บทที่ 5
“เรย์พูดครับ”
“เรย์ นี่แม่นะลูก” รัศมีเอ่ยบอกอย่างทุกครั้ง คล้ายกลัวว่าลูกชายจะลืมว่าเธอเป็นใคร
“ครับ” กษิดิศเอ่ยรับสั้นๆ แม้จะไม่อยากรับสาย แต่ตอนนี้เขาก็โตพอที่จะไม่ร้องไห้ฟูมฟายอย่างเช่นในวัยเด็ก เขาโตพอที่จะเข้าใจอะไรๆ แม้บางอย่างเขาไม่อยากจะเข้าใจก็ตาม
“แม่ได้ข่าวว่าลูกปิดค่ายมวย เกิดอะไรขึ้นเรย์” คำถามของแม่ทำให้ชายหนุ่มเหยียดยิ้มที่มุมปาก พึ่งจะรู้ว่าแม่เองก็สนใจเขาด้วยเหมือนกัน แต่โทรมาตอนนี้สายไปหรือเปล่า เพราะเขาปิดค่ายมวยได้หลายเดือนแล้ว
“แม่ได้ข่าวช้าไปหรือเปล่า” น้ำเสียงประชดประชันของลูกชาย ทำให้หัวใจของคนเป็นแม่เจ็บปวด เธอตามข่าวลูกชายเสมอ แต่ครั้งนี้ที่รู้ข่าวช้า เพราะเธอนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลอยู่หลายเดือน พึ่งกลับบ้านได้วันนี้นี่เอง พอรู้ข่าวกษิดิศจากญาติๆ จึงรีบโทรศัพท์มาหาทันที
“เรย์ ทำไมพูดกับแม่แบบนี้ แม่…” ยังไม่ทันที่รัศมีจะได้พูดจบประโยค คำพูดเสียดแทงความรู้สึกของลูกชายก็ดังขึ้นให้ได้ยิน
“ขอโทษครับ ผมลืมไปว่าแม่คงยุ่งมาก และที่สำคัญอยู่ไกล ข่าวนี้เลยไปถึงช้าหน่อย”
“เรย์ถึงแม่จะไม่ได้อยู่กับลูก แต่แม่ก็รักลูกมากนะ รักมากกว่าชีวิตแม่อีก” น้ำเสียงสั่นเครือของรัศมีเอ่ยขึ้น ถ้าการหย่าร้างกับทิมครั้งนั้นทำให้เธอเสียลูกชายไป และเข้าไม่ถึงใจกษิดิศอย่างเช่นในตอนนี้ เธออยากย้อนเวลากลับไปแล้วเลือกที่จะทนอยู่กับสามีเก่า ถึงแม้เธอจะไม่มีความสุข แต่แค่เพียงได้อยู่ใกล้ลูกชายสุดที่รักแล้วล่ะก็ เธอยอมที่จะทำทั้งนั้น
“ครับ” กษิดิศอยากพูดต่อเหลือเกินว่า ถ้าแม่รักเขามากแล้วทำไมต้องทิ้งเขา ทำไมต้องเลิกกับพ่อ หนำซ้ำยังไปแต่งงานใหม่แบบนั้น ด้วยแม้จะไม่ได้แต่งงานทันทีที่เลิกกันก็ตามเถอะ รู้ไหมว่าภาพตอนที่เขาเกาะแขนเกาะขาแม่ไว้ ยื้อยุดฉุดกระฉากแม่ให้อยู่กับเขาในวันที่แม่เลือกจะไป ภาพนั้นมันเจ็บปวดมากแค่ไหน ถึงแม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมาหลายสิบปี แต่ความเจ็บในใจก็ใช่ว่าจะจางหายตามกาลเวลา
“ลูกบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมหรือเปล่า ทำไมถึงปิดค่ายมวยเสียละ”
“ผมเหนื่อยครับ การชกมวยไม่ใช่สิ่งที่ผมชอบ” น้อยคนที่จะทราบถึงสาเหตุอันแท้จริง ที่ทำให้กษิดิศหันหลังก้าวออกมาจากวงการกำปั้น ในขณะที่กำลังไปได้ไกลบนเส้นทางนี้ เขาคือทายาทของค่ายมวยชื่อดัง เป็นนักมวยที่ถูกวางตัวให้ขึ้นชกในเวทีระดับโลก เพียงแค่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น แต่ละเวทีหากชนะล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงรออยู่ทั้งสิ้น
สิ่งนี้ทิมเองก็คิดและคาดหวังด้วยเช่นกัน เขาฝึกซ้อมกับลูกชายมาตั้งแต่เด็กๆ โดยเฉพาะหลังจากที่เขากับรัศมีแยกทางกัน ช่วงนั้นกษิดิศซึมเศร้า คนเป็นพ่อจึงชักชวนให้ลูกชายหันมาชกมวย เด็กชายจึงกลับมาร่าเริงอีกครั้งแต่ก็ยังคงยิ้มยาก กลายเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงไปโดยปริยาย แต่เรื่องหมัดมวยนั้นเก่งจนทิมและครูมวยหลายคนเอ่ยชม ว่าอนาคตของกษิดิศบนเส้นทางนี้ไปได้รุ่งแน่นอน แต่ถึงจะเก่งกาจเพียงไหน ทิมก็ยังไม่ให้ลูกชายขึ้นชกจริงๆ เลยสักครั้ง นั่นเป็นเพราะอะไรดูเหมือนคนที่รู้มีเพียงผู้เป็นพ่อและโค้ชคนสนิทเท่านั้น
“แต่แม่รู้จากพ่อว่าลูกชอบการชกมวยมาก และทำได้ดีด้วย อีกไม่นานลูกก็ยังจะได้ขึ้นชกนัดสำคัญ” รัศมีถอนหายใจยาว ขณะรอฟังคำตอบ เพราะตัวเธอเองนั้น ไม่อยากให้กษิดิศเลิกชกมวยและทิ้งทุกอย่างเกี่ยวกับมวยไป
“แม่คงเข้าใจผิด ผมไม่ได้ชอบการชกมวยอะไรทั้งนั้น” กษิดิศขบกรามแน่นยามพูดประโยคนี้ออกไป เขาไม่คู่ควรที่จะกลับไปขึ้นเวทีอีก เขาทำให้พ่อผิดหวังทั้งๆ ที่ก่อนเสียชีวิตพ่อได้ฝากค่ายมวยให้เขาดูแลต่อและนั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่พ่อจะเสียชีวิต
“อย่าลืมว่าค่ายมวยนั่นพ่อสร้างขึ้นมาด้วยความรักนะลูก เรย์…”
“จะสำคัญอะไรในเมื่อตอนนี้ไม่มีพ่อแล้ว” สิ่งที่กษิดิศพูดแทรกขึ้นมา ทำให้รัศมีจุกบริเวณอกจนหายใจแทบไม่ออก ไม่คิดเลยว่าลูกชายเธอจะเปลี่ยนไปได้มากถึงขนาดนี้ เด็กชายกษิดิศที่เคยน่ารักสดใส แต่ทำไมวันนี้ถึงได้เย็นชานัก
“เรย์” รัศมีถอนหายใจออกมา เพราะไม่รู้ว่าพูดยังไงกับลูกชายเธอดี
“หม่ามี้ ขนมค่ะ” เสียงของเด็กผู้หญิงที่พูดภาษาไทยดังเล็ดลอดเข้ามาในโทรศัพท์ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั่นคือเสียงของลูกสาวอีกคนของแม่ที่เกิดกับสามีใหม่
“แม่คุยกับพี่เรย์อยู่ หนูรอแป๊บนึงนะคะ” รัศมีเอ่ยบอกลูกสาวที่ตอนนี้อายุสิบแปดปี กำลังโตเป็นสาวสวย ซึ่งเด็กสาวก็ยิ้มให้ เพราะคุ้นชื่อนี้ดีและรู้ว่าเป็นใคร เพราะแม่มักจะพูดให้ฟังเสมอๆ แต่น้ำเสียงอบอุ่น ขณะที่แม่กำลังพูดอยู่นั้นทำให้คนฟังเจ็บปวดจนไม่อยากพูดอะไรต่อ
“ผมยุ่งอยู่ แค่นี้นะครับ”
“เรย์ เดี๋ยวสิลูก” รัศมีเอ่ยค้านเพราะอยากคุยกับลูกชายคนโตอีกหน่อย แต่กษิดิศก็เลือกที่จะวางสายไปเสียแล้ว เธอถอนหายใจออกมาหนักๆ เพราะไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็เอาชนะใจลูกชายไม่ได้สักครั้ง ระยะเวลายี่สิบห้าปีที่ให้กำเนิดลูกคนนี้ไม่มีวันไหนที่เธอไม่เคยห่วงใยและไม่คิดถึงกษิดิศ
วันที่เธอเลือกจากมาเพราะเหตุผลของการอยู่ร่วมกันไม่ได้กับสามีผู้ซึ่งเป็นพ่อของลูก เขาเป็นหนุ่มเยอรมันซึ่งมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เมืองไทย และชื่นชอบการชกมวยเป็นชีวิตจิตใจ ฝึกซ้อมมวยเป็นบ้าเป็นหลัง ขึ้นชกเวทีนั้น เวทีนี้จนได้เข็มขัดแชมป์มาครองมากมาย และสร้างค่ายมวยเป็นของขวัญแก่ลูกชายที่พึ่งเกิดรวมทั้งให้ตัวเขาเองด้วย
แต่นานวันเข้าความชอบก็กลายเป็นหลงใหล และแปรเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่ง จนกระทั่งลืมครอบครัวเธอทนกับชีวิตแบบนั้นไม่ได้อีกต่อไป ร้ายแรงถึงขั้นยื่นเรื่องขอหย่า ทิมเข้าใจเพราะเขาเองก็ยอมรับผิดที่ไม่เคยใส่ใจดูแลภรรยาเลย เขาอยากให้รัศมีมีชีวิตที่ดีกว่านี้จึงปล่อยเธอให้เป็นอิสระ โดยจะเป็นฝ่ายดูแลกษิดิศและพูดให้ลูกชายเข้าใจถึงเหตุผลที่แม่และพ่อแยกกันอยู่
แต่ยังไม่ทันที่ทิมจะได้อธิบายอะไร กษิดิศในวัยห้าขวบก็เห็นแม่ขนข้าวขนของออกจากบ้าน จึงถามว่าแม่จะไปไหน แต่รัศมีก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแม้แต่ประโยคเดียว เมื่อเห็นว่าแม่ไม่พูดกษิดิศจึงพยายามขอร้องให้แม่อยู่กับตน แต่ไม่ว่าจะขอร้องเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายแม่ก็จากไปโดยไม่มีใครเอ่ยบอกถึงสาเหตุ และเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้กษิดิศเจ็บปวดอย่างฝังใจ และปิดใจกับผู้เป็นแม่ แม้หลังจากนั้นทิมจะอธิบายถึงสาเหตุที่พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันไม่ได้ให้ฟังแล้วก็ตามที ทิมจึงใช้มวยเพื่อดึงลูกออกจากความซึมเศร้าและดูเหมือนจะได้ผล
