ตอนที่ 2 ตะวันทอแสง
หลังจากวัดตัวพร้อมกับเลือกผ้าตัดชุดของกั้วไฉหนี่ว์เสร็จ ซูเจียวก็เริ่มวาดเค้าโครงชุดลงในกระดาษ ก่อนจะส่งให้สองผู้ช่วยเป็นคนลงมือตัดเย็บ
ด้วยความที่กั้วไฉหนี่ว์เป็นเพียงสนมขั้นแปด จึงไม่ได้อาศัยอยู่ในตำหนักเพียงผู้เดียว ที่นี่ยังมีสนมตำแหน่งไฉหนี่ว์อีกหนึ่งคนพักอยู่ด้วย แม้ในใจสนมทั้งสองจะคิดชิงดีชิงเด่นกัน แต่เพราะความเป็นสนมชั้นล่างเหมือนกันก็เลยค่อนข้างอยู่กันอย่างปรองดอง
สองสนมต่างพากันแยกย้ายไปซ้อมดนตรีที่ตนเองถนัดเพื่อหวังได้แสดงฝีมือในงานพิธีเฉลิมฉลอง เพื่อให้ฝ่าบาททอดพระเนตร
เสียงพิณเพลงวิหคชิวหาดังลอดเข้ามาถึงในห้องตัดเย็บ ซูเจียวได้แต่ส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะลุกออกจากห้องไป
ในศาลาด้านข้างตำหนักฝั่งทิศตะวันออก กั้วไฉหนี่ว์กำลังซ้อมดีดพิณอย่างตั้งอกตั้งใจ เด็กสาววัยสิบเจ็ดผู้นี้นับว่ามีรูปร่างงดงามไม่น้อย ซ้ำฝีมือดีดพิณก็นับว่าดี แต่สำหรับซูเจียว แค่นี้มันยังไม่พอ
"หากท่านเล่นเพลงนี้ในคืนเฉลิมฉลอง ไม่เพียงไม่ได้รับความชื่นชม แต่อาจจะถูกปลดเลยก็เป็นได้"
เสียงพิณเงียบลงพร้อมกับหัวคิ้วบนใบหน้างามของไฉหนี่ว์เริ่มขมวดมุ่น "เจ้าจะไปรู้อะไร วิหคชิวหาที่ข้าเล่น เป็นเพลงโปรดของฝ่าบาท"
คำอธิบายของกั้วไฉหนี่ว์ทำให้ซูเจียวยกยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งบนตั่งเดียวกับสนมขั้นแปดอย่างไม่เกรงใจพร้อมกับเอ่ยเสียงเนิบช้า
"ฝ่าบาททรงไม่ได้โปรดที่เพลง แต่โปรดที่คนบรรเลง ท่านไม่รู้หรือ ว่าทำนองเพลงนี้เป็นฮองเฮาทรงแต่งให้ฝ่าบาท"
กั้วไฉหนี่ว์ได้ยินถึงกับอึ้ง "จะ..เจ้ารู้ได้อย่างไร?"
"หึหึ คนในวังต่างรู้กันทั่ว ข้าคิดว่าคนที่สอนให้ท่านเล่นเพลงนี้ เกรงว่าจะเป็นผู้ไม่หวังดีเสียแล้ว"
ประโยคนี้ของซูเจียวทำให้สนมกั้วตกตะลึงจนแข็งค้าง แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
วิหคชิวหา เป็นเพลงที่บรรเลงถึงหญิงสาวที่แอบรักชายหนุ่มแต่ไม่อาจเปิดเผย ซึ่งด้วยตำแหน่งฐานะของหวู่ฮองเฮาในเวลานั้น ย่อมไม่อาจใช้ความรักผูกพันฮ่องเต้เอาไว้ได้ จึงได้แต่แต่งเพลงบรรเลงความในใจของนางทั้งหมดให้ฮ่องเต้ฟัง เพลงนี้จึงไม่มีผู้ใดกล้านำมาบรรเลงส่งเดช
ผ่านไปหลายอึดใจ กั้วไฉหนี่ว์ถึงได้เอ่ยปากอย่างร้อนรน "ขะ..ข้าควรทำอย่างไร ข้าเล่นเป็นแต่พิณ ทั้งยังซ้อมเพลงนี้มาครึ่งปีแล้ว"
"ไม่ต้องห่วง ข้าจะสอนเพลงใหม่ให้ท่านเอง ถึงจะไม่ได้มีเวลาซ้อมมากมายก็ไม่มีปัญหา เพราะมันเป็นเพลงที่ไม่มีผู้ใดเคยได้ยิน ย่อมไม่มีใครรู้ว่าผิดหรือถูก"
ซูเจียวมองเห็นความหัวอ่อนไร้เดียงสาของกั้วไฉหนี่ว์ตั้งแต่ที่ได้พบกันครั้งแรก และนั่นคือเหตุผลที่นางเลือกเด็กสาวคนนี้ และไม่เกินสามเดือนนางจะทำให้กั้วอิงฮวาสนมชั้นล่างตำแหน่งไฉหนี่ว์ผู้นี้ขึ้นไปนั่งในตำแหน่งขั้นเฟยเป็นหนึ่งสี่พระชายา
"หากไฉหนี่ว์ไม่ว่าอะไร ข้าจะบรรเลงให้ท่านฟังสักรอบหนึ่ง จากนั้นท่านค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย แต่ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ข้าขอเตือนอะไรไว้อย่าง ในวังหลังแห่งนี้ ท่านไม่อาจไว้ใจใครได้อีกแล้วนอกจากข้า เพราะข้าเป็นคนเดียวที่ไม่ต้องการชิงดีชิงเด่นกับท่าน"
หลังจากที่รู้ความจริงเกี่ยวกับเพลงวิหคชิวหา กั้วไฉหนี่ว์ก็สูญเสียความนึกคิดไปโดยสิ้นเชิง ทำให้เด็กสาววัยสิบเจ็ดพยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว
ซูเจียวเข้าไปนั่งแทนที่สนมขั้นแปดด้วยท่วงท่าสง่างาม มองพิณตรงหน้าเงียบๆ อยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเริ่มไล่เสียงสร้างความคุ้นเคยให้ปลายนิ้ว
ดวงตากลมโตหลับลงช้าๆ ภาพความทรงจำในอดีตหวนกลับมาอีกครั้ง
เพลงของซูเจียวแตกต่างจากเพลงวิหคชิวหาอย่างสิ้นเชิง ท่วงทำนองไม่ได้เอ่ยถึงความรักของชายหนุ่มหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย แต่ฟังแล้วกลับชวนให้ลุ่มหลง
เพลงนี้บรรเลงถึงเด็กน้อยผู้โดดเดี่ยว ที่แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย แต่กลับหาความจริงใจไม่มี กระทั่งบิดามารดาผู้ให้กำเนิดก็ไม่เว้น
ทำนองเพลงจากเนิบช้าในวัยเด็กเริ่มเร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเด็กน้อยกำลังเติบโต และเปลี่ยนเป็นฮึกเหิมทรงพลังราวกับแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างเพื่อตัวเอง จากนั้นเสียงพิณค่อยๆ เบาลง จนกระทั่งเงียบสนิท
ซูเจียวลืมตาขึ้นช้าๆ พร้อมกับเอ่ยเสียงแผ่วเบา "ตะวันทอแสง"
กั้วไฉหนี่ว์ยังนั่งนิ่งไม่ขยับ ความรู้สึกจมอยู่กับบทเพลงเมื่อครู่จนถอนตัวไม่ขึ้น ขนาดเพลงจบไปหลายลมหายใจแล้วก็ยังไม่รู้ตัว
ซูเจียวไม่แปลกใจกับอาการของเด็กสาวและไม่คิดที่จะเอ่ยเรียกนาง ได้แต่ปล่อยเวลาให้ผ่านไป แต่สายตายังอดที่จะก้มลงไปมองพิณตรงหน้าอีกครั้งไม่ได้
นานมากแล้วสินะ ที่ข้าไม่ได้แตะต้องของพวกนี้
ห่างจากตำหนักสนมขั้นแปดไปไม่ไกล บุรุษในชุดสีเหลืองทองนับว่าได้สติเร็วกว่าสนมกั้วมากนัก
"เสียงพิณนั่นมาจากตำหนักใด?"
"อ่ะ..เอ่อ.. น่าจะเป็นตำหนักไฉหนี่ว์พ่ะย่ะค่ะ"
หลังจากที่ไฉหนี่ว์ได้สติ ก็เอ่ยชื่นชมซูเจียวไม่หยุดปาก ทั้งยังเต็มใจให้นางสอนเพลงนี้ให้
"เพลงนี้เจ้าเป็นคนแต่งขึ้นมาเองหรือ?" กั้วอิงฮวาเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น แทบจะกราบอีกฝ่ายเป็นอาจารย์อยู่รอมร่อ
"อืม ชื่อเพลงตะวันทอแสง เป็นเรื่องของเด็กน้อยคนหนึ่ง ที่เติบโตขึ้นมาอย่างโดดเดี่ยว จนกระทั่งกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ เพลงนี้เหมาะที่จะเล่นในงานพิธีเฉลิมฉลอง"
"ใช่แล้ว ช่างเหมาะจริงๆ ด้วย เพลงนี้คล้ายจะหมายถึงฝ่าบาท"
คำพูดของกั้วไฉหนี่ว์ทำให้ซูเจียวอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็เพียงครู่เดียว "ข้าว่าพวกเรามาเริ่มเรียนกันเถิด เหลือเวลาไม่มากแล้ว"
"ได้ๆ ถูกของเจ้า"
ซูเจียวค่อยๆ สอนสนมกั้วทีละท่อนอย่างใจเย็น ยังดีที่เด็กสาวเป็นคนเรียนรู้ไว เพียงไม่นานก็สามารถจดจำทำนองเพลงได้ทั้งหมด
ทั้งคู่ใช้เวลาไปร่วมสองชั่วยาม จนกระทั่งสาวใช้ของไฉหนี่ว์มาตามผู้เป็นนายไปรับมื้อเย็น ถึงได้แยกย้ายกัน
ซูเจียวยังไม่คิดกลับเข้าตำหนัก ถึงแม้จะมีคำสั่งเด็ดขาดเรื่องที่ห้ามช่างตัดเย็บก้าวออกจากตำหนักส่งเดช แต่ซูเจียวก็ยังออกไปอยู่ดี
ร่างบอบบางเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ขนานกับสระบัวจนมาถึงตำหนักเก่าแก่หลังหนึ่ง สายตามองสำรวจไปรอบๆ ก่อนจะหยุดลงที่โต๊ะไม้หน้าตำหนัก บนโต๊ะมีกระดานหมากที่เดินค้างไว้วางอยู่
ซูเจียวเห็นแล้วรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ฝีเท้าค่อยๆ ก้าวไปยังกระดานหมากโดยไม่รู้ตัว จู่ๆ มุมปากของนางก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
ตัวหมากสีขาวที่กำลังจะจนแต้ม พลิกกลับมาชนะด้วยการวางหมากเพียงเม็ดเดียว ซูเจียวมองกระดานหมากด้วยความพออกพอใจ ก่อนจะมองสำรวจไปรอบๆ อีกครั้ง จากนั้นก็เดินกลับตำหนักราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สามวันต่อมา เสียงพิณของกั้วไฉหนี่ว์ก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง ถึงแม้ฟังแล้วจะให้อารมณ์ที่แตกต่างจากซูเจียว แต่สำหรับผู้ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ย่อมต้องคิดว่ามันยอดเยี่ยม จนทำให้เฉียนไฉ่หนี่ว์สนมขั้นแปดอีกคนที่อยู่ร่วมตำหนักได้ยินแล้วถึงกับนั่งไม่เป็นสุข
แต่เรื่องพวกนี้ซูเจียวหาได้สนใจไม่ เพราะชุดตัดเย็บเรียบร้อยแล้ว จากนี้จะเป็นหน้าที่ของนางที่จะเป็นคนปักลวดลายด้วยตัวเอง
ชุดผ้าไหมสีส้มชุดนี้ เป็นซูเจียวตั้งใจเลือกสีให้เข้ากับเพลงตะวันทอแสงที่กั้วไฉหนี่ว์จะเล่นในงานเฉลิมฉลอง เพียงแค่ปักเลื่อมสีเงินสะท้อนแสง ชุดจะเปลี่ยนลวดลายไปตามแสงเทียนราวกับมีชีวิต โดยเฉพาะชายแขนเสื้อและชายกระโปรง
แผนการของซูเจียวพึ่งเริ่มต้น ยังไม่ทันถึงงานฉลอง แผ่นป้ายของสนมขั้นแปดกั้วไฉหนี่ว์ก็ถูกพลิกเสียแล้ว
ตอนที่ขันทีมาแจ้ง สนมกั้วแทบจะเป็นลมล้มพับ เพราะนางเข้าวังมาสองปี ได้ปรนนิบัติฝ่าบาทแค่ครั้งเดียว จากนั้นกระทั่งพระพักตร์ยังยากที่จะได้เห็น แล้วการที่จู่ๆ ฝ่าบาทจะทรงเสด็จมา หากกั้วไฉหนี่ว์ไม่ตกใจก็แปลกแล้ว
หลังจากขันทีที่มาแจ้งกลับไป ตำหนักสนมขั้นแปดก็วุ่นวายไปหมด สองสนมตำแหน่งไฉหนี่ว์ พากันนั่งไม่ติด เฉียนไฉหนี่ว์แม้จะรู้ว่าฝ่าบาทไม่ได้พลิกป้ายของตนเอง แต่ก็ยังอดที่จะหวังไม่ได้
ไม่เพียงแค่ตำหนักของกั้วไฉหนี่ว์เท่านั้นที่วุ่นวาย สนมชายาอีกหลายตำหนักเวลานี้ก็วุ่นวายใจไม่แพ้กัน เพราะคืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง เป็นคืนที่ฮ่องเต้ทรงไม่เคยเสด็จตำหนักใด แม้แต่ตำหนักของฮองเฮา
ทั้งตำหนักหรือจะเรียกว่าทั้งวัง มีเพียงซูเจียวเท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว เพราะขังตัวอยู่ในห้องปักผ้า
เมื่อแสงสว่างของดวงอาทิตย์เริ่มหายไปจากท้องฟ้า กั้วไฉหนี่ว์ก็มายืนรอรับเสด็จอยู่หน้าตำหนัก ไม่นานขบวนเสด็จก็มาถึง
"ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท"
"ลุกขึ้นเถิด"
ร่างสูงในชุดลำลองสีขาวสาวเท้าเข้าตำหนักพร้อมขบวนขันที โดยไม่แม้แต่จะเหลือบมองสนมที่พระองค์ทรงพลิกป้าย พระพักตร์หล่อเหลาแลดูเย็นชา
กั้วอิงฮวาใจเต้นไม่เป็นส่ำ แข้งขาแทบอ่อนแรง ก้าวตามหลังขบวนไปเงียบๆ
ตำหนักสนมขั้นแปดนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งตะวันออกเป็นที่พำนักของกั้วไฉหนี่ว์ ส่วนฝั่งทางเหนือเป็นของเฉียนไฉหนี่ว์ ซึ่งค่อนข้างเหลือเชื่อที่ตี้จงฮ่องเต้ทรงก้าวไปถูกทิศโดยไม่ต้องให้กั้วอิงฮวานำทาง
กั้วไฉหนี่ว์มองพิณที่มือขันทีในขบวนอย่างฉงน นางเป็นผู้เล่นพิณย่อมรู้ถึงความล้ำค่าของมันเป็นอย่างดี
ในห้องโถงกลางตี้จงฮ่องเต้ทรงประทับลงบนตั่งด้วยพระพักตร์นิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ พรมม่านเมฆสีขาวถูกปูเบื้องหน้าพระพักตร์ห่างจากตั่งไปไม่ไกลพร้อมโต๊ะเตี้ยสำหรับวางพิณ
"ไฉหนี่ว์ ฝ่าบาททรงต้องการพบผู้ที่สอนท่านเล่นพิณ" วาจาของฟ่านกงกงขันทีคนสนิท ทำให้กั้วอิงฮวาตกตะลึงพรึงเพริด "กั้วไฉหนี่ว์?" เมื่อถูกกงกงเรียกซ้ำถึงได้สติกลับมา รีบหันไปส่งสัญญาณให้สาวใช้
เรือนพักด้านหลัง ร่างบอบบางในชุดกระโปรงตัวในสีขาว เส้นผมปล่อยยาวสยาย ยืนกอดอกพิงกรอบหน้าต่างมองดวงจันทร์ด้วยแววตาดำมืด
ความเคียดแค้นในใจซูเจียวร้อนระอุจนแทบทะลุออกจากอก เทียนหวาย หลิวเผิงคุน พวกเจ้าสมควรต้องชดใช้ให้ข้า!
