ตอนที่ 3 ก่อกวน (1)
นับแต่กัวจือหรานถูกโจวเฟิงหมายหัว นางก็ถูกเขากลั่นแกล้งมาก็หลายครั้ง สะใภ้รองจามสักครั้งก็ต้องรีบมาตามตัวนาง ไม่ว่าดึกดื่นค่อนคืนยังไงก็ไม่วายต้องดึงตัวนางไปให้ได้ ด้วยเพราะนางปากเร็วปากพล่อยเองที่บอกไปว่าหากสะใภ้รองมีอาการผิดปกติให้ไปตามนางได้ตลอดเวลา วันนี้เองก็เช่นกัน ตอนกลางวันไปตรวจอาการสะใภ้รองแล้ว นับว่าอาการดีขึ้นมาก ใบหน้าไม่ซีดเหลือง สองข้างแก้มแดงปลั่งขึ้นมาบ้างแต่ยังต้องดูแลบำรุงกำลังต่อไป ตอนนี้ผ่านยามจื่อมาแล้ว กัวจือหรานเพิ่งเข้านอนก็ต้องลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้าสะพายล่วมยาขึ้นรถม้าสกุลโจวไปทั้งท่าทางสะลึมสะลือ นางควานมือหายาอมในล่วมยาได้ก็โยนเข้าปากไปสองเม็ด ทั้งขมทั้งขื่น แต่ชุ่มคอและทำให้ตาสว่างยิ่ง
ไปถึงสกุลโจวที่จุดไฟสว่างโร่ นางรีบเดินตามสาวใช้เข้าไปยังเรือนส่วนใน แต่ไม่ได้ไปยังเรือนของสะใภ้รอง นางจึงเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่เรียกข้ามาดูอาการสะใภ้รองหรอกหรือ”
“ไปเรือนท่านใหญ่เจ้าค่ะ” สาวใช้ก็ไม่พูดมาก นางรีบสาวเท้ายาว ๆ นำหน้าไป
กัวจือหรานยิ่งอยากรู้อยากเห็นว่าที่เรือนโจวเฟิงเกิดอะไรขึ้นถึงได้เรียกนางมาดึกดื่นเพียงนี้ ยังไม่ผ่านประตูวงพระจันทร์เข้าไปก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนและเสียงดังตุบ ๆ เป็นระยะ แน่นอนว่าเสียงนี้คือเสียงโบย และเสียงที่ร้องโหยหวนคือเสียงของสตรีที่ถูกโบย
สาวใช้ที่นำทางกัวจือหรานเห็นนางชะงักเลยกล่าวขออภัยและคว้าแขนนางพาเดินเข้าไปในเรือน แน่นอนกัวจือหรานเพิ่งเคยเข้าเรือนของเจ้าบ้านสกุลโจวคนปัจจุบันอย่างโจวเฟิง ไม่นับว่าคำนวณผิดไปนัก เรือนหลังนี้ใหญ่โตกว่าเรือนท่านรองอยู่เล็กน้อย สวนตกแต่งประดับอย่างงดงาม มีศาลา ภูเขาจำลอง น้ำตก หอเก๋งสี่ชั้นที่แยกจากตัวเรือนหลัก กัวจือหรานมองผ่าน ๆ จากนั้นก็ก้าวเข้าไปในเรือนผ่านโถงหน้าที่เปิดประตูกว้าง มีฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่ หญิงเฒ่าเห็นกัวจือหรานก็โบกมือคล้ายบอกปัดเช่นเคย แต่ท่าทางดูกระวนกระวายใจมาก ด้านข้างมีสาวใช้แม่นมกระวีกระวาดคอยปรนนิบัติพัดวีด้วยความร้อนอกร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด
กัวจือหรานคารวะอีกฝ่ายลวก ๆ แล้วรีบตามสาวใช้เข้าไปยังห้องนอนใหญ่ ผ่านห้องส่วนหน้ากว้างขวางลึกเข้าในห้องนอนที่สว่างจ้า มีเสียงร้องไห้ของโจวฮูหยินดังอยู่ตลอด กัวจือหรานคาดเดาว่าคราวนี้คนเจ็บย่อมเป็นโจวเฟิงไม่ผิดแน่ แล้วก็เป็นดังคาด โจวหลินประคองมารดาอยู่ข้างเตียง บนนั้นโจวเฟิงเอนกายเลือดเปื้อนเต็มเสื้อตรงหน้าอก แต่เจ้าตัวยังมีสติอยู่ ใบหน้าซีดเผือดไปบ้างแต่ก็นับว่ายังดีอยู่มาก
“เร็วเข้า ลูกชายข้า มาดูอาการให้ลูกใหญ่ข้า” โจวฮูหยินแทบจะกระโจนมากระชากกัวจือหรานเข้าไป
โจวเฟิงขมวดคิ้วมองมารดาที่วุ่นวายเกินเหตุ “น้องรอง พาท่านแม่ออกไปก่อนเถอะ”
“ขอรับ” โจวหลินประคองมารดาออกไปรอที่ห้องด้านนอก แม้มารดาจะฝืนตัวบ้าง แต่เมื่อหันไปเห็นสีหน้าบุตรชายคนโตเข้า นางก็ยอมออกไปแต่โดยดี
กัวจือหรานนั่งลงข้างเตียง สบตากับโจวเฟิงครั้งหนึ่ง เขาไม่พูด นางก็ไม่อยากพูดนัก แต่เห็นเขาไม่ให้ความร่วมมือก็ต้องเอ่ยปาก “ให้ข้าจับชีพจร”
เขาก็ยื่นมือออกมา นางถลกแขนเสื้อเปื้อนเลือดของเขาขึ้น วางนิ้วลงไปจับสัญญาชีพจรชั่วอึดใจเดียวก็ดึงมือกลับ “ขอข้าดูแผล”
เห็นเขานั่งนิ่ง กัวจือหรานมองไปทางสาวใช้สองคนที่อยู่ห่างออกไป ทั้งสองยืนก้มหน้างุดทำท่าทางว่าจะไม่เข้ามายุ่งด้วยเด็ดขาด กัวจือหรานจึงยื่นมือไปปลดเข็มขัดของเขาเสียเอง คลายสาบเสื้อสองชั้นออกไปจนเห็นบาดแผลเป็นทางยาวเฉียงตั้งแต่ไหล่มาถึงกลางหน้าอก เลือดยังไม่หยุดไหล
“ถอดเสื้อออก” นางพูดพร้อมกับบอกเขา ในเมื่อสาวใช้ไม่ช่วย คนเจ็บไม่ต่อต้าน นางก็ขอลงมือเองก็แล้วกัน จากนั้นหันไปหาสาวใช้ที่แอบเงยหน้าขึ้นมองนางกับโจวเฟิงเป็นระยะ
“ข้าต้องการน้ำร้อน สุราล้างแผล ผ้าสะอาดหลายๆ ผืน”
สาวใช้ทั้งสองกระตือรือร้นขึ้นมาทันใด “บ่าวจะไปเตรียมเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
กัวจือหรานหันไปเปิดล่วมยาแล้วจึงเอายาที่จำเป็นออกมาวางเรียงกัน รวมทั้งเข็มและด้ายเพื่อเย็บแผล “แผลของท่านทั้งลึกและยาว ข้าจำต้องเย็บแผล แผลจะได้สมานกันเร็วขึ้น หากท่านต้องการยาชาก็บอก” ระหว่างที่พูดก็ไม่ได้เงยหน้ามองคนเจ็บสักนิด
“ไม่ต้อง” เสียงตอบยังเป็นปกติ
กัวจืนหรานเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเขาจับจ้องอยู่นานจึงเลิกคิ้วขึ้น
เขาเห็นท่าทางของนางแล้วก็เอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์สุดแสน “จะถามอะไรก็ถามมา”
“หืม? ถามอะไรหรือ... ไม่มีนี่” นางกล่าวพร้อมส่ายหน้า
“เรื่องที่ข้าบาดเจ็บอย่าได้แพร่งพราย นี่คือเหตุผลที่ข้าไม่ให้คนไปเชิญหมอท่านอื่นมา” โจวเฟิงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาดำขลับของหญิงสาว
