บทที่ 4
“หลิว” นพพลวางมือลงบนบ่าของเบญจาเบาๆ แต่นั่นกลับทำให้เธอสะดุ้ง ก่อนจะรีบเช็ดน้ำตาให้แห้งเธอไม่วันยอมจำนนทั้งๆ ที่ไม่ได้สู้แน่นอน
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใครคะ” แม้จะไม่อยากรู้จักแต่เบญจาก็ไม่มีทางเลือกอื่น อย่างน้อยถ้าได้รู้ชื่อหรือที่อยู่เธอก็จะได้ไปยกเลิกงานแต่งงานบ้าๆ นี่เสีย เธอมั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องไม่ยอมเช่นกัน
นพพลเหมือนจะเดาใจเบญจาออกว่าต้องถามแบบนี้ จึงหยิบแฟ้มที่ในนั้นมีรูปและข้อมูลส่วนตัวของว่าที่เจ้าบ่าวออกมายื่นให้เบญจา ทันทีที่รับมาเธอก็รีบเปิดดูแต่เพราะความรีบร้อนที่มีมากเกินไปจึงทำให้รูปใบหนึ่งหล่นออกมาจากแฟ้ม เบญจาก้มลงไปหยิบรูปใบนั้นขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วเพ่งสายตามองอยู่นาน ก่อนจะวางรูปใบนั้นลงบนโต๊ะหนักๆ อย่างไม่สบอารมณ์แล้วอ่านข้อมูลส่วนตัวของอีกฝ่าย
ชื่อ นามสกุล ชื่อเล่น อายุ เรียนจบจากที่ไหน ชอบหรือไม่ชอบอะไรและที่สำคัญไปกว่านั้นคือที่อยู่ เบญจาจำอย่างหลังได้จนขึ้นใจก่อนจะลุกพรวดขึ้น
“ซันไม่ได้อยู่เมืองไทยหรอกนะ” นพพลเอ่ยขึ้นราวกับเข้ามานั่งอยู่ในความคิดของหลานสาว
“แล้วเขาอยู่ที่ไหนคะ”
“สหรัฐอเมริกา”
“ในแฟ้มนี่มีที่อยู่ของเขาไหม” ขณะถามเบญจาก็ขยับมือที่ยังคงถือแฟ้มข้อมูลของผู้ชายที่ชื่อว่าเดวิส ชื่อที่เธอไม่คุ้นหูและแม้จะเห็นแค่รูปก็ไม่ชอบหน้าได้ในทันที
“อืม อยู่หน้าสุดท้าย”
“โอเค” เบญจาเป่าลมออกปากหนักๆ เพื่อควบคุมอารมณ์ ยุบหนอพองหนอทั้งๆ ที่ใจร้อนรุ่มราวกับเปลวไฟ “เรื่องพวกนี้มันใหญ่มากจริงๆ ค่ะ หลิวอยากขอเวลาคิดทบทวนหน่อยนะคะคุณปู่”
“ได้สิ เดี๋ยวปู่ยื้อเวลาฝ่ายนั้นให้”
“ขอบคุณมากค่ะ” เบญจายกมือไหว้ผู้เป็นปู่ เพราะท่านก็ไม่ได้หักหาญน้ำใจว่าเธอต้องแต่งงานทันทีหรือห้ามปฏิเสธ ยังไงเสียเรื่องนี้มันต้องมีทางออกที่ดีกว่าการแต่งงาน เธอมั่นใจว่าต้องคิดหาหนทางที่ว่าได้แน่นอนแม้ตอนนี้จะยังคงมืดแปดด้านก็ตาม
เบญจาอยากกลับเข้ากรุงเทพฯ เสียตอนนั้น แต่เพราะฝนกำลังตั้งเค้านพพลจึงไม่อนุญาตบวกกับสภาวะทางจิตใจของเธอยังไม่นิ่งพอขับรถทางไกลแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ สุดท้ายเบญจาก็นอนค้างกับปู่โดยคืนนั้นเธอเอาแต่อ่านข้อมูลของเดวิส อ่านจนจำทุกอย่างได้ขึ้นใจรวมถึงรู้สึกผิดกับอังกูร ถ้าชายหนุ่มรู้เรื่องนี้เขาจะมีปฏิกิริยายังไงและอีกคนคือแสงจันทร์ที่ตอนนี้ยังติดต่อไม่ได้อีก
เพราะไม่มีคนให้ระบายตอนนี้เบญจาจึงเหมือนคนบ้า อารมณ์ของหญิงสาวไม่นิ่งเพราะมันขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา ก่อนจะสะดุ้งเมื่อจู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น พอเห็นชื่อที่โชว์บนหน้าจอเบญจาก็รีบปรับอารมณ์แล้วจากนั้นก็กดรับสาย
“ค่ะคุณหนึ่ง”
“นอนหรือยังครับ” เสียงทุ้มอบอุ่นเอ่ยถามขึ้น เบญจาไปวังน้ำเขียวไม่ครบวันแต่เขากลับเอาแต่คิดถึงเธอ
“ยังค่ะ”
“คุณหลิวกลับพรุ่งนี้ใช่ไหม”
“ค่ะ”
“ถึงกรุงเทพฯ ประมาณกี่โมงครับ” น้ำเสียงที่ยังคงฟังดูอบอุ่นเอ่ยถาม อันที่จริงเขาอยากขับรถให้เธอแต่ไม่กล้าเอ่ยปากบอกความต้องการออกไป
“น่าจะบ่ายๆ ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” เบญจาเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย เพราะอังกูรเกริ่นมาแบบนี้ต้องมีอะไรแน่
“ผมอยากพาคุณหลิวไปทานมื้อเย็นกับที่บ้านนะครับ”
“พรุ่งนี้เลยหรือคะ” น้ำเสียงของเบญจานั้นแฝงความตกใจและตื่นเต้นอยู่มาก มากจนทำให้ลืมเรื่องสำคัญอีกเรื่องเสียสนิท
“ใช่ครับ แต่ถ้าคุณหลิวไม่สะดวก”
“สะดวกค่ะหลิวสะดวก” เบญจาแย้งขึ้นเพราะเธอไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธคำเชิญของอังกูร ถ้าเขาพาไปพบครอบครัวแบบนี้ก็แสดงว่าชายหนุ่มจริงจังกับเธอมาก ฉะนั้นเธอก็ต้องไม่ทำให้เขาผิดหวัง
“ขอบคุณมากครับ แล้วคุณปู่คุณหลิวเป็นยังไงบ้าง”
“สบายดีค่ะ ท่านคงคิดถึงเลยให้หลิวมาหา ไม่มีอะไร” ต่อให้จะมีแถมเรื่องใหญ่มากอีกด้วยทว่าเวลานี้เบญจาไม่พร้อมจะเล่าให้ชายหนุ่มฟังจริงๆ
“อย่างนั้นเหรอครับ”
“ไว้เราหาเวลามาเยี่ยมท่านด้วยกันไหมคะ”
“ครับ” อังกูรเอ่ยรับแทบจะทันที แม้จะพึ่งคบหากับเบญจาแต่เขาจริงจังกับความรักในครั้งนี้มาก มากถึงขนาดวางแผนขอเธอแต่งงานไว้แล้ว เพราะถ้าไม่คิดจริงจังเขาคงไม่พกแหวนแต่งงานติดตัวตลอดแบบนี้แน่
เบญจาและอังกูรคุยกันอยู่นานก่อนที่ทั้งคู่จะวางสาย ความรักของชายหนุ่มทำให้เบญจาฮึดสู้เพื่อทวงอิสระภาพของตัวเองคืนมา ยังไงงานแต่งงานนั่นเธอก็จะต้องล่มมันให้สำเร็จ
หลังกินมื้อเช้าเสร็จ เบญจาก็ล่ำลานพพลจากนั้นจึงขับรถกลับเข้ากรุงเทพฯ โดยหลังรถยังมีสารพัดของฝากที่ผู้เป็นปู่ตระเตรียมไว้ให้และที่ขาดไม่ได้คือแฟ้มข้อมูลส่วนตัวของเดวิส คู่หมั้นคู่หมายที่เธอเกลียดตั้งแต่ยังไม่เจอตัวจริงด้วยซ้ำ
เบญจาอยากร้องไห้แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเก็บน้ำตาไว้และเพราะมีเรื่องให้ครุ่นคิดขณะขับรถ มารู้ตัวอีกทีเธอก็เดินทางถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพเสียแล้ว ทันทีที่กลับถึงบ้านเธอก็สลัดเรื่องอื่นๆ ทิ้งแล้วเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับนัดสำคัญที่จะเกิดขึ้นเย็นนี้
“ชุดไหนดี ชุดไหนดี๊” เบญจาหยิบชุดนั้นชุดนี้ออกมาทาบบนตัวเพื่อเลือกชุดที่ดีที่สุดสำหรับการไปพบครอบครัวของอังกูรเป็นครั้งแรก
ยอมรับว่าตื่นเต้นและประหม่าแต่เธอก็จะใช้โอกาสที่มีค่านี้ทำความรู้จักครอบครัวของอังกูรให้ดีที่สุด ด้วยอาชีพที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์สายบิวตี้ที่มีแบรนด์เครื่องสำอางค์และน้ำหอมเป็นของตัวเองแถมโฆษณาสินค้าก็เข้าไม่เคยขาด ไลฟ์ขายสินค้าทีไรยอดวิวหลักหมื่นปลายๆ ยอดขายทะลุล้านเสมอ
เมื่อเลือกชุดได้แล้วเบญจาก็มานั่งแต่งหน้าทำผมหน้าโต๊ะเครื่องแป้งขนาดเกือบสองเมตรที่มีไฟรอบๆ กระจกบานขนาดใหญ่ สะบัดแปรงแต่งหน้าไม่นานก็ได้ลุคที่ต้องการ โดยไม่ลืมที่จะหยิบของฝากติดไม้ติดมือไปให้ผู้ใหญ่ที่จะไปพบวันนี้
อังกูรมาก่อนเวลานัดเล็กน้อยและทันทีที่เขาเห็นเบญจาชายหนุ่มก็แทบจะหุบยิ้มไม่ลง เธอสวยจริงๆ แม้จะเป็นความสวยในแบบของเธอแต่เขาก็ไม่อาจหาอะไรมาเปรียบเทียบได้
“ลุคนี้ไม่โอเคเหรอคะ” เพราะอังกูรเอาแต่มองไม่วางตานั่นทำให้เบญจาเริ่มไม่มั่นใจ
“เปล่าครับ คุณหลิวสวยจนผมละสายตาไม่ได้”
“คุณหนึ่งก็ ชมกันตรงๆ แบบนี้หลิวก็เขินเป็นนะคะ”
“แฟมผมสวยนี่ครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“เชิญครับ” อังกูรผายมือเชิญเบญจาขึ้นรถ โดยเขานั้นเปิดประตูรอแล้ว
“ขอบคุณค่ะ” น้ำเสียงเบญจาเอ่ยรับอย่างยินดี จากนั้นอังกูรก็ขับรถพาเธอไปยังสถานที่นัดหมาย ซึ่งก็คือห้องอาหารชื่อดังในโรงแรมแห่งหนึ่ง ทั้งคู่หยุดอยู่ตรงหน้าห้องวีไอพี เบญจาใช้จังหวะนั้นสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ เพื่อลดความประหม่าซึ่งก็ช่วยได้เป็นอย่างดี
