บทที่ 1 หายนะแห่งความตาย 1
ค่ำคืนแห่งฤดูสารท พระจันทร์สีเงินหลบเร้นหลังริ้วเมฆ ลมหนาวหอบผ่านป่ารกร้างข้างทาง หอบเอากลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งแผ่กระจายไปทั่ว
ร่างเล็กซุกตัวอยู่ใต้พงหญ้า พยายามซ่อนลมหายใจให้แนบเนียนที่สุด นัยน์ตาดำสนิทหลุบลงเพื่อซ่อนประกายตื่นตระหนก ลมหายใจของเธอแผ่วหวิว บนร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ หากแต่เธอกลับไม่ได้หลั่งน้ำตาออกมาสักหยด ความเจ็บปวดทำให้เธอเกือบจะหมดสติหลายต่อหลายครั้ง ทว่าเสียงฝีเท้าของชายฉกรรจ์นับสิบทำให้เธอต้องพยายามกัดปลายลิ้นเพื่อเรียกสติตลอดเวลา
พวกมันเดินผ่านไปผ่านมาอย่างหัวเสีย เนื่องจากเป็นสถานที่รกร้างห่างไกล จึงมีเพียงแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาอย่างเย็นเยียบ
หัวใจของเธอเต้นแรงราวกับกลองรบความเคียดแค้นระคนหวาดกลัวทำให้หญิงสาวพยายามฝืนเรียกสติของตนเองอยู่ตลอด ตอนนี้ได้แต่ภาวนาไม่ให้ชายเหล่านั้นเข้ามาใกล้
ติ๊ดๆ
โทรศัพท์มือถือของชายคนหนึ่งดังขึ้น เขากดรับทันทีแล้วเปิดสปีกเกอร์โฟน “ฮัลโหล”
[งานเสร็จหรือยัง?] เสียงเย็นชาของชายปลายสายดังขึ้น
ชายที่รับโทรศัพท์ชะงัก เหยื่อหนีไปได้ ทว่าอีกฝ่ายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาไม่เชื่อว่าเธอจะรอดชีวิต ดังนั้นจึงพูดเอาตัวรอดว่า “ตายแล้วครับ”
[ดี...เงินอีกห้าล้านจะถูกโอนให้ทันที]
“ครับ”
หลังจากวางสายชายคนนั้นก็กวาดสายตามองไปยังจุดที่หญิงสาวซ่อนตัวอยู่ หัวใจของเธอสั่นระรัวด้วยความหวาดกลัว
ติ๊ง!
ชายคนนั้นดูโทรศัพท์มือถือ เมื่อเห็นว่ามีเงินจำนวนห้าล้านถูกโอนเข้ามาก็พ่นลมหายใจพร้อมกับตะโกนเรียกลูกน้อง
“กลับกันเถอะ นายจ้างโอนเงินมาแล้ว”
“เฮ้! ลูกพี่ ผู้หญิงคนนั้นหนีไปได้จะไม่เป็นอะไรเหรอครับ”
ชายคนนั้นจุกบุหรี่อย่างไม่ใส่ใจ ปลายบุหรี่เกิดสีแดงวาบเมื่อเขาสูดลมหายใจเข้าปอด เขาพ่นลมหายใจที่เต็มไปด้วยควันสีเทาออกมา ดวงตาดุดันเต็มไปด้วยความเลือดเย็น “นังนั่นไม่มีทางรอดพ้นคืนนี้ไปได้ กลับกันเถอะ มีเพียงเทพเซียนเท่านั้นที่จะช่วยชีวิตเธอได้”
ถึงอย่างไรพวกเขาก็จะหนีออกจากเมืองเฟิงเฉิงหลังจากคืนนี้ ไม่มีทางกลับมาเพื่อให้นายจ้างถูกสงสัยอีกเป็นอันขาด นี่เป็นข้อปฏิบัติของพวกเขาหลังจากเสร็จงานใหญ่สักชิ้น
“น่าเสียดายที่มันหายตัวไป อดชิมเนื้อนุ่มๆ ของเด็กสาวเลย” ใครคนหนึ่งพูดอย่างหื่นกระหาย เสียงแหบพร่านั้นไม่ต่างอะไรจากปีศาจในนรก
อีกคนแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ คิดสภาพพวกเขานอนกับศพหญิงสาวแล้วรู้สึกขยะแขยง “กลับเถอะ มีอะไรกับศพไม่ใช่เรื่องน่ายินดี”
หัวหน้าใหญ่ไม่ติดใจ พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรแล้วรวมตัวกันเดินกลับไปที่ถนน
เมื่อเห็นว่าเดนนรกเหล่านั้นเดินจากไปแล้ว เฟิ่งโม่ซินก็แทบหมดแรง ร่างกายของเธออ่อนปวกเปียก เลือดจากบาดแผลถูกของมีคมพลันรินไหลไม่หยุด กลิ่นคาวคละคลุ้ง ผสานเข้ากับลมหายใจที่อ่อนระโหย ประสาทสัมผัสที่เคยเฉียบคมค่อยๆ เลอะเลือน
ดวงตากระจ่างใสกลายเป็นหม่นหมอง เธอมองพระจันทร์ที่ลอยเด่นบนท้องฟ้า ดูเหมือนว่าแสงจันทร์ในวันนี้จะมีสีขาวซีดและอ่อนแรงกว่าทุกครั้ง กระแสลมเย็นเยือกทำให้อาการเจ็บปวดจากบาดแผลทั่วร่างกายกลายเป็นชาหนึบ ลมหายใจพลันอ่อนระโหยโรยริน
ทว่าหัวใจกลับร้อนรุ่มไปด้วยไฟแค้น
เฟิ่งอันซี...
โอ้...เฟิ่งหานอีกคน
เสียงจากปลายสายเป็นพ่อบุญธรรมที่แสดงออกว่ารักเธอนักหนา ชายที่เต็มไปด้วยความใจดีและอ่อนโยนได้แสดงด้านมืดของเขาออกมาในคืนนี้
คืนที่เป็นวันเกิดของเธอ
และอาจจะเป็นคืนสุดท้ายของชีวิต
เสียงรถค่อยๆ ห่างออกไป เธอหัวเราะในความมืด น้ำตารินไหลปะปนกับคราบเลือดบนใบหน้า หากแต่หญิงสาวไม่ได้สนใจ แสงจันทร์ค่อยๆ หายไปจากครรลองสายตา ฟ้าดินกลายเป็นสีน้ำหมึก
เธอหลับตาลง มือที่เต็มไปด้วยบาดแผลกำแน่น ในอกเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ
ห่างไกลออกไปราวสิบกิโลเมตร
สุสานส่วนตัวบนเขาสูง ร่างของคนนับสิบคนล้อมรอบโลงศพสีขาวที่ยังไม่ได้ปิดฝาโลง ด้านในคือร่างของคนผู้หนึ่ง ใบหน้าราวหยกสลักสะท้อนกลิ่นอายสูงศักดิ์ภายใต้แสงจันทร์ แพขนตาหนาราวกับพัดสงบนิ่ง สันจมูกโด่งเชิดขึ้น รับกับริมฝีปากสีซีดที่เริ่มหมองคล้ำ
รอบตัวเขาแผ่รัศมีเย็นเยือกราวกับก้อนน้ำแข็งหมื่นปี
ข้างโลงสีขาวเป็นชายวัยกลางคนมีสีหน้ากระวนกระวาย “ท่านนักพรตเสวียนคง ท่านแน่ใจหรือว่าจะหาหญิงสาวมาช่วยนายน้อยได้ทัน”
นักพรตเสวียนคงแต่งตัวเช่นเดียวกับนักพรตเต๋าในสมัยโบราณ เขาเป็นชายชราอายุราวหกสิบปี ใบหน้าใจดีและเต็มไปด้วยความฉลาดเฉลียว ในมือถือแส้นักพรตซึ่งทำด้วยหางม้าสีเงินยวง พาดปลายหางยาวตรงไว้กับแขนข้างหนึ่งอย่างสบายๆ
มือข้างที่ว่างลัดนิ้วคำนวณดวงชะตา ขณะที่สายตากลับจับจ้องที่ดวงดาวทางทิศเหนือ
ทันใดนั้นนัยน์ตาของนักพรตเฒ่าก็เปล่งประกายวาบ พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ไปทางทิศตะวันออก ห่างจากที่นี่สิบกิโลเมตร จำไว้ ต้องรักษาชีวิตของเธอให้ได้”
ชายวัยกลางคนเป็นพ่อบ้านเก่าแก่ของตระกูลเซียว เขามีชื่อว่าเซียวจาง หลังจากได้ยินคำพูดของนักพรตเสวียนคงก็ไม่ถามไถ่อะไรสักคำและหันไปพูดกับชายฉกรรจ์ที่อยู่ใกล้ ๆ “ไปสิ อย่าลืมเตรียมยาฟื้นชีวิตผู้คน!”
“ครับพ่อบ้านเซียว”
“เดี๋ยวก่อน พาเขาไปด้วย” นักพรตเสวียนคงชี้ไปที่ชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ใกล้ๆ ลูกศิษย์ของเขา เสวียนจี
เสวียนจีสวมชุดนักพรตเช่นเดียวกับอาจารย์ ทว่ากลับเต็มไปด้วยความสง่างามที่หาได้ยาก เขายืดตัวขึ้น เดินไปที่รถตู้โดยไม่ต้องให้ออกคำสั่ง
ชายชุดดำราวห้าหกคนรีบเดินตามเสวียนจีไปที่รถตู้ ก่อนจะขับออกไปอย่างรวดเร็ว
นักพรตเสวียนคงดึงสายตากลับมาแล้วมองชายหนุ่มในโลงสีขาว ก่อนจะมองไปยังดวงดาวทิศเหนือด้วยความกังวลเล็กน้อย
เขาไม่สามารถรับรู้ได้ว่าหญิงสาวในคำทำนายจะปรากฏตัวที่ใด ทราบเพียงว่านางและนายน้อยเซียวจะมีเคราะห์ถึงแก่ชีวิตและความตายในคืนเดียวกัน โชคยังดีที่หญิงสาวคนนั้นเป็นผู้สูงศักดิ์มาเกิด ชะตาชีวิตสามารถมองผ่านจากดวงดาวได้เพียงเล็กน้อย ทว่าหลังจากคืนนี้ชะตากรรมของนายน้อยเซียวและหญิงสาวคนนั้นจะเปลี่ยนไป แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไร
เมื่อถึงคราวเคราะห์หนัก หากพวกเขาผ่านมันไปได้ ชะตากรรมจะไม่ถูกผู้อื่นล่วงรู้อีกต่อไป
ดั่งคำพูดโบราณ ชะตาชีวิตของพวกเขาล้วนลิขิตด้วยมือของตนเอง...
