บทที่ 5
มือหนาของอังกูรผลักประตูเข้าไป เอ่ยทักทายกันเล็กน้อยก่อนที่ชายหนุ่มจะแนะนำเบญจาให้พ่อและแม่ได้รู้จักในฐานะคนรักของเขา ครอบครัวของอังกูรดูจะปลื้มกับว่าที่สะใภ้คนนี้ไม่น้อย แม้ตอนนี้เบญจาจะเป็นอินฟลูเอนเซอร์แต่ประวัติครอบครัวของเธอที่พวกเขาสืบมานั้นกลับไม่ธรรมดา
เมื่อประวัติไม่ธรรมดาการเปิดรับมันจึงง่ายขึ้นตามไปด้วย เพราะต่อให้ตอนนี้เบญจาจะไม่ได้เข้าไปนั่งแท่นในตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดแต่ในอนาคตทุกอย่างก็ย่อมตกเป็นของทายาทเพียงคนเดียวอย่างเธอแน่นอน และดูเหมือนครอบครัวของอังกูรจะชื่นชอบของฝากแบรนด์หรูที่เบญจานำมาให้
“ได้ข่าวว่าตอนนี้หนูหลิวกำลังสร้างแบรนด์รองเท้าของตัวเองเหรอจ๊ะ” ช้องมาศเอ่ยถามขึ้น
“ค่ะ เท้าหลิวค่อนข้างเล็กเลยหาไซซ์รองเท้าค่อนยาก นั่นจึงเป็นแรงบันดาลใจให้ทำแบรนด์รองเท้าเพื่อตอบโจทย์ตัวเองค่ะ”
“อายุก็แค่นี้ แต่ทำไมเก่งเรื่องธุรกิจนัก”
“ส่วนหนึ่งก็เพราะได้คุณหนึ่งแนะนำค่ะ” เบญจาหันมองแฟนหนุ่มที่เวลานี้มองตรงมายังเธอเช่นกัน
“คนนี้แหละสะใภ้ของพ่อ” คำพูดของบิดาอังกูรทำให้เบญจานั้นใจเต้นไม่เป็นส่ำด้วยความดีใจ
“คุณก็พูดตรงเกินไป ดูสิค่ะหนูหลิวอายจนหน้าแดงหมดแล้ว” ช้องมาศออกตัวแทนเบญจาที่เวลานี้ใบหน้าร้อนผ่าวแล้วจริงๆ อังกูรที่นั่งอยู่ข้างๆ จึงยื่นมือมากุมมือของเบญจาแล้วบีบเบาๆ เพื่อให้เธอผ่อนคลาย
“ขอโทษที่ลุงใจร้อนไปหน่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เบญจาเอ่ยรับเพียงแค่นั้นเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าต้องตอบอะไร เพราะเวลานี้รู้สึกตื่นเต้นจนหูอื้อไปแล้ว แต่บรรยากาศที่เป็นกันเองก็ช่วยให้เธอผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี ยิ่งอังกูรคอยดูแลเทคแคร์ด้วยแล้วเธอก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองนั้นโชคดีที่ได้คบหากับเขารวมถึงรู้สึกโชคดีที่ครอบครัวชายหนุ่มต้อนรับเธออย่างอบอุ่น
แต่ยิ่งได้รับการต้อนรับดีเบญจากลับรู้สึกผิดและตั้งใจจะเคลียร์เรื่องของตัวเองให้เร็วที่สุด
“คุณหนึ่งคะ”
“ครับ”
“จอดรถแล้วคุยกันก่อนได้ไหมคะ พอดีว่าฉันมีเรื่องสำคัญอยากจะบอก” สีหน้ารวมถึงน้ำเสียงที่แฝงความกังวลใจของเบญจาเวลานี้พลอยทำให้อังกูรรู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วยหรือครอบครัวเขาทำให้เธออึดอัดใจ
ชายหนุ่มจึงรีบหักพวงมาลัยรถเข้าจอดริมถนน ซึ่งอีกไม่กี่สิบเมตรก็ถึงทางเข้าหมู่บ้านของเบญจาแล้วเพราะแบบนั้นตรงนี้จึงไม่ได้เปลี่ยวอะไร
“คุณหลิวมีอะไรหรือเปล่าครับ หรือไม่สบายใจเรื่องวันนี้”
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ คุณกับคุณลุงคุณป้าทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นใจมากจนไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก แต่เพราะแบบนั้นฉันจึงคิดว่าไม่ควรปิดบังเรื่องบางอย่างกับคุณ”
“เรื่องอะไรครับ คุณหลิวบอกผมมาได้เลย” สำหรับอังกูรแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรเขาก็พร้อมจะอยู่เคียงข้างเบญจาเสมอ
“คือว่าฉัน...ที่มีคู่หมั้นแล้วค่ะ” อังกูรช็อกกับประโยคที่ได้ยินจนนั่งนิ่งไปทันที ก่อนที่เบญจาจะรีบอธิบายถึงที่มาที่ไปว่าเพราะอะไรจู่ๆ เธอถึงมีคู่หมั้นโผล่มา รวมถึงเธอเองก็เพิ่งรู้เรื่องเมื่อครั้งไปเจอคุณปู่ที่วังน้ำเขียวเช่นกัน
“หลิวไม่ได้เต็มใจหมั้นรวมถึงไม่ได้อยากแต่งงานกับใครทั้งนั้นเพราะตอนนี้ในหัวใจหลิวมีเพียงคุณ” คำตอบที่เต็มไปด้วยความหนักแน่นของเบญจาทำให้หัวใจของอังกูรที่ก่อนหน้านี้ถูกบีบอัดค่อยๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติ ยอมรับว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเธอมันหนักแต่ในเมื่อเบญจาไม่ยอมแพ้ เรื่องอะไรเขาต้องยอม
“เรา...แต่งงานกันนะครับ”
“คุณหนึ่ง” เบญจาอุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่อังกูรจะหยิบแหวนแต่งงานออกมาจากกระเป๋า
“ตั้งแต่ได้รู้จักกับคุณ ผมก็ค้นพบความสุขที่ตามหามานาน เลยตัดสินใจพกแหวนวงนี้ติดตัวตลอดเผื่อว่าสักวันจะกล้าพอที่จะสวมมันลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของคุณหลิว” คำพูดจากใจของอังกูรทำให้เบญจาน้ำตาเอ่อ
“แต่งงานกับผมนะครับ”
“หลิวอยากตอบตกลง แต่สถานการณ์ของหลิวในตอนนี้ทำให้พูดแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ค่ะ หลิวอยากขอเวลาคุณเพื่อเคลียร์เรื่องผู้ชายคนนั้นให้เรียบร้อย จากนั้นค่อยสวมแหวนวงนี้ให้หลิวนะคะ” แม้จะดีใจที่ได้ยินคำขอแต่งงานจากอังกูรทว่าเบญจากลับไม่อาจตกลงรับคำขอนั้นจากเขาได้จริงๆ
“ขอผมไปด้วยได้ไหม”
“ไม่ค่ะ หลิวจัดการคนเดียวได้”
“ครับ”
“รอหลิวนะคะ” อังกูรไม่ตอบแต่ค่อยๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นประคองใบหน้าเรียวเล็กของเบญจาไว้พร้อมกับสบตากลมโตของเธอ จากนั้นจึงโน้มตัวลงหาพร้อมกับมอบจูบแรกให้อีกฝ่าย
เบญจาหลับตาพริ้มเพื่อรับสัมผัสที่เฝ้ารอ จูบของอังกูรเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน มันช่วยปลอบประโลมหัวใจของเบญจาได้เป็นอย่างดีรวมถึงหัวใจของอังกูรเองก็เช่นกัน
และนี่คือคำมั่นสัญญาว่าทั้งคู่นั้นจะเชื่อใจและมั่นคงในความรักของพวกเขา
“อะไรนะ” แสงจันทร์อุทานออกมา นั่นเพราะเธอคือคนล่าสุดที่กำลังรับรู้เรื่องราวชวนปวดหัวของเบญจา คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเรื่องทำนองนี้จะเกิดขึ้นกับเพื่อนสนิท มันยุคสมัยไหนกันแล้วยังมีการจับหมั้นหวังคลุมถุงชนให้แต่งงานกันอีก ถ้าไม่เกิดขึ้นกับตัวฉันก็ไม่มีทางเชื่อแน่นอน
“เบาๆ หูจะแตกแล้ว”
“โทษทีๆ แล้วนี่จะเอายังไง”
“ฉันจะบินไปอเมริกา ไปถอนหมั้นผู้ชายคนนั้น” นั่นคือแผนเดียวที่เบญจาคิดออก ในเมื่อเธอไม่ยอมรับการหมั้นหมายก็ควรต้องบินไปถอนหมั้นด้วยตัวเอง
“เดินทางวันไหน”
“พรุ่งนี้”
“วันลาพักร้อนฉันก็พึ่งใช้หมด ไม่อย่างนั้นจะไปเป็นเพื่อน”
“ไม่เป็นไร ฉันมั่นใจว่าจัดการคนเดียวอยู่”
“หน้าตาก็ดี การศึกษาฐานะอะไรก็ดีเป็นถึงเชฟอยู่ที่นู่น แต่ทำไม้ทำไมถึงยอมให้พวกผู้ใหญ่จับคลุมถุงชนได้ก็ไม่รู้” แสงจันทร์มองรูปภาพคู่หมั้นของเบญจาแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอยากไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ชายโปรไฟล์ดีๆ แบบนี้ถึงยอมให้จับคลุมถุงชนได้ง่ายดายนัก
“เขาคงเป็นเกย์มั้ง” เบญจาโพล่งออกมาอย่างคนหัวเสีย
“เป็นไปได้ ถ้าเขาเป็นเกย์จริงๆ เธอก็ต้องมีหลักฐานมัดตัวให้แน่นหนา การถอนหมั้นมันจะยิ่งง่ายขึ้น” แสงจันทร์ตาเป็นประกายเมื่อคิดแผนที่จะทำให้การถอนหมั้นของเบญจาครั้งนี้ลุล่วง
