ตอนที่ 3 โจรลักพา
หญิงสาวที่ถูกตามตัวมาอย่างฉุกละหุกคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ในสภาพไม่เรียบร้อย เส้นผมดำสนิทถูกมวยเอาไว้อย่างลวกๆ เสื้อคลุมสีฟ้าชุดกระโปรงตัวนอกบิดเบี้ยว
ซูเจียวนั่งก้มหน้านิ่ง ไร้ความหวาดกลัว จะมีก็แต่ความประหลาดใจผสมกับความเคียดแค้น เทียนหวาย
"ฝ่าบาททรงต้องการฟังเสียงพิณของเจ้า"
เสียงเล็กแหลมทำให้นางต้องเหลือบมองไปยังพิณสีเขียวเข้มที่ตั้งอยู่บนพรมสีขาว ครู่เดียวก็เก็บสายตากลับ ก่อนจะตอบฟ่านกงกงโดยไม่เงยหน้า "ข้าไม่เล่น"
"บังอาจ! เจ้าเป็นใครถึงกล้าขัดรับสั่ง! อยากถูกโบยหรือไร!" เสียงตวาดของฟ่านกงกง ทำให้เหล่านางกำนัลขันที รวมถึงคนในตำหนักกั้วไฉหนี่ว์ต้องพากันก้มหน้างุด
มีเพียงคนเดียวที่เงยหน้าขึ้นสบตากงกงเฒ่า "เมื่อครู่เป็นท่านสั่ง หาใช่รับสั่งของฝ่าบาท จะเรียกว่าข้าขัดรับสั่งได้เช่นไร"
วาจาของซูเจียวทำให้ฟ่านกงกงโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ยืนชี้ไม้ชี้มืออ้าปากพงาบๆ นี่นับเป็นครั้งแรกที่ฟ่านกงกงขันทีสองรัชมัยถึงกับจนด้วยคำพูด กงกงเฒ่าได้แต่ถลึงตามองหญิงสาวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
"เล่นให้เราฟัง"
แต่ก่อนที่ฟ่านกงกงจะโมโหตาย น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์ก็ดังขัดจังหวะพอดี
เมื่อเป็นรับสั่ง ซูเจียวจึงไม่อาจปฏิเสธ ร่างบอบบางคลานขึ้นไปนั่งบนพรมสีขาวฟูฟ่อง มองพิณตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
พิณขงเชว่ หรือพิณนกยูง นับว่าเป็นพิณล้ำค่าเป็นอันดับต้นๆ ไม่รู้ว่าคนผู้นี้คิดอะไร ถึงได้นำพิณล้ำค่ามาให้นางเล่น
ซูเจียวรู้ตั้งแต่สาวใช้ของกั้วอิงฮวาไปตามนางที่ห้อง ว่าประวัติของตนเองคงจะถูกสืบมาอย่างละเอียดแล้ว น่าจะเป็นเพราะนางเล่นพิณเมื่อสามวันก่อน และฮ่องเต้ชั่วผู้นี้คงจะมาได้ยินเข้าโดยบังเอิญ
เล่นให้เราฟังงั้นหรือ ฮึ! ได้!
นิ้วมือเรียวยาวกรีดลงบนสายพิณช้าๆ ดวงตากลมโตไม่หลับลงเหมือนเมื่อสามวันก่อน แต่กลับมองสบพระเนตร
เสียงพิณเริ่มดังขึ้น ท่วงทำนองแรกฟังดูสดใสจนทำให้คนฟังยกยิ้ม จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเศร้าหมองจนคนฟังร้องไห้ พอมาถึงท่อนสุดท้ายเสียงพิณก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นเสียงด่าทอสาปแช่ง ทั้งความเคียดแค้น ความเกลียดชัง ล้วนถูกระบายลงในบทเพลงเดียว จนมาถึงท่อนจบที่ทำให้ทุกคนต้องรู้สึกหน่วงในใจคล้ายสูญเสียอะไรบางอย่าง
กระทั่งเสียงพิณเงียบลง ผู้คนในห้องยังจมอยู่กับความเศร้าโศก ไม่เว้นแม้แต่ฟ่านกงกง
"ออกไปให้หมด!"
สุรเสียงเย็นชา ทำให้ทุกคนได้สติ รีบพากันออกจากห้อง ซูเจียวเองก็ทำท่าจะขยับเช่นกัน
"ยกเว้นเจ้า"
แต่รับสั่งของฮ่องเต้ ทำให้นางต้องกลับมานั่งก้มหน้าอยู่เบื้องหลังพิณดังเดิม
"หญิงหม้ายสกุลซู ผู้เหลือรอดเพียงคนเดียวจากการติดเชื้อโรคระบาด"
"หาใช่เช่นนั้นเพคะ หม่อมฉันคือผู้เหลือรอดเพียงคนเดียวจากการสังหารหมู่"
ดวงตาสองคู่มองสบกันอย่างไม่มีใครยอมใคร
ตั้งแต่ครองราชย์มา นี่นับเป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าต่อปากต่อคำกับพระองค์ มิหนำซ้ำเจ้าคนไม่กลัวตายผู้นี้ยังเป็นเพียงหญิงชาวบ้านหน้าตาธรรมดา รูปร่างไม่โดดเด่น
"เจ้าคงไม่กลัวตายกระมัง"
"เกิดมาทุกคนย่อมต้องตาย จะช้าหรือเร็วก็เท่านั้นเพคะ"
บรรยากาศในห้องโถงเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ ถึงแม้จะเป็นการต่อปากต่อคำ แต่น้ำเสียงของทั้งคู่กลับไม่แสดงอารมณ์ ล้วนใช้เสียงโทนเดียวไม่ต่างกัน
ด้วยความอยากเอาชนะ ตี้จงฮ่องเต้จึงไม่ทรงรับสั่งให้โบยสตรีที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงผู้นี้ให้ตาย "น่าแปลกยิ่งนัก หญิงหม้ายจากหมู่บ้านชนบท เหตุใดถึงได้เล่นพิณเป็น"
รับสั่งลอยๆ ของฮ่องเต้ ทำให้ซูเจียวลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะ แต่ในเมื่อพระองค์ทรงไม่ได้รับสั่งถาม นางจึงเลือกที่จะเงียบ
"ฟังจากเพลงที่เจ้าเล่น เจ้าคงโกรธแค้นเรามากสินะ"
"เพลงเมื่อครู่ หม่อมฉันแค่อยากระบายความอัดอั้นเพคะ"
"หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น"
แม้ผู้ที่ลงมือจะเป็นหลิวเผิงคุน แต่หลิวเผิงคุนคือผู้ใด คือตัวแทนพระองค์ในวันนั้น ผู้ที่ต้องรับผิดชอบมากที่สุดย่อมเป็นฮ่องเต้ ถึงความเคียดแค้นชิงชังของซูเจียวจะสุมแน่นอยู่ในอก แต่สีหน้าก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยน
หลังจากที่ฮ่องเต้เสด็จกลับไป กั้วไฉหนี่ว์ก็ถามคำถามมากมายกับซูเจียวไม่หยุด แต่นางก็เลือกตอบเท่าที่จำเป็น ก่อนจะขอตัวไปพักผ่อน
แผนการที่วางไว้แต่เดิมของซูเจียวจำต้องเปลี่ยนใหม่หมด เดิมทีนางไม่อยากเปิดเผยตัวเอง แต่เวลานี้กระทั่งฮ่องเต้ยังทรงทราบแล้วว่านางเป็นใคร การจะเข้าใกล้หลิวเผิงคุนคงไม่ง่ายนัก
เช้าวันถัดมา เรื่องในตำหนักกั้วไฉหนี่ว์ก็เป็นที่รู้กันทั่ว ผู้ที่ทำให้ฝ่าบาทถึงขั้นเตรียมพิณขงเชว่มา เกรงว่าฝีมือการดีดพิณคงไม่ธรรมดาจริงๆ
นับว่ายังดีที่มีข่าวว่าสตรีนางนั้นเป็นหญิงหม้ายรูปร่างหน้าตาธรรมดา บรรดาสนมชายาถึงได้คลายใจ
เรื่องนอกตำหนักจะเป็นอย่างไรนั้น ซูเจียวหาได้รับรู้ ทั้งวันได้แต่ขังตัวเองอยู่ในห้องปักผ้า เพื่อปักชุดของกั้วไฉหนี่ว์
ตำหนักส่วนพระองค์
กระดาษแผ่นหนึ่งถูกยื่นเข้าไปในแสงไฟของตะเกียง จนกระทั่งไหม้เป็นเถ้าถ่าน
"พานางมาให้เรา"
บุรุษชุดดำค้อมกายล่าถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ
ไม่ถึงชั่วยาม ภายในห้องลับในตำหนักก็มีร่างหญิงสาวถูกมัดมือมัดเท้านอนอยู่บนเตียงกว้าง ดวงตาของนางถูกผูกด้วยผ้าสีดำ แต่ลมหายใจของนางสงบนิ่งไม่เปลี่ยน ไม่มีอาการตื่นตระหนกไร้ซึ่งท่าทางหวาดกลัว
ไม่นานเสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ดังขึ้น ก่อนที่ฟูกนอนจะยวบลง แค่ฟังจากฝีเท้าและระยะการก้าวเดิน ซูเจียวก็พอจะทราบแล้วว่าคนผู้นี้เป็นใคร มิหนำซ้ำที่นี่คือวังหลวง จะมีใครกล้าลงมือนอกเสียจาก....
"หม่อมฉันพึ่งทราบ ว่าฝ่าบาทเป็นโจรลักพา"
"ยังมีหลายเรื่องเกี่ยวกับเราที่เจ้าไม่รู้"
"อยากให้หม่อมฉันตาย ก็แค่สั่งประหาร ไม่เห็นต้องทรงลำบากทำถึงเพียงนี้เลยเพคะ"
"ตายง่ายๆ ก็น่าเบื่อแย่ มาเถิด เรามาสนุกกัน"
เชือกถูกแก้ออก แต่นั่นไม่ใช่เพื่อให้นางเป็นอิสระ แต่เพื่อถอดชุดของนาง
ซูเจียวนอนนิ่งราวกับไร้ชีวิต ปล่อยให้อีกฝ่ายกระทำตามใจ เพราะดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์ ในเมื่อตกอยู่ในมือคนชั่วนางก็ไม่ต่างจากคนที่ตายแล้ว
สองมือถูกผูกไว้กับเสาเตียงทั้งสองข้าง ทั้งร่างไร้ซึ่งอาภรณ์ มีเพียงผ้าสีดำที่ผูกตาไว้เท่านั้น
"เจ้าแค้นข้ามิใช่หรือ หวังว่าจะไม่อ่อนแอจนชิงฆ่าตัวตายไปก่อนก็แล้วกัน เพราะที่นี่ข้าคือโจรลักพา หาใช่ฮ่องเต้"
ดูภายนอกเหมือนว่าซูเจียวจะผอมบาง แต่พอมาดูภายในกลับต่างไปอย่างสิ้นเชิง เทียนหวายอดไม่ได้ที่จะใช้ฝ่ามือทาบลงบนเต้ากลมโตเพื่อลองวัดขนาดดู
"ล้นมือดีจริงๆ ไม่นึกว่าคนขี้เหร่อย่างเจ้า พอถอดผ้าออกแล้วจะดูดีถึงเพียงนี้ แต่ข้าว่า หากเจ้าอ้วนกว่านี้คงจะดูดีกว่า"
"เทียนหวาย! จะฆ่าก็ฆ่า! เหตุใดต้องทำเรื่องหยามเกียรติข้าด้วย!"
"โกรธแล้ว?"
ซูเจียวไม่คิดตอบ ได้แต่เบือนหน้าหนี ลมหายใจเริ่มไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ แต่จะว่าไปก็นานมากแล้วที่นางไม่เคยต้องมือชาย
"อาเจียวถูกขายให้โรงย้อมผ้าตั้งแต่อายุเจ็ดปี จนกระทั่งโรงผ้าปิดตัวลง ด้วยความมีน้ำใจของเถ้าแก่เนี้ย จึงคืนสัญญาขายตัวให้เด็กสาววัยสิบสี่ได้กลับบ้านไปหาบิดามารดา"
ไม่เพียงแค่พูด แต่ฝ่ามือของเทียนหวาย ยังเริ่มลูบไล้ต่ำลงเรื่อยๆ "อ้อ ข้าลืมไปประโยคหนึ่ง หลังจากที่ไม่ได้พบหน้าบิดามารดาเลยตลอดเจ็ดปี เป็นเช่นนั้นหรือไม่ อาเจียว?"
ลมหายใจของหญิงสาวเริ่มแรงขึ้น ริมฝีปากเม้มหากันแน่น แต่ก็ยังไม่คิดจะตอบคำถาม
"หลังจากนั้นประวัติของอาเจียวก็ตายไปพร้อมกับสามร้อยกว่าชีวิตในหมู่บ้าน เมื่อข้าไม่อาจสืบจากข้างนอกได้ ก็คงต้องถามเอากับเจ้าแล้ว"
คราวนี้ซูเจียวรู้สึกตกใจขึ้นมาแล้วจริงๆ เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นเต็มหน้าผาก นางรู้แล้วว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงจับนางมา
"เด็กสาวที่เติบโตในโรงย้อมผ้าซ้ำยังเป็นเพียงสาวใช้ระดับล่างเหตุใดถึงได้ดีดพิณได้ ไหนเจ้าลองบอกข้าหน่อยสิ"
ฝ่ามือหนาลูบผ่านหน้าท้องแบนราบไปจนถึงเนินเนื้ออวบอูมที่มีไรขนสีน้ำตาลอ่อนขึ้นปกคลุมบางเบา "ว่าไง หืม?"
นิ้วมือเกลี่ยผ่านร่องรักหยอกเย้าส่วนอ่อนไหวที่โผล่พ้นกลีบอวบอิ่มทั้งสองข้าง จนลมหายใจของซูเจียวเริ่มที่จะขาดห้วง
"เจ้าจะไม่พูดจริงๆ หรือ?" เห็นหญิงสาวยังเงียบ มุมปากบนใบหน้าหล่อเหลาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ปลายนิ้วกลางขยับหมุนวนลงบนเมล็ดเล็กๆ ทั้งเกี่ยวทั้งถูไถ ทำให้ร่างบอบบางเริ่มเหยียดเกร็ง หายใจหอบแรง แต่ริมฝีปากยังคงเม้มสนิท ความคิดในหัวของซูเจียวเริ่มไม่ปะติดปะต่อ
อึก! จู่ๆ นิ้วมือก็ถูกสอดใส่เข้ามาในร่าง
"อ่า แฉะเชียว หึหึ"
ภาพเย้ายวนตรงหน้า ทำให้อวัยวะบางส่วนของเทียนหวายเริ่มพองตัวขึ้น "วันนี้ไม่พูดก็ไม่เป็นไร ข้าจะได้สอบสวนเจ้าทุกวัน จนกว่าเจ้าจะยอมพูด"
ยอดอกที่กำลังเชิดหัว ถูกละเลงด้วยปลายลิ้น ทั้งดูดทั้งเลียสลับกันไปมาสองข้าง นิ้วมือชักเข้าชักออกในช่องทางรัก ความฉ่ำแฉะทำให้เกิดเสียงหยาบโลนขึ้นเป็นจังหวะ
ซูเจียวสมองขาวโพลน สติเริ่มขาดๆ หายๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายขึ้นมาทาบทับตอนไหน มารู้ตัวอีกที ดุ้นที่ใหญ่กว่านิ้วก็ถูกสอดใส่เข้ามาแล้ว
"อึก! อื้ม! ทะ..เทียนหวาย! เจ้า!"
"โอ้ว.. ไม่น่าเชื่อว่าหญิงหม้ายอย่างเจ้าจะคับแน่นถึงเพียงนี้"
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะของซูเจียวคับแคบเกินไป หรือเพราะส่วนนั้นของเทียนหวายใหญ่เกินไปกันแน่ ถึงได้ใช้พอดูกว่าท่อนลำแข็งขึงจะผ่านเข้าไปได้จนสุด
สองขาถูกช้อนให้อ้ากว้าง ก่อนที่บั้นท้ายแกร่งจะเริ่มขยับสาวท่อนลำเข้าออกอย่างช้าๆ ดวงตาคมเข้มจับจ้องมองใบหน้าของซูเจียวไม่วางตา ยิ่งมอง บั้นท้ายก็ยิ่งขยับเร็วขึ้น
ลมหายใจร้อนเผ่าที่เป่ารดใบหน้าทำให้ซูเจียวต้องเบือนหน้าหนี ก่อนจะถูกจับให้หันมารับจูบ ปลายลิ้นหนาชอนไชไปทั่วโพรงปาก
ด้วยความชำนาญของเทียนหวายบวกกับความห่างเหินเรื่องพวกนี้มานานของซูเจียว ไม่นานร่างบอบบางก็เหยียดเกร็ง
พอรู้ว่านางใกล้จะเสร็จ เทียนหวายก็เร่งกระแทกกระทั้น ยิ่งได้แรงตอดรัดจากภายใน ท่อนลำใหญ่โตก็ยิ่งชักเข้าชักออกเร็วขึ้นไปอีก
"อื้ม..." ซูเจียวท้องน้อยหดเกร็ง ผนังอ่อนนุ่มในช่องทางรักเริ่มบีบรัดตัว "อ๊า...." ในที่สุดนางก็ถึงจุดหมาย
และก็นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ซูเจียวแตกคาลำเช่นนี้ "แฮ่กๆ" ร่างบอบบางทิ้งตัวลงบนฟูกหายใจหอบเหนื่อย ช่องทางรักยังเต้นตุ้บๆ ตอดรัดท่อนเอ็นไม่หยุด
เทียนหวายกระแทกกระทั้นอีกสองสามที ก็ชักแก่นกายออกมาปลดปล่อยข้างนอก พร้อมกับระบายลมออกจากปาก ฟู่....
ผ่านไปครู่ใหญ่ผ้าที่เตรียมไว้ก็ถูกนำมาเช็ดทำความสะอาดส่วนที่ยังผงาดของตัวเอง ก่อนจะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง เสร็จแล้วก็หันไปแก้เชือกให้ซูเจียว
"เจ้าคงยังพอมีแรงแต่งเนื้อแต่งตัวกระมัง รีบใส่เสื้อผ้าเสีย เดี๋ยวจะมีคนมาพาเจ้าไปส่ง"
หลังจากเสียงฝีเท้าเดินจากไป ซูเจียวถึงได้แก้ผ้าผูกตาออก ก่อนจะสวมเสื้อผ้า แต่หลังจากนั้นนางก็ไม่ได้สติแล้ว
