บทที่ 6 อาวุธประจำตัว
‘นายท่าน…’
ใคร?
‘นายท่าน…’
ใครเรียกข้า?
‘ข้าเอง ว่านอวี่’
ว่านอวี่?
‘ใช่นายท่าน ว่านอวี่ตามนายท่านมาด้วย ดีใจหรือไม่?’
ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าอย่าตามมา หรือเจ้าเป็นห่วงข้า?
‘แหะๆ ข้าอยากมาเที่ยวในโลกมนุษย์บ้างไม่ได้หรือ?’
...เจ้าอยากถูกข้าถอนขนอีกสักรอบหรือไม่?
‘อุ๊ย มิกล้า มิกล้า ข้าเพียงแต่เป็นห่วงนายท่านเหลือเกิน…’
เหตุใดเจ้าจึงติดต่อข้าได้ ร่างกายนี้มิได้มีพลังเพียงพอจะใช้งานเจ้าอีกต่อไปแล้วมิใช่หรือ?
‘อย่าลืมสิขอรับ เราทั้งสองมีการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณระหว่างกัน พลังเทพเพียงน้อยนิดที่เหลืออยู่ก็พอสำหรับใช้งานว่านอวี่ได้แล้ว’
เช่นนั้นก็พาข้าเข้าไป
‘ขอรับ’
เมื่อได้สติอีกครั้งเฟิ่งโม่ซินก็ตกอยู่ในพื้นที่ที่แสนคุ้นเคยอย่างรวดเร็ว
ณ สถานที่อันเงียบสงบ หมอกสีขาวลอยต่ำอยู่โดยรอบ กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพรรณลอยอวลอยู่ที่ปลายนาสิก เบื้องหลังเมฆหมอกสีขาวก็คือเรือนหลังเล็กที่ปลูกอยู่ริมลำธารใส ขณะที่เบื้องหลังเรือนคือต้นอู๋ถงขนาดใหญ่ซึ่งมีใบสีทองแผ่กิ่งก้านสาขาจนเกิดร่มเงาหนาทึบ
ทว่านอกเหนือจากสิ่งที่มองเห็น ส่วนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นเพียงภาพเงาอันรางเลือน
ทันใดนั้นขนนกสีทองก็ลอยละลิ่วมาจากในบ้าน เฟิ่งโม่ซินคว้ามันอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาขนนกสีทองก็พลันดีดดิ้นอย่างน่าเวทนา
“นายท่านปล่อยว่านอวี่!”
คิ้วเรียวขมวดมุ่น มองขนนกในมือที่พยายามดิ้นรนจนนางปล่อยมือด้วยความคำคาญ
ทันใดนั้นขนนกสีทองก็พลันกลายเป็นเด็กน้อยสวมเอี๊ยมสีแดงอายุราวสองขวบ เขามัดแกละขนาดเล็กบนศีรษะและผูกด้วยเชือกสีแดง ดวงตากลมโตราวกับลูกองุ่นมีสีทองจางๆ ริมฝีปากและจมูกจิ้มลิ้มน่ารักดูราวกับตุ๊กตากระเบื้อง เค้าโครงหน้าของเด็กชายดูคล้ายกับเฟิ่งโม่ซินราวสามส่วน ก่อนจะวิ่งถลาเข้ามากอดขาเธอแล้วแสร้งทำเป็นน่ารัก
“นายท่าน”
มุมปากของเฟิ่งโม่ซินกระตุก ใบหน้าอ่อนเยาว์ก้มมองเด็กทารกที่ถูกใบหน้าเข้ากับชายเสื้อของเธออย่างอับจนปัญญา
“เหตุใดจึงดื้อรั้น” เธอถามเสียงเย็น ว่านอวี่ซึ่งแสร้งทำเป็นน่ารักตัวสั่นเล็กน้อยแล้วช้อนสายตามองเธอ ท่าทางราวกับต้องการตัดพ้อต่อว่าเธอเล็กน้อย
“นายท่านทิ้งว่านอวี่ไว้ที่นั่นไม่ได้ ว่านอวี่ไม่อยากอยู่อย่างโดดเดี่ยว”
เฟิ่งโม่ซินเดินไปที่โต๊ะหินหน้าบ้าน นั่งลงแล้วมองว่านอวี่ด้วยสายตาคาดคั้นระคนสงสัย “ว่านหลินไปไหน?”
ว่านหลินเป็นวิญญาณอาวุธของหรงชิง รูปร่างของมันคือกระบี่ที่สร้างขึ้นจากเกล็ดมังกรของเขา ทว่าในยามปกติหากไม่มีเรื่องราวอันใด หรงชิงจะไม่นำมันออกมาใช้และมอบให้โม่ซินเป็นคนดูแล สาเหตุเนื่องจากอาวุธประจำกายทั้งสองล้วนแต่มีอานุภาพทำลายฟ้าสะเทือนดิน ส่วนใหญ่พวกเขาจึงไม่มีอะไรให้ทำนอกจากเล่นด้วยกัน
โม่ซินเก็บมันไว้ในตำหนักของตนและปล่อยให้พวกเขาวิ่งเล่นกันอย่างอิสระ ก่อนจากมายังกำชับกับว่านอวี่ว่าให้เฝ้าตำหนักให้ดี ใครจะคาดคิดว่านอกจากพวกเขาจะไม่เฝ้าตำหนักแล้ว ยังปรากฏตัวในโลกมนุษย์อีกด้วย
ทันใดนั้นว่านอวี่ก็เบะปาก ดวงตากลายเป็นแดงระเรื่อก่อนจะพูดกับเธอว่า “เขาจากมาก่อนข้าด้วยซ้ำ ว่านหลินพบว่ามีบางอย่างผิดปกติกับดวงจิตของหรงชิงตี้จุน เขาจึงหนีออกมาจากตำหนักของท่าน แล้วตอนนี้ข้าเองก็ไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่ไหน”
หายไป?
เฟิ่งโม่ซินเม้มริมฝีปากแน่น คิดถึงเซียวลู่หรงที่เกือบตายแล้วมีความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่าง อายุของเขาเกินสิบแปดปีแล้ว ทว่าจิตเทพไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้น แต่กลับตอบสนองต่อจิตเทพของเธอจนเกือบจะกลืนกินพลังทั้งหมดไปอย่างตะกละตะกลาม
ทว่าเธอไม่สามารถสัมผัสได้ถึงว่านหลินจากร่างกายนั้นเลย
“เจ้าตื่นตั้งแต่เมื่อไร” เฟิ่งโม่ซินถาม ความทรงจำก่อนอายุสิบแปดปีของเธอ ไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของว่านอวี่เสียด้วยซ้ำ
“ข้าตื่นตอนที่นายท่านตื่น ตะ...แต่ว่า ตอนที่นายท่านกัดปากกับท่านหรงชิง...”
“...” หน้าของเฟิ่งโม่ซินกลายเป็นสีดำทะมึน เธอหรี่ตาลงอย่างอันตราย “เจ้าต้องการจะพูดอะไร”
ว่านอวี่เม้มริมฝีปาก ช้อนสายตามองเธอก่อนจะตอบอ้อมแอ้มว่า “ข้าสัมผัสถึงว่านหลินไม่ได้เลย”
เรื่องนี้ไม่ได้นอกเหนือความคาดหมายของเฟิ่งโม่ซินนัก เธอเท้าคางเหม่อมองไปยังหมอกขาวที่ปกคลุมรอบพื้นที่ในอาวุธของตนอย่างครุ่นคิด
ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในตอนที่เธอและเขาจุติลงมา แต่กลับไม่มีใครสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ กระทั่งว่าแม้แต่เซียนบนโลกก็ยังไม่รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างนี้
เธอไม่รู้ว่าไป๋มิ่งจะสัมผัสได้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหรือไม่ แต่สิ่งที่คิดไว้ในใจก็ยังคงเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น
คล้ายกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังชักใยอยู่เบื้องหลัง โลกมนุษย์นี้คล้ายจะซับซ้อนกว่าที่คิด
“เอาล่ะ เรื่องพวกนี้ค่อยว่ากัน” เฟิ่งโม่ซินลุกขึ้นยืน เตรียมท่าจะเดินไปที่สระข้างกระท่อม เธอเงยหน้ามองต้นอู๋ถงสีทองที่ยืนนิ่ง นัยน์ตาปรากฏร่องรอยของความคิดคำนึงจางๆ
เวลาผ่านมานานมากแล้ว อู๋ถงทองต้นสุดท้ายอยู่ยังคงหยั่งรากลึกในโลกแห่งอาวุธของว่านอวี่อย่างสงบสุข
“นายท่านจะไปไหน” ว่านอวี่ถามเสียงอ่อย วิ่งตามมาด้วยขาสั้นป้อมอย่างน่าสงสาร
“ข้าจะแช่น้ำ” เธอมองใบหน้าหม่นหมองของว่านอวี่ด้วยความรู้สึกพูดไม่ออก “ร่างกายนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกินไป อีกทั้งยังมีสารพิษบางอย่างตกค้างในร่างกาย มีเพียงน้ำทิพย์ในสระของเจ้าเท่านั้นที่ช่วยชำระล้างมันได้”
ทันใดนั้นใบหน้าของว่านอวี่ก็กลายเป็นสดใส เขายิ้มเขินอาย “ถ้าอย่างนั้นว่านอวี่จะรอนายท่านอย่างเชื่อฟัง”
“หึ...” เฟิ่งโม่ซินไม่พูดอะไร เธอเดินไปที่ริมสระแล้วเริ่มถอดชุดนอน ผิวกายที่เปลือยเปล่ามีสีขาวซีดจากการเสียเลือด บางส่วนมีร่องรอยฟกช้ำที่เริ่มหาย บางส่วนเป็นร่องรอยของการถูกของมีคมบาด ทว่าบาดแผลและรอยฟกช้ำทั้งหมดนั้นไม่สาหัสถึงแก่ชีวิต
สิ่งนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับยาเม็ดที่นักพรตเสวียนคงมอบให้
ร่างบอบบางลงไปแช่ในสระน้ำใส ผิวกายที่มีร่องรอยของอาการบาดเจ็บถูกฤทธิ์ของน้ำทิพย์ในสระกัดกร่อนอย่างรุนแรง ใบหน้าของเธอกลายเป็นขาวซีด ริมฝีปากบางเม้มแน่นเพื่อข่มกลั้นความเจ็บปวด ร่างกายของมนุษย์นั้นอ่อนแอกว่าร่างกายของเทพมาก ความเจ็บปวดเพียงเท่านี้ก็ทำให้เธอเกือบจะหมดสติ
ทว่าเฟิ่งโม่ซินจะยอมแพ้กับความเจ็บปวดเพียงเท่านี้ได้อย่างไร?
แม้ว่าร่างกายของเธอจะประท้วง แต่พลังใจของเธอจะไม่ยอมให้เธอยอมแพ้
ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งที่ทำให้เฟิ่งโม่ซินกลายเป็นบุคคลชั้นยอดไม่ใช่เพราะฐานะของตระกูลเฟิ่งหรือเพราะเธอเป็นร่างที่เทพจุติลงมาแต่อย่างใด แต่เพราะพื้นฐานจิตใจของเธอไม่เคยยอมแพ้ต่อความยากลำบาก ก่อนหน้านี้เธออาจจะไม่ทันได้ตระหนัก แต่เมื่อจิตเทพตื่นขึ้น สิ่งที่เฟิ่งโม่ซินตระหนักได้นั่นก็คือตระกูลเฟิ่งอาศัยโชคลาภของเธอเพื่อประคองตระกูลเฟิ่งให้เจริญรุ่งเรืองมาสิบกว่าปี
และสาเหตุที่เฟิ่งหานกล้าสังหารเธอ คงเป็นเพราะปรมาจารย์บางคนที่ช่วยเหลือพวกเขาคงบอกว่าวันเกิดปีที่สิบแปดของเธอ เฟิ่งโม่ซินจะสิ้นวาสนากระมัง
หึ...ตระกูลเฟิ่ง
โชคลาภที่ถูกพวกเขาขโมยไป เธอจะต้องทวงคืนอย่างแน่นอน!
