บท
ตั้งค่า

ลางสังหรณ์

“ซื่อเอ๋อ?”

ด้วยเพราะกำลังเหม่อลอย อวี้ซื่อจึงมิได้ยินที่ซุนอี๋เหนียงเรียก กระทั่งแขนถูกคว้าเอาไว้ นางถึงพึ่งรู้สึกตัว

“เป็นอะไรไป อี๋เหนียงเห็นเจ้าเอาแต่เดินเหม่อมาตั้งแต่ออกมาจากห้องโถงแล้ว คิดอันใดอยู่หรือ?”

“ข้ารู้สึกไม่ดีเลยเจ้าค่ะ” อวี้ซื่อตอบ

“ไป กลับไปคุยกันที่เรือน” ซุนอี๋เหนียงเห็นว่าสีหน้าของบุตรสาวราวกับคนอมทุกข์ จึงเร่งพานางกลับเรือน

เรือนฉางซิ่น

ซุนอี๋เหนียงจับจูงอวี้ซื่อมาถึงตั่งริมหน้าต่าง ดันไหล่สองข้างให้นางนั่งลง ก่อนจะหันไปโบกมือไล่สาวใช้สองนางที่เดินตามเข้ามา จากนั้นลงนั่งด้านข้าง “เกิดอะไรขึ้น?”

“ข้า..” อวี้ซื่อมิรู้จะอธิบายอย่างไร เพราะนางเองยังไม่กระจ่างแจ้งนัก มันแค่ลางสังหรณ์ เพียงแต่ลางสังหรณ์ที่ว่า แรงกล้าเกินไป จนส่งผลกระทบต่อจิตใจของนาง “ข้าแค่.. แค่สังหรณ์ว่าตัวเองกำลังจะสูญเสียบางสิ่งที่สำคัญไปเจ้าค่ะ”

“เจ้าแค่มีลางสังหรณ์หรือ?” ซุนอี๋เหนียงถามย้ำ

“เจ้าค่ะ” อวี้ซื่อพยักหน้า สีหน้าราวกับคนเป็นทุกข์

“โธ่ นึกว่าเรื่องอะไร” ซุนไฉ่เยี่ยคลี่ยิ้ม พลางส่ายหน้า รั้งตัวบุตรสาวเข้ามากอดปลอบ ความกังวลก่อนหน้านี้คลายลง ที่นางไล่สาวใช้ออกไป เพราะคิดว่าอวี้ซื่อจะได้รับผลกระทบจากการกลับมาของอวี้ฮวาเหมือนคนอื่น ในเมื่อเป็นแค่เรื่องลางสังหรณ์ นับว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง

“ลางสังหรณ์ของคนเรามักเกิดขึ้นได้ในยามที่จิตใจไม่มั่นคง ไม่ต้องไปใส่ใจ ดูเอาเถิด เจ้าทำให้อี๋เหนียงกังวลแทบตายแล้ว”

“ขออภัยเจ้าค่ะ” อวี้ซื่อซบหน้าลงบนบ่ากอดตอบอี๋เหนียงราวกับคนต้องการหาที่พึ่ง ไม่นานความรู้สึกวูบโหวงในอกจึงค่อยๆ มลายหายไป

การกลับมาของหยางอวี้ฮวา ได้สร้างคลื่นลมขึ้นในจวนเซียวหยางป๋ออย่างเงียบเชียบ โดยเฉพาะเรือนใหญ่ ในอดีต สู่ชิงหร่วนเคยเกลียดชังสองแม่ลูกคู่นี้อย่างไร มาถึงตอนนี้ยังคงเกลียดชังอยู่เช่นนั้น ถึงแม้ว่าคนเป็นแม่จะตายไปแล้ว หากแต่ยังไม่ยินดีที่จะเห็นคนเป็นลูกอยู่ดี

“ข้าคงดูเบานางเกินไป ใช่หรือไม่” สู่ชิงหร่วนเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ ในห้องนี้เหลือเพียงแม่นมที่ติดตามมาจากสกุลเดิมของนาง จึงมิคิดสงวนวาจา “เจ้าว่า เจ้าหมอดูนั่น...”

“ฮูหยิน” ฝูหมัวมัวรีบเอ่ยปรามเสียงเบา “หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง บางเรื่องยังไม่พูดถึงจะดีกว่าเจ้าค่ะ”

“อืม เป็นข้าไม่รอบคอบเอง แต่เจ้าส่งคนไปสืบหน่อยเถิด เรื่องนี้ ดูอย่างไรก็ไม่ธรรมดา” สู่ชิงหร่วนบอกแม่นมแล้ว พลันถอนใจ เรื่องมาถึงขั้นนี้ นางยังทำอันใดได้อีก ต้องโทษตัวเองที่อำมหิตไม่พอ

อวี้ฮวาถูกจัดให้พำนักเรือนเดิมของมารดา ชื่อว่าเรือน รุ่ยซิ่น ข้าวของที่นางนำติดตัวมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่มีแต่ตำราแพทย์ที่ท่านตาใช้ทั้งชีวิตเขียนเรียบเรียงขึ้นมากับอาภรณ์เพียงไม่กี่ชุด จิ่นเซียวมือเท้าคล่องแคล่ว จัดของไม่นานก็เสร็จ

“อีกประเดี๋ยว เจ้าไปสอบถามดูเสียหน่อย ว่าจวนป๋อใช้ร้านตัดเย็บร้านไหนเป็นร้านประจำ ค่อยนำผ้าที่ท่านย่ามอบให้ส่งไปตัดชุดให้ข้าที อย่าลืมสอบถามเรื่องนั้นกลับมาด้วยล่ะ” อวี้ฮวาดึงสายตากลับมาจากต้นกุ้ยฮวาที่ปลูกอยู่ข้างหน้าต่าง ลุกจากตั่งเดินตรงไปยังห้องนอน “เจ้าไปเถิด ข้าจะพักผ่อนสักครู่”

“เจ้าค่ะ” จิ่นเซียวรับคำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ความสำคัญของอวี้ฮวาสำหรับจวนป๋อในตอนนี้นั้น เป็นเพียงลูกอนุที่ออกไปตกระกำลำบากอยู่ข้างนอก ฮูหยินผู้เฒ่าเพียงแค่รู้สึกผิด ถึงได้ทำดีกับนาง อวี้ฮวาย่อมรู้เรื่องนี้ดีที่สุด นางเกิดใหม่มาสองชาติแล้ว จะไม่กระจ่างแจ้งได้อย่างไร สองชาติที่ผ่านมานางล้วนตายอย่างอนาถ

ชาติแรก บิดาไปรับนางจากอารามชีตอนอายุสิบห้า เพื่อให้มาเข้าพิธีแต่งงานกับบุตรชายพ่อค้าคนหนึ่ง แต่งไปได้เพียงสองปี ก็ถูกอนุของสามีรุมสังหารจนตายพร้อมลูกในครรภ์

พอได้กลับมาเกิดใหม่ในชาติที่สอง นางยังคงโง่เหมือนเดิม แม้จะได้แต่งงานกับบุรุษที่ตนพึงใจ ได้สามีเป็นถึงทั่นฮวา ทว่ากลับต้องอยู่อย่างระทมทุกข์ในบ้านสามี สุดท้ายก็ถูกทิ้งให้ตายคาบ่อร้าง สิ้นชีพอย่างอนาถเช่นเดิม

คิดๆ ไปแล้ว อวี้ฮวาพลันรู้สึกว่าตนเองช่างโง่เขลาเกินจะกล่าวจริงๆ เกิดตายสองชาติ ไม่ต่างอะไรกับคนที่มองเห็นอนาคต กลับมิรู้จักนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ชาตินี้นางสาบานเลยว่าจะใช้ให้คุ้มเลยทีเดียว

เช้าวันถัดมา ลูกหลานต้องมาคารวะทักทายฮูหยินผู้เฒ่าตามธรรมเนียม บรรยากาศในเรือนฝูเวินยามนี้จึงดูราวกับสวนบุปผา บนตั่งด้านซ้ายข้างกายท่านผู้เฒ่ายังเป็นที่ประจำของหยางอวี้หรัว เก้าอี้ขวามือถัดมาจากตั่ง เป็นที่นั่งของเซียวหยางป๋อ เพียงแต่เจ้าตัวไม่อยู่ หยางฮูหยินนั่งเก้าอี้ถัดไป เก้าอี้สองแถวหกตัวที่เหลือ มีหลานสาวนั่งตามลำดับ ส่วนบรรดาอี๋เหนียงทั้งหลาย ได้แค่ยืนอยู่เบื้องหลังบุตรสาวของตน

ตระกูลหยาง หากนับจากสายตระกูล คือตระกูลสายรองลำดับที่สี่ บิดาของหยางอวี้เซิ่งพึ่งจะได้รับบรรดาศักดิ์ป๋อหลังจากที่แยกบ้านออกมาแล้วหลายปี ลูกหลานรุ่นหลังจึงค่อนข้างห่างเหินกัน

หยางอวี้เซิ่งสืบทอดบรรดาศักดิ์ป๋อมาจากบิดา รั้งตำแหน่งเป็นรองฮู่ปู้ กรมครัวเรือน มีนิสัยขี้ขลาดอ่อนแอ หากมิใช่ว่าบิดามีความชอบในศึกชิงบัลลังก์เกรงว่าแม้แต่บรรดาศักดิ์จะยังรักษาไว้มิได้ เรื่องสำคัญต่างๆ ล้วนเป็นฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินใจ

“อีกสองวันจะไปวัดฉวนกว๋อ พวกเจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อมแต่เนิ่นๆ ตอนออกเดินทางจะได้ไม่ฉุกละหุก” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นขณะกวาดมองหลานสาว ก่อนจะหยุดสายตาที่อวี้ฮวา “เจ้าเองก็ต้องไปเหมือนกัน ย่าจะขอให้เจ้าอาวาสทำพิธีสะเดาะเคราะห์เสริมดวงชะตาให้ ต่อไปจะได้หมดเคราะห์หมดโศกเสียที”

“เจ้าค่ะ ท่านย่า” อวี้ฮวารับคำ ใบหน้าประดับรอยยิ้มจางๆ 

ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ฮูหยินผู้เฒ่ามักจะพาหลานสาวไปสวดมนต์ภาวนานั่งกรรมฐานเป็นประจำทุกปี นับว่าอวี้ฮวากลับมาได้ประจวบเหมาะ

การคารวะยามเช้าไม่ได้มีอันใดมากมาย หลังจากที่บอกเรื่องสำคัญไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงสั่งให้ทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อน

สองวันต่อมา ดรุณีน้อยทั้งหกต่างมารวมตัวกันในเรือนฝูเวิน ขณะที่กำลังทานโจ๊กร่วมโต๊ะ ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดมองหลานสาวทุกคนด้วยรอยยิ้มปลื้มปีติ ใบหน้ากึ่งชราเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ยิ่งในยามที่มองหลานสาวคนรอง

เซียวหยางป๋อยังไม่มีบุตรชายไว้สืบสกุล ฐานะจึงค่อนข้างตกต่ำ เมื่อเทียบกับผู้มีตำแหน่งป๋อคนอื่นแล้ว นับว่าต่ำกว่าถึงสองส่วน สร้างความกลัดกลุ้มให้ฮูหยินผู้เฒ่าไม่น้อย ทางเดียวที่จะส่งเสริมตระกูลให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง คงต้องอาศัยหลานสาวเหล่านี้ โดยเฉพาะหยางอวี้หรัว

อวี้ฮวาคอยสังเกตสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ามาโดยตลอด ครั้นเห็นความหวังฉายชัดในแววตาของหญิงชรา ในใจพลันผุดรอยยิ้มเย็น ท่านย่าผู้นี้ของนาง ยังมีความคิดไม่ต่างจากชาติที่แล้ว ที่นางต้องมีชีวิตอนาถมาสองชาติ มิใช่เพราะหญิงชราผู้นี้หรอกหรือ 

หลังจากที่ทานโจ๊กเรียบร้อย ฮูหยินผู้เฒ่าเดินนำกลุ่มดรุณีน้อยตรงไปขึ้นรถม้า ฮูหยินและอี๋เหนียงทั้งหลายพากันออกมาส่งบุตรสาว

ต่างคนต่างรั้งบุตรสาวของตนไปกำชับกำชาอย่างอ้อยอิ่ง เหลือเพียงหยางอวี้ฮวาที่ยืนประคองฮูหยินผู้เฒ่ารออยู่ข้างรถม้า พวกนางหาได้รู้ไม่ ว่าการกระทำเช่นนี้ ช่วยส่งเสริมให้อวี้ฮวาได้รับความสงสารเห็นใจจากฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

ผู้อื่นมีมารดาคอยห่วงใยประคบประหงม แต่หยางอวี้ฮวาต้องมายืนประคองคนแก่ ครั้นเห็นว่าหลานสาวคนโตยืนก้มหน้าท่าทางเศร้าสร้อย ฮูหยินผู้เฒ่าจึงตบหลังมือนางเบาๆ เพื่อปลอบประโลม ก่อนจะหันไปดุบรรดาลูกสะใภ้

“ไปวัดฉวนกว๋อแค่นี้ พวกเจ้าต้องสั่งเสียกันนานเพียงนั้นเชียวหรือ!”

จู่ๆ ก็ถูกตำหนิ สตรีทั้งห้าจึงพากันชะงักงัน ก่อนจะพากันจูงมือบุตรสาวไปส่งขึ้นรถม้า ระหว่างนั้น ใบหน้าของทุกคนยังคงยิ้มแย้มเป็นปกติ ทว่าหลังจากที่ขบวนรถม้าเคลื่อนตัวออกไปแล้ว ใบหน้าของฮูหยินเซียวหยางป๋อพลันแปลเปลี่ยนเป็นเย็นชาถึงขีดสุด

จูอี๋เหนียงเป็นคนปากพล่อย อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก “ดูเอาเถิด ทุกครั้งพวกเราก็ทำเช่นนี้ ไม่เห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะตำหนิ แต่ครานี้ กลับตำหนิอย่างไม่ไว้หน้า ต้องเป็นเพราะคุณหนูใหญ่แน่”

หยางฮูหยินยื่นแขนให้สาวใช้ประคอง เดินผละไปโดยไม่สนใจแม้แต่จะปรายตามองบรรดาอนุเบื้องหลัง นางมิได้พึงใจในตัวสตรีของสามีเหล่านี้เท่าใดนัก หากมิใช่เห็นแก่หน้าตา มีหรือจะยอมกัดฟันเลี้ยงดูเหลือบไรพวกนี้

จูอี๋เหนียงเห็นอย่างนั้นก็แอบเบ้ปากใส่ หันไปกล่าวกับอี๋เหนียงที่ยืนข้างกาย “เจ้าว่า ฮูหยินของพวกเราจะยอมปล่อยนังเด็กนั่นไปจริงหรือ?”

เผอิญว่าอี๋เหนียงที่นางพูดด้วย คือซุนอี๋เหนียงที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน นางจึงเดินหนีไปอีกคน จูอี๋เหนียงแค่นเสียงใส่ด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะหันกลับมากวาดตามองอี๋เหนียงที่เหลือ

จงอี๋เหนียงกับเย้าอี๋เหนียงเป็นคนฉลาด รู้จักเอาตัวรอด ย่อมไม่อยากเสวนากับพวกไร้หัวคิด ไม่รอให้จูอี๋เหนียงเอ่ยปากก็พากันเดินหนีไปเช่นกัน จูอี๋เหนียงถูกทิ้งให้ยืนอยู่คนเดียว ได้แต่ยืนกระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะย่ำเท้าหนักๆ กลับเรือน

รถม้าสี่คันมุ่งหน้าตรงไปยังประตูเมืองทิศใต้ อวี้ซื่อที่นั่งรวมอยู่กับพี่น้องอีกสามคน เริ่มออกอาการง่วงงุน หยางอวี้จิ้นติดนิสัยปากพล่อยมาจากมารดา ครั้นเห็นว่าอวี้ซื่อทำท่าจะหลับ ก็อดที่จะเอ่ยประชดประชันไม่ได้

“น้องสี่ เจ้านี่ช่างประเสริฐแท้ ยังมีหน้ามานั่งหลับอีก หลายปีที่ผ่านมา เจ้าก็หาทางหลบเลี่ยงไม่ยอมไป เอาเปรียบพี่น้องจริงๆ”

อวี้เจียวกับอวี้หลุนได้ยินเช่นนั้น พากันหันมองอวี้ซื่อด้วยสายตาไม่พอใจ

การไปนั่งตีเกาะเคาะไม้สวดมนต์ภาวนา สำหรับพวกนางแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ทรมานอย่างยิ่งยวด ต้องนั่งคุกเข่าเป็นวันๆ ทว่าหยางอวี้ซื่อกลับไม่เคยได้ประสบ ไม่เรียกว่าเอาเปรียบแล้วจะเรียกว่าอันใด

อวี้ซื่อที่ถูกมองด้วยสายตาอาฆาต หายง่วงงุนขึ้นมาทันใด พลางคิดในใจอย่างกลัดกลุ้ม นางหาใช่ตัวต้นคิดหาทางหลบเลี่ยงเสียเมื่อไหร่ เป็นอี๋เหนียงของนางต่างหาก มิใช่ว่าพี่สาวน้องสาวอยากไปเอาหน้าประจบประแจงท่านย่าหรอกหรือ ถึงได้เต็มใจไป เหตุใดตอนนี้มาโทษว่านางเอาเปรียบไปเสียแล้วเล่า ช่างไม่ยุติธรรมเลย คิดแล้วก็ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน

ฮึ! อวี้เจียวกับอวี้หลุนพากันแค่นเสียงใส่ สะบัดหน้าหนีไปคนละทาง เหลือเพียงอวี้จิ้นที่ยังมองนางด้วยสายตาเยาะเย้ย

อวี้ซื่อได้แต่เบือนหน้าหนี ไม่กล้าที่จะนั่งหลับอีก

รถม้าคันหน้ามีหยางอวี้ฮวากับหยางอวี้หรัวนั่งประกบฮูหยินผู้เฒ่าคนละฝั่ง จะอย่างไร หยางอวี้หรัวก็ยังเป็นหลานสาวที่ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดปรานมากที่สุด สองย่าหลานจึงมีเรื่องพูดคุยกันตลอดทาง

อวี้ฮวาไม่ใคร่จะใส่คนทั้งคู่นัก เพราะในหัวของนางมีเรื่องที่สำคัญกว่าให้ต้องขบคิด

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel