ตอนที่ 1 ช่างตัดเย็บ
หลังจากจัดการกับโรคระบาดเมื่อปีที่แล้ว ราชบุตรเขยหลิวก็ได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้นสาม และยังนับว่าเป็นราชบุตรเขยเพียงคนเดียวที่ยังทำงานในราชสำนัก เพราะส่วนมาก บุรุษที่กลายเป็นเขยราชวงศ์มักมีเพียงตำแหน่งลอย
ชื่อเสียงและคุณงามความดีของหลิวเผิงคุนกลายเป็นที่โจษจันมาจนถึงทุกวันนี้ ซ้ำยังเป็นน้องเขยที่ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก
เมืองหลวง ร้านผ้าสกุลจ้าน "อาเจียว! อาเจียว!" สตรีร่างท้วมวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพื้นที่ด้านหลัง ปากก็ตะโกนเรียกชื่อใครบางคนไม่หยุด "แฮ่กๆ อาเจียว"
"ใจเย็นเจ้าค่ะเถ้าแก่เนี้ย"
"เย็นไม่ได้แล้ว! แฮ่กๆ เร็วเข้า ตามข้ามาเร็ว!" แขนบอบบางถูกลากให้วิ่งตามไปหน้าร้านด้วยความรีบร้อน
ด้วยความที่ใกล้ครบรอบวันคล้ายวันประสูติของตี้จงฮ่องเต้ ในเมืองหลวงจึงค่อนข้างคึกคัก ไม่เว้นแม้กระทั่งในวัง จนคนของโรงตัดเย็บและโรงปักผ้าหลวงมีไม่พอใช้
เพราะงานนี้กระทั่งสนมชั้นล่างยังได้เข้าร่วม จึงทำให้ความต้องการชุดที่สวยงามมีมากกว่างานไหนๆ ไม่ว่าผู้ใดก็อยากเป็นจุดเด่นในงาน ไม่เว้นแม้แต่คุณหนูมีชาติตระกูล
เมื่อไม่อาจใช้ช่างในโรงผ้าหลวง บรรดาเหล่าสนมจึงต้องส่งขันทีออกมาตามหาคนที่พอมีฝีมือเข้าไปตัดชุดให้ในวัง
อีกไม่ถึงเดือน ตี้จงฮ่องเต้ก็จะทรงมีพระชนมายุครบยี่สิบแปด ซึ่งถือว่าเป็นฮ่องเต้ที่ยังหนุ่ม มิหนำซ้ำพระองค์ยังทรงมีรูปร่างสง่างาม พระพักตร์หล่อเหลา จึงไม่น่าแปลกใจที่เหล่าสนมนางในต่างพากันใฝ่ฝันอยากจะได้ปรนนิบัติ
สงครามแย่งชิงช่างตัดเย็บในเมืองหลวงเป็นไปอย่างดุเดือด ผู้ใดมีตำแหน่งสูงกว่าก็ได้ไป ทำให้สนมขั้นต่ำต้องจำใจเลือกช่างที่ไร้ชื่อเสียง อย่างช่างของร้านสกุลจ้าน
"มาแล้วเจ้าค่ะๆ นี่เป็นช่างฝีมือดีที่สุดของร้านเรา" เถ้าแก่เนี้ยรีบดันร่างของหญิงสาวด้านหลังให้มายืนเบื้องหน้าแขกด้วยความกระตือรือร้น แม้ใบหน้าจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ หายใจหอบเหนื่อย แต่นางก็ยังฉีกยิ้มหวาน "นางมีนามว่าซูเจียวเจ้าค่ะ เป็นหญิงหม้าย"
บุรุษรูปร่างผอมบางในชุดขันทีนิ่วหน้ามองสำรวจหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ "ไม่มีที่ดีกว่านี้แล้วหรือ? ดูสภาพแล้ว นางคงเป็นหญิงชั้นต่ำ ใครจะกล้าพาเข้าไปตัดชุดสนมในวัง"
เสียงเล็กแหลมเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า ทำให้เถ้าแก่เนี้ยถึงกับหน้าเสีย รีบอธิบายเสียงกระท่อนกระแท่น "เอ่อ ระ..ร้านเราเป็นร้านเล็กๆ มะ..มีช่างแค่คนเดียวเจ้าค่ะ"
"เฮอะ! เสียเวลาจริงๆ" ชายร่างเล็กแค่นเสียงใส่ กำลังจะหันหลังก้าวออกจากร้าน
"ไม่เพียงร้านนี้เท่านั้นที่เหลือช่างเพียงคนเดียว แต่ทั้งเมืองหลวงและเมืองข้างเคียงเวลานี้ก็เหลือข้าเพียงคนเดียวแล้ว"
แต่วาจาเย่อหยิ่งของหญิงสาวอีกคน ทำให้อีกฝ่ายต้องหันกลับมาตวาดเสียงดัง
"ยโส! ยโสเกินไปแล้ว! เจ้ามันแค่หญิงม่ายชั้นต่ำ กล้าดีอย่างไรถึงได้พูดกับข้าเช่นนี้!"
"ข้าพูดความจริง ท่านเองย่อมรู้เรื่องนี้ดี และหากให้เดา อีกไม่ถึงหนึ่งเค่อ ร้านเล็กๆ แห่งนี้ คงได้ต้อนรับคนในวังเช่นท่านอีกนับไม่ถ้วน"
ชายร่างเล็กโกรธจนตัวสั่น อยากจะเถียงก็เถียงไม่ออก ทำได้เพียงสะบัดชายแขนเสื้อสาวเท้าจากไปด้วยความโมโห
"อะ..อาเจียว เจ้าทำเช่นนี้ จะไม่มีปัญหาตามมาหรือ?"
"ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ อีกไม่นานที่ร้านต้องมีแขกมาอีกแน่"
ซูเจียวไม่คิดจะกลับเข้าไปหลังร้านนั่งรออยู่หน้าร้านอย่างใจเย็น แล้วก็เป็นอย่างที่นางคาด ไม่ถึงครึ่งเค่อร้านผ้าสกุลจ้านก็มีแขกมาเยือน
วังหลวง
หลายตำหนักเริ่มมีช่างตัดเย็บเข้ามาอยู่ประจำ โดยเฉพาะสนมชั้นล่างตั้งแต่ขั้นห้าลงไป ซูเจียวเองก็ได้เข้ามาพักในตำหนักของสนมขั้นแปดกั้วไฉหนี่ว์พร้อมกับลูกมืออีกสองคน
พวกนางมีเวลาเพียงเดือนเดียวที่จะตัดชุดของกั้วไฉหนี่ว์สนมขั้นแปดผู้นี้ออกมาให้สวยงาม แต่นั่นนับเป็นเรื่องง่ายดายสำหรับซูเจียว เพราะความจริงนางยังมีจุดประสงค์อื่นที่เข้ามาอยู่ในวัง
กั้วไฉหนี่ว์นั่งมองหญิงสาวหน้าตาธรรมดาที่ยืนเบื้องหน้า ก่อนจะซักประวัติอย่างจริงจัง "เจ้าอายุเท่าไหร่?"
"ยี่สิบเอ็ดเจ้าค่ะ"
"เหตุใดถึงเป็นหม้าย"
"สามีเสียชีวิตเจ้าค่ะ"
พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นหม้ายสามีตาย หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของไฉหนี่ว์ก็คลายลง เพราะหญิงหม้ายผัวหย่าในสมัยนี้มักเป็นที่รังเกียจของผู้คน
"ข้าหวังว่าเจ้าจะทำงานให้เต็มที่ ขอเพียงแค่ตัดชุดของข้าออกมาให้โดดเด่น ข้าจะตบรางวัลอย่างงาม เข้าใจหรือไม่"
"เข้าใจ เจ้าค่ะ"
ซูเจียวยืนก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยม เมื่อถูกถามคำก็ตอบคำไม่พูดมากเกินจำเป็น ซึ่งผิดกับช่างตัดเย็บต่ำต้อยทั่วไป เพราะหากเป็นผู้อื่นที่ได้เข้าวังมายืนเบื้องหน้าสนมของฮ่องเต้คงมีวาจาประจบประแจงมากมายไปแล้ว
เมื่อกลับเข้ามายังห้องพัก ซูเจียวพร้อมผู้ช่วยก็เริ่มลงมือทำงานทันที ต่อให้ไฉหนี่ว์ไม่สั่ง งานนี้นางก็ต้องปั้นกั้วไฉหนี่ว์ผู้นี้ให้ขึ้นไปนั่งตำแหน่งสนมขั้นสูงให้ได้อยู่ดี
เมื่อก่อนนางจำต้องเก็บงำความสามารถเอาไว้ ก็เพื่อเป็นการไว้หน้าสามี กระทั่งซูซานหย่งตายจากไป นางก็ยังไม่กล้าที่จะให้ใครรู้แม้กระทั่งพ่อและแม่สามี
แต่เวลานี้นางไม่เหลืออะไรแล้ว ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ก็เพื่อทวงความเป็นธรรมให้บุตรชายและสองผู้เฒ่า รวมถึงหลายพันชีวิตที่ตกตายในกองไฟ
ตำหนักฮองเฮา
"ทูลฮองเฮา เวลานี้บรรดาช่างตัดเย็บในเมืองหลวงและเมืองข้างเคียงพากันถูกจองตัวเอาไว้หมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ"
หวู่ฮองเฮาเพียงโบกมือเบาๆ ให้ขันทีที่มารายงานล่าถอยออกไป ก่อนจะรับสั่งกับนางกำนัลคนสนิทด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา "เกรงว่างานวันคล้ายวันประสูติของฝ่าบาท คงจะกลายเป็นงานประชันความงามแล้ว"
"อย่าได้ทรงวิตกไปเลยเพคะ หม่อมชั้นเชื่อว่างานนี้ไม่มีผู้ใดโดดเด่นกว่าพระองค์ไปได้แน่"
"ป่านนี้แล้ว เจ้าก็ยังช่างประจบประแจงไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ อายุของข้าเพิ่มขึ้นทุกวัน ไหนเลยจะสู้เด็กสาวแรกรุ่นได้"
"หม่อมฉันพูดจริงนะเพคะ ฮองเฮายังทรงงดงามกว่าเด็กสาวเหล่านั้นเป็นไหนๆ "
"หึหึ เอาเถิดๆ ถึงอย่างไรข้าก็ชอบคำประจบของเจ้าอยู่ดี"
ใบหน้างามเผยรอยยิ้มเอ็นดู เหยียดกายพิงหมอนอิง "ข้าจะพักผ่อนเสียหน่อย แล้วค่อยไปดูองค์ชาย หากไม่จำเป็นก็อย่าให้ใครเข้ามารบกวน"
"เพคะ"
หวู่ฮองเฮาซินหลิว อดีตสาวงามอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ถึงแม้ปีนี้จะอายุยี่สิบห้าแล้วแต่ความงดงามกลับไม่เคยลดน้อยลงเลย
อีกทั้งยังทรงให้กำเนิดพระโอรสที่ฉลาดเฉลียวคล้ายตี้จงฮ่องเต้ จึงทำให้ไม่มีสนมชายาคนใดแย่งความโปรดปรานจากนางไปได้ เรียกว่าภายในทุกๆ เดือน ฮ่องเต้จะต้องทรงเสด็จมาค้างที่ตำหนักฮองเฮาถึงเจ็ดวัน นั่นนับว่ามากกว่าตำหนักใด
ไม่เพียงแค่สตรีในวังเท่านั้นที่กำลังชิงดีชิงเด่นกัน กระทั่งในจวนราชบุตรเขยที่อยู่นอกวังก็ไม่น้อยหน้า
"ท่านพี่ ท่านว่าข้าควรเลือกผ้าพับไหนดี? "
หลิวเผิงคุนละสายตาจากตำราในมือ มองไปยังผ้าสองพับในมือของหญิงสาวเบื้องหน้า "สีม่วง"
"ท่านใจตรงกับข้าเลย"
องค์หญิงสิบหกยิ้มหวานให้สามี ก่อนจะนำผ้าพับสีม่วงส่งให้สาวใช้ ถึงแม้จะแต่งงานออกมาแล้ว แต่จะอย่างไรนางก็เป็นถึงพระขนิษฐาของฮ่องเต้ ไหนเลยจะยอมขายหน้า
บนเตียงกว้างในยามค่ำคืน ภายในห้องนอนราชบุตรเขย เสียงหายใจหอบแรงขององค์หญิงสิบหกค่อยๆ ผ่อนลงช้าๆ จนกลายเป็นสม่ำเสมอ ทิ้งสามีที่นอนข้างกายให้ค้างคา จนหลิวเผิงคุนต้องถอนหายใจออกมาอย่างแรง
ฝ่ามือลูบไล้ส่วนที่พองตัวแต่ไม่ได้รับการปลดปล่อยของตัวเองด้วยความหงุดหงิด
"เข้ามา!"
ประตูห้องนอนถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างของสตรีในชุดสาวใช้ขั้นสูง
เดิมทีสาวใช้คนสนิทขององค์หญิงต้องเข้ามาช่วยทำความสะอาดร่างกายให้ผู้เป็นนายหลังจากทั้งสองเสร็จกิจทุกครั้งอยู่แล้ว เพราะองค์หญิงสิบหกเป็นคนรักสะอาด
แต่สองปีมานี่ สาวใช้ผู้นี้ไม่เพียงเข้ามาช่วยทำความสะอาดให้นายหญิง ยังช่วยปลดเปลื้องความต้องการให้กับราชบุตรเขยไปพร้อมกันด้วย
ด้วยความที่องค์หญิงหวาเซียนไม่นิยมชมชอบเรื่องบนเตียง และนางมักจะบ่นว่าเจ็บอยู่เสมอ นอกจากไม่ค่อยยอมให้สามีแตะต้องแล้ว ยามที่ได้ทำกัน นางก็มักเสร็จสมไปก่อนทุกที ทิ้งให้สามีค้างคาโดยไม่สนใจ
เรื่องนี้ทำให้บุรุษวัยยี่สิบห้าที่กำลังมีความต้องการสูงอย่างหลิวเผิงคุนต้องอดทนอดกลั้นมาตลอด จะมีอนุหรือสาวใช้อุ่นเตียงก็มีไม่ได้
ในที่สุดเมื่อสองปีก่อนความอดทนของราชบุตรเขยก็หมดลง เดิมทีความหล่อเหลาของอดีตจอหงวนอันดับหนึ่งก็ถือว่าเป็นรองเพียงฮ่องเต้อยู่แล้ว หากไม่กลัวความร้ายกาจขององค์หญิง ป่านนี้คงมีสตรียอมพลีกายเข้ามาเป็นอนุมากมายจนนับไม่ถ้วน
"จัดการให้ข้าที!"
ชุดสาวใช้ถูกถอดออกอย่างรวดเร็ว ร่างเปลือยเปล่าปีนขึ้นเตียงไปนั่งอยู่ปลายเท้า ก่อนจะใช้ปากอมความเป็นชายที่กำลังพองตัวของราชบุตรเขยอย่างชำนาญ โดยไม่สนใจผู้เป็นนายที่นอนอยู่ด้านข้าง
เสียงจ๊วบจ๊าบดังขึ้นเบาๆ ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาฉายความพึงพอใจออกมา
ตั้งแต่ที่แอบมีอะไรกับสาวใช้ในคืนนั้น หลิวเผิงคุนก็เริ่มวางยานอนหลับภรรยา และพาสาวใช้ขึ้นมาเริงสวาทบนเตียงทั้งที่ภรรยายังนอนเปลือยกายอยู่ด้านข้าง จึงทำให้ไม่มีผู้ใดสงสัย ไม่ว่าเสียงครางหรือเสียงหยาบโลนจะดังแค่ไหนก็ตาม
"โอ้ว.... ดี.. อมเข้าไปลึกอีก" ชายหนุ่มเกร็งบั้นท้ายกระแทกท่อนเอ็นที่กำลังพองตัวเต็มที่เข้าไปในโพรงปากร้อนระอุ พร้อมกับกดศีรษะของนางเอาไว้
"อ๊อก ๆ"
"ระวังฟัน อ่า"
ท่อนลำแข็งชันถูกชักเข้าชักออกในปากอยู่พักใหญ่ จนเผิงคุนทนไม่ไหวรั้งร่างของสาวใช้ขึ้นมานั่งคร่อม
ร่างบอบบางนั่งยองๆ สองขาแหกกว้างจับท่อนลำตั้งโด่จ่อเข้าที่ปากรู ก่อนจะค่อยๆ นั่งลงอย่างช้าๆ จนท่อนเอ็นอุ่นผลุบหายเข้าไปในร่างจนหมด ถึงได้เริ่มขย่มเบาๆ
"ซี๊ด.. อ่า..."
ไม่นานก็เริ่มแรงขึ้น เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังลั่นห้อง ลมหายใจของทั้งคู่ถี่กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ ลีลาบนเตียงของสาวใช้นับว่าค่อนข้างดี แม้ไม่อาจทำให้หลิวเผิงคุนหลงใหลแต่ก็ยังได้ปลดปล่อยเต็มที่
ผ่านไปเกือบค่อนคืน ราชบุตรเขยถึงได้รู้สึกสบายตัว
ในอ่างอาบน้ำ ร่างแกร่งหลับตาพิงขอบอ่างราวกับหลับใหลในหัวมีแต่ภาพเปลวไฟและเสียงกรีดร้อง
ถึงแม้ผู้คนจะพากันยกย่องชื่นชม แต่หลิวเผิงคุนกลับไม่ได้รู้สึกยินดีกับมันเลยสักนิด ตั้งแต่กลับมาจากทางเหนือ อดีตจอหงวนอันดับหนึ่งที่เคยพูดจายิ้มแย้มก็กลายเป็นคนเงียบขรึม ความรู้สึกผิดเกาะกุมเข้าไปถึงจิตวิญญาณ
หนึ่งปีที่ผ่านมา ไม่มีคืนไหนเลยที่หลิวเผิงคุนจะไม่นอนฝันร้าย ภาพผู้คนที่ดิ้นรนในกองเพลิงยังคอยตามหลอกหลอนเขาอยู่ตลอดเวลา
