บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4 ช่วยข้า

ซูเจียวตื่นขึ้นมาบนเตียงในตอนเช้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากไม่รู้สึกขัดที่หว่างขา บางทีนางอาจจะคิดว่าฝันไปก็เป็นได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ

ร่างบอบบางรีบลุกออกจากเตียงไปอาบน้ำด้วยความหงุดหงิด ในใจทั้งก่นด่าทั้งสาปแช่ง แต่ผู้ที่นางกำลังแช่งชักหักกระดูกกลับไม่รู้เรื่องรู้ราว 

ตี้จงฮ่องเต้ทรงออกว่าราชการช่วงเช้าเสร็จก็เข้ามาตรวจฎีกาต่อในห้องทรงพระอักษร เพียงแต่กองฎีกาที่ทรงนั่งอ่านอยู่ตั้งนานสองนานนั้น เป็นฎีกาของเมื่อปีที่แล้ว

"ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ท่านราชบุตรเขยมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ"

"ให้เข้ามา"

ร่างสูงในชุดขุนนางขั้นสามสาวเท้าผ่านประตูเข้ามา ก่อนจะค้อมกายลงต่ำ "ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท"

"ไม่ต้องมากพิธี เราแค่ตามเจ้ามาเดินหมาก" 

"พ่ะย่ะค่ะ"

"เจ้าไปนั่งรอก่อน"

ก่อนที่จะก้าวไปยังตั่งที่มีกระดานหมาก หลิวเผิงคุนลอบมองหนังสือฎีกาที่ฮ่องเต้ทรงกำลังให้ความสนใจ พอเห็นว่าเป็นฎีกาเมื่อปีที่แล้วก็รู้สึกตกใจไม่น้อย เผลอหน้านิ่วคิ้วขมวดโดยไม่รู้ตัว

บนตั่งกว้าง ตี้จงฮ่องเต้ทรงประทับลงอีกฝั่งหนึ่งของกระดาน พระองค์ไม่ทรงตรัสอะไรพร่ำเพรื่อ หลิวเผิงคุนเองก็กลายเป็นคนเงียบขรึม ทำให้มีเพียงเสียงเม็ดหมากเท่านั้น

ฟ่านกงกง ที่คอยรินน้ำชาอยู่ด้านข้าง คล้ายจะเห็นภาพเช่นนี้จนชินเสียแล้ว

ตำหนักไฉหนี่ว์

หลังจากใช้เวลาในห้องปักผ้าไปพักใหญ่ ซูเจียวก็กลับออกมาพบกั้วไฉหนี่ว์ 

"ข้าต้องการออกไปนอกวัง"

"อ้อ ได้สิ"

กั้วอิงฮวาหันไปสั่งสาวใช้ให้นำแผ่นป้ายมาให้ซูเจียว เพื่อใช้เข้าออกวังหลวง ก่อนจะหันไปฝึกเล่นพิณต่ออย่างขะมักเขม้น

 ในขณะที่รอแผ่นป้าย ซูเจียวก็สอนเด็กสาวไปด้วย "ท่านควรใช้ความรู้สึกให้มากกว่านี้"

"อย่างไรหรือ?"

"ไม่ว่าจะเป็นการเล่นดนตรีหรือว่าขับร้อง ท่านต้องใช้ความรู้สึกมากกว่าการซ้อม หากท่านยังไม่รู้สึกถึงบทเพลงของตัวเอง ก็ไม่อาจทำให้ผู้อื่นรู้สึกตามได้เช่นกัน"

"อ่า ข้าเข้าใจแล้ว ขอบใจเจ้ามากนะ"

สนมกั้วผู้นี้นับว่าเป็นคนหัวไวไม่น้อย เรื่องที่นางกำลังติดขัดอยู่ก็คือเรื่องนี้ เสียงพิณของนางมันฟังดูแห้งแล้ง ผิดกับของซูเจียว

หลังจากได้แผ่นป้าย ซูเจียวก็ไม่คิดรบกวนเด็กสาว ก้าวออกจากตำหนักตรงไปยังประตูข้าง

ประตูใหญ่เรียกว่าซุ้มประตูมังกร มีไว้สำหรับขุนนางและเชื้อพระวงศ์ใช้เข้าออก หากเป็นข้ารับใช้ก็จะใช้ประตูข้าง แต่ไม่ว่าจะใช้ประตูใด พอออกมาก็ต้องมาบรรจบกันบนเส้นทางเดียวอยู่ดี

หลิวเผิงคุนที่เดินหมากแพ้ฮ่องเต้ไปหลายกระดาน สาวเท้าไปยังประตูหน้าด้วยท่าทางเหม่อลอย ในหัวเอาแต่คิดถึงฎีกาที่ฝ่าบาทให้ความสนใจ

"ท่านราชบุตรเขย รอก่อน"

ร่างสูงคล้ายไม่ได้ยินเสียงเรียกจากผู้ที่ตามมาด้านหลัง แต่ใครบางคนกลับได้ยินมันชัดเจน ซูเจียวฝีเท้าชะงักอยู่ในเส้นทางจากตำหนักในที่กำลังจะมาบรรจบกันที่ด้านนอก 

หลิวเผิงคุนเองก็กำลังจะเดินมาถึงทางร่วม 

"ท่านราชบุตรเขยรอก่อนขอรับ"

ในจังหวะที่ร่างสูงสง่าในชุดขุนนางขั้นสามหันกลับไปมองตามเสียงเรียก ก็เป็นจังหวะเดียวกับเจ้าตัวเดินมาถึงทางแยก ที่มีหญิงสาวยืนอยู่พอดี

ซูเจียวยืนตัวแข็งทื่อมองใบหน้าด้านข้างของราชบุตรเขยด้วยความตกตะลึง แน่นอกจนหายใจแทบไม่ออก ก้อนแข็งๆ วิ่งมาจุกอยู่ในลำคอ เหมือนจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก เผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

ร่างบอบบางรีบหลบเข้าไปแอบหลังรูปปั้นสิงห์ตัวใหญ่ก่อนที่อีกฝ่ายจะเห็น สองมือกำแน่น แววตามีแต่ความเจ็บปวดร้าว 

ผ่านไปพักใหญ่หลังจากคนผู้นั้นจากไป ซูเจียวถึงได้ลากฝีเท้าที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงกลับตำหนักไฉหนี่ว์ ก่อนจะขังตัวเองอยู่ในห้อง กระทั่งฟ้ามืด ซูเจียวก็ยังนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง 

"มู่เอ๋อ ได้โปรดมารับแม่ที แม่เหนื่อยเหลือเกินแล้ว" น้ำตาที่เคยแห้งเหือดมาร่วมปี กลับมาไหลอีกครั้ง จนกระทั่งดึกสงัด สติของนางถึงได้ดับวูบไป

คืนนี้ซูเจียวไม่ได้ถูกมัดและไม่ได้ถูกปิดตาตอนที่ฟื้นขึ้นมาก็เห็นอีกคนนั่งจ้องนางอยู่ก่อนแล้ว

"เป็นอะไรไป?"

"ฆ่าข้าที"

"หืม?"

"เทียนหวาย ได้โปรด" ซูเจียวเอ่ยด้วยแววตาเลื่อนลอย 

"ตอบคำถามข้าก่อน บางทีข้าอาจจะช่วยฆ่าเจ้า"

"ฟงเหมี่ยวหราน"

เมื่อสมัยอดีตฮ่องเต้ ด้วยความที่ทรงหวาดระแวง จึงมีราชโองการให้ครอบครัวของอ๋องผู้ครองแคว้นต่างๆ ส่งภรรยาและลูกเข้ามาอยู่ในวังเพื่อยืนยันความภักดี ฟงเหมี่ยวหราน เด็กน้อยวัยแปดปีก็เป็นหนึ่งในนั้น

พออายุได้สิบสี่ปีฟงเหมี่ยวหรานก็ป่วยตาย หลังจากนั้นอีกสามเดือนตระกูลของนางก็ถูกประหารเก้าชั่วโคตรในข้อหากบฏ ถึงแม้ผู้คนจะจดจำตระกูลฟงได้ แต่กลับไม่มีผู้ใดจดจำบุตรีเพียงคนเดียวของฟงอ๋องได้เลยสักคน

"ไม่ใช่ว่าเจ้าสมควรแก้แค้นหรอกหรือ ลืมแล้วหรือว่าบุตรชายของเจ้าตายยังไง นั่นยังไม่นับเรื่องคืนความเป็นธรรมให้ตระกูลฟงของเจ้าด้วย ตอนนี้เจ้ายังจะอยากตายอยู่อีกไหม?"

คำพูดของเทียนหวายทำให้ซูเจียวได้สติ ดวงตาบวมช้ำมองสบตาอีกฝ่ายอย่างจริงจัง "ช่วยข้า"

เจ็ดปีก่อน 

ด้วยความเฉลียวฉลาดและความสามารถของชายาฟง พอรู้ว่าฮ่องเต้ทรงไม่มีทางปล่อยตระกูลฟงไป จึงวางแผนการให้บุตรสาวเพียงคนเดียวเหลือรอด 

ฟงเหมี่ยวหรานถูกวางยาให้ตายตอนอายุสิบสี่ หลังจากเสร็จพิธีฝังศพ เด็กสาวก็มีตัวตนใหม่ในชื่ออาเจียว อาเจียวเดินทางกลับหมู่บ้านพร้อมมีสัญญาขายตัวเป็นหลักฐาน  

แต่เพราะความที่ทางบ้านยากจน ซ้ำยังมีนิสัยขายลูกกิน จึงคิดขายนางให้ซ่องนางโลม ยังดีที่ได้บัณฑิตหนุ่มช่วยเหลือ

ซูซานหย่งนับว่าเป็นคนหนุ่มที่มีหน้ามีตาในหมู่บ้าน เพราะนอกจากจะเป็นบัณฑิตที่อายุน้อยแล้ว ยังมีรูปร่างหล่อเหลา และด้วยความอ่อนโยนของชายหนุ่ม ไม่นานก็ได้หัวใจของอาเจียวไปครอบครอง

บ้านสกุลซูมาสู่ขออาเจียวตอนนางอายุครบสิบห้า การได้เข้าไปอยู่บ้านสามี ถือว่าปลอดภัยกว่าอยู่บ้านตัวเองมากนัก เพราะสองผู้เฒ่าทั้งรักและเอ็นดูลูกสะใภ้เป็นอย่างมาก ตัวซูซานหย่งเองก็รักและเอ็นดูอาเจียวมากเช่นกัน

แต่เหมือนกับฟงเหมี่ยวหรานยังไม่หมดกรรม นางใช้ชีวิตเป็นซูเจียวอย่างมีความสุขอยู่ได้ไม่นาน ซูซานหย่งที่ออกจากบ้านไปสอบจอหงวนก็มาตายจากไป ทิ้งนางและลูกในท้องที่ยังไม่ทันลืมตาดูโลกเอาไว้กับบิดามารดาที่แก่เฒ่า

แม่หม้ายอายุน้อยอย่างซูเจียว ต้องทำงานหนักเพื่อดูแลคนในครอบครัวที่นางเหลืออยู่ จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว ฟงเหมี่ยวหรานก็ต้องสูญเสียครอบครัวสุดท้ายไป

"หากช่วยเจ้า แล้วข้าจะได้ประโยชน์อันใด หญิงหม้ายไร้ค่าอย่างเจ้าจะให้อะไรข้าได้ มิหนำซ้ำตอนนี้ เรื่องที่ข้าอยากรู้ข้าก็ได้รู้แล้ว" 

เทียนหวายเหยียดยิ้ม เอื้อมมือไปเชยปลายคางของซูเจียวให้เงยขึ้น แทะเล็มขบเม้มริมฝีปากบางราวกับลูกกวาดก่อนจะสอดลิ้นมาไปโพรงปาก

ฝ่ามือหนาล้วงเข้าไปใต้กระโปรงปลดผ้าสามเหลี่ยมออก ลูบไล้เนินอวบอูมอย่างเบามือ

ซึ่งการกระทำกับคำพูดช่างสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง

"แค่นี้ก็ฉ่ำแล้ว ร่านจริง" 

ซูเจียวทั้งโกรธทั้งอาย ได้แต่กัดฟันทน เบือนหน้าหนี

ร่างกายถูกดันในนอนราบลงบนฟูกอีกครั้ง ดวงตากลมโตหลับลงช้าๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายกระทำตามใจ เสียงปลดผ้าคาดเอวของคนข้างกายดังเข้าโสตประสาท ครู่เดียวร่างกายก็ถูกทาบทับ 

อึก! ซูเจียวนิ่วหน้าเล็กน้อย เมื่อดุ้นขนาดใหญ่ถูกดันเข้ามาร่าง ท่อนลำแข็งขึงแทงผ่านผนังอ่อนนุ่มเข้ามาช้าๆ แม้จะเคยสัมผัสความใหญ่โตของมันมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังรู้สึกขัดอยู่ดี ดูท่าแล้วส่วนนั้นของเทียนหวายคงจะใหญ่ไม่ใช่เล่น 

ร่างกายที่กำลังขยับโยกอยู่บนตัวนางพร้อมลมหายใจถี่กระชั้นของคนด้านบน เร้าอารมณ์ของซูเจียวอย่างไม่น่าเชื่อ ริมฝีปากถูกจูบอีกครั้ง ท่อนลำเริ่มชักเข้าชักออกเร็วขึ้น

เทียนหวายทั้งบดจูบทั้งจ้วงแทงแก่นกายใส่รูรักของนาง จนกระทั่งนางปลดปล่อย ถึงได้รีบชักของตัวเองออกไปหลั่งข้างนอก ฟู่..

แม้จะหูอื้อตาลาย แต่ซูเจียวก็เหมือนจะได้ยินคนผู้นี้ระบายลมหายใจออกจากปากหลังจากปลดปล่อยมาสองครั้งแล้ว

"คราวหน้าข้าจะให้เจ้ากินยาห้ามครรภ์!"

ชายหนุ่มยังทำเช่นเดิม หยิบผ้ามาเช็ด ก่อนจะจัดเสื้อผ้าตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ส่วนซูเจียวได้แต่ตลบกระโปรงลง นอนตะแคงหันหน้าหนี 

นางไม่อยากทำตัวไร้ศักดิ์ศรีไปมากกว่านี้ จึงไม่คิดอ้อนวอน คนผู้นี้จะช่วยหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่ไม่ขวางทางนางก็พอ

เสียงฝีเท้าเดินจากไป และไม่นานนางก็หมดสติไม่ต่างจากเมื่อวาน

ว่ากันว่าก่อนพิธีเฉลิมฉลอง ตี้จงฮ่องเต้ทรงงานหนักจนไม่มีเวลามาเยือนตำหนักใน ซูเจียวได้ยินข่าวนี้ถึงกับเหยียดยิ้ม 

แต่หลังจากคืนนั้น บันทึกประวัติอย่างละเอียดของหลิวเผิงคุนก็มาปรากฏอยู่ในห้องของนาง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นฝีมือผู้ใด

หลิวเผิงคุนเป็นชายหนุ่มกำพร้าไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีแม้กระทั่งบ้านที่พักอาศัย เป็นบัณฑิตที่เดินทางมาจากทางเหนือ

ในตอนเข้าสอบ ได้เขียนบทความเป็นแนวทางแก้ไขป้องกันรักษาโรคระบาด จึงทำให้ได้ตำแหน่งจอหงวนอันดับหนึ่งไปครอง

ซูเจียวอ่านมาถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป คิดไปถึงเรื่องราวเมื่อห้าปีก่อน นางเคยพูดคุยตามประสาผัวเมียกับซูซานหย่ง เรื่องวิธีป้องกันยับยั้งโรคระบาย กระทั่งเปรยถึงตัวยาที่จะใช้รักษาเบื้องต้น

ด้วยความที่อากาศทางเหนือหนาวเย็น นางจึงพอคาดเดาได้ว่าต้องเกิดโรคระบาดในช่วงผลัดเปลี่ยนฤดู 

เหตุใดนางถึงลืมเรื่องนี้ไปได้ ที่แท้ซูซานหย่งก็เอาคำบอกเล่าของนางมาเขียนคำตอบในการสอบจอหงวน

"สารเลว!!! พอเจ้าไร้ความสามารถที่จะแก้ไข ก็เลยเผาคนทั้งเป็นงั้นหรือ เสียแรงที่ข้าเคยรักเจ้า ซูซานหย่ง!"

แววตาของซูเจียวมีแต่ความเคียดแค้น กว่าจะทำใจให้สงบลงได้ก็ใช้เวลาไปนานพอดู หนังสือถูกพลิกอ่านต่ออย่างตั้งใจ

หลังจากที่ได้ตำแหน่งจอหงวนไม่นาน เมื่อทางการจัดการกับโรคระบาดได้สำเร็จ ฮ่องเต้ก็ทรงประทานตำแหน่งขุนนางขั้นสี่รองเจ้ากรมเสนาธิการพร้อมทั้งประทานสมรสให้แก่องค์หญิงสิบหก

นับว่าหลิวเผิงคุนเป็นคนหนุ่มที่นอกจากจะอนาคตไกลแล้ว ยังมีอำนาจวาสนามากมาย ซูเจียวพลิกอ่านทุกหน้ากระดาษ ทุกตัวอักษรจนจบ 

ไม่ว่าจะเป็นความชอบ ความเกลียด เรื่องราวในครอบครัว ตำหนิบนร่างกาย ในประวัติเล่มนี้บอกเอาไว้ครบส่วน

ฮ่องเต้ก็ยังเป็นฮ่องเต้อยู่วันยังค่ำ ขนาดเรื่องเล็กน้อยยังมิอาจรอดพ้นจากพระเนตรพระกรรณไปได้ ประวัติของนางก็คงไม่ต่างกันกระมัง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel