นใคร บางที ท่านอาจจะจำคนผิด ข้าไม่เคยพบท่านมาก่อน”
“ลูกอนุลำดับที่สี่แห่งจวนเซียวหยางป๋อ หยางอวี้ซื่อ หรือเจ้าไม่ใช่?” นี่ไม่ใช่การคาดเดาแต่เป็นการระบุตัวตน ครั้นเห็นว่านางมีใบหน้าชะงักงัน เว่ยกงเยว่รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย ที่เขาชมชอบที่สุดคือทำให้ผู้คนหวาดกลัว
เผอิญว่าชั่วขณะนั้น อวี้ซื่อพลันบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ
“กลัวเสียแล้ว? ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย จะรีบกลัวไปไหนเล่า!” เขาเดินวนรอบตัวนางอย่างนึกสนุก ใบหน้าหล่อเหลาแฝงความชั่วร้ายเต็มเปี่ยม
หากเปรียบความหล่อเหลาของเสวียนหรงซื่อจื่อประหนึ่งเทพเซียนแล้ว ความหล่อเหลาของเว่ยกงเยว่คงไม่ต่างอันใดกับปีศาจ แม้จะต่างกันสุดขั้ว แต่ล้วนล่อลวงดวงใจของหญิงสาวได้ทั้งสิ้น
“คุณชายคิดจะทำอย่างไรกับข้า?” อวี้ซื่อรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคร้ายยิ่งนัก กลางสวนไผ่เช่นนี้ ถึงร้องให้คนช่วย ก็ไม่แน่ว่าจะมีใครได้ยิน หรือต่อให้มีคนได้ยินแล้วมาพบเห็นเข้า ชื่อเสียงของนางคงป่นปี้ อยู่กับบุรุษสองต่อสองกลางป่า ยังจะเหลือชิ้นดีได้อีกหรือ
ขณะที่นางกำลังทำใจเตรียมที่จะรับชะตากรรมอยู่นั้น พลันร่างของคนผู้นั้นขยับวูบไหว พริบตาเดียวก็ทิ้งไว้เพียงใบไผ่ปลิดปลิวไปตามลม
อวี้ซื่อได้แต่นั่งกะพริบปริบๆ
“น้องสี่?” เสียงของอวี้ฮวาดังมาแต่ไกล ครู่เดียวคนก็มาถึงแล้ว เบื้องหลังของนาง ยังตามมาด้วยเสวียนหรงซื่อจื่ออีกคน มาถึงก็รีบนั่งคุกเข่ามองสำรวจอวี้ซื่ออย่างละเอียด “เกิดอะไรขึ้น?”
ก่อนหน้านี้หลังจากฝังเข็มให้กั๋วฟูเหรินเสร็จ อวี้ฮวาขอตัวออกมาดูน้องสาว อ้างว่าเป็นห่วง จงใจให้ผู้อื่นคิดว่าอวี้ซื่อเป็นคนเหลวไหลใช้ไม่ได้ เสวียนหรงอาสาเดินมาเป็นเพื่อนนาง ระหว่างทาง บังเอิญได้พบกับซูหยุน พอรู้ว่าอวี้ซื่อปลีกตัวออกมาคนเดียว อวี้ฮวารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบใช้โอกาสนี้ชวนเสวียนหรงมาตามหา นึกไม่ถึงว่ายังได้มาเจออีกฝ่ายในสภาพเช่นนี้เข้าอีก โชคช่างเข้าข้างนางเสียจริง
สภาพของอวี้ซื่อในตอนนี้นั้น ยังนั่งแปะอยู่กับพื้น กระโปรงเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น ดวงตาสองข้างบวมช้ำ มองดูก็รู้ว่าพึ่งผ่านการร่ำไห้มา
“พี่ใหญ่ ท่านมาได้อย่างไร” อวี้ซื่อหันไปถาม ทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อครู่นางสัมผัสได้ว่าคนผู้นั้นต้องการลงมือกับนางจริงๆ ถึงได้หวาดกลัว ครั้นแล้วคนเล่า หายตัวไปไหน?
เผอิญว่าเว่ยกงเยว่ดันเป็นเดียรัจฉานที่มีวรยุทธสูงส่ง พอรู้ว่าจะมีคนมา ถึงได้ใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีไป นางไม่เห็นย่อมไม่แปลก ทว่า เขากลับเห็นพวกนางชัดเจน มิหนำซ้ำ ในยามนี้ ดวงตาหงส์คู่นั้นยังจับจ้องมายังอวี้ฮวาไม่วางตา ‘รักแรกพบ’ นั่นคือประโยคที่เว่ยกงเยว่คิดได้ ก่อนจะทะยานร่างหายไปอย่างเงียบเชียบ
อวี้ซื่อไม่กล้าเล่าเรื่องชายแปลกหน้าให้อวี้ฮวาฟัง บอกเพียงว่าตนหกล้ม
ในระหว่างเดินกลับที่พัก นางเดินรั้งท้ายมาตลอด ปล่อยให้อวี้ฮวาเดินเคียงคู่ไปกับเสวียนหรงซื่อจื่อ แม้ว่านางทำถึงขั้นนี้แล้ว แต่เหมือนว่าเสวียนหรงยังคงไม่ชอบใจอยู่ดี
