ตอนที่ 1 ไม่ใช่หน้าที่หมอ (2)
ลี่เอ๋อร์ออกจากห้องชั้นสองของหอราตรีสวรรค์เดินไปตามทางเดินเล็ก ไปยังส่วนหลังของหอราตรีสวรรค์ ด้านหลังนี้เป็นที่พักของสาวใช้และท่านหมอหญิงหนึ่งเดียวในหอราตรีสวรรค์แห่งนี้ด้วย กัวจือหราน นางเข้ามาที่นี่ตั้งแต่อายุแปดขวบ แม้จะผิวกายขาวผ่อง แต่ใบหน้าด้านชาแสนจะธรรมดา ด้วยเพราะหน้าตาดาดเดื่อนนี่เองที่แม่เล้าไม่ให้นางเป็นนางโลมคอยปรนเปรอบุรุษ ซ้ำกัวจือหรานนั้นรักดี นางชอบอ่านตำราคัดอักษร แม่เล้าเลยสอนนางเขียนอ่านด้วยตัวเองหวังจะให้นางเป็นลูกมือช่วยคิดบัญชีในภายหน้า นางเป็นเด็กฉลาด แต่เงียบขรึม จนวันหนึ่งหมอวัยกลางคนมาตรวจโรคให้พวกนางโลมทั้งหลาย กัวจือหรานสนใจมาก เข้าไปซักถามท่านหมอไม่หยุดปาก แม่เล้าเห็นท่าทางนางแล้วก็เลยขอให้ท่านหมอรับกัวจือหรานเป็นศิษย์ ท่านหมอซุนเองก็นับว่าพอมีฝีมือและมาตรวจอาการที่หอราตรีสวรรค์ก็หลายปีแล้ว เขาเองก็เห็นแววในตัวกัวจืนหรานจนยอมพยักหน้ารับนางเป็นศิษย์
กัวจือหรานทำให้คนประหลาดใจ เพราะนางเรียนรู้เร็ว อายุสิบปีก็จับชีพจรตรวจโรคง่ายๆ ได้แล้ว ทั้งตำราสมุนไพรก็ถูกนางอ่านไปครึ่งหนึ่งที่ท่านหมอซุนสะสมเอาไว้ นางตั้งใจศึกษาอยู่หลายปี กระทั่งอายุสิบสี่ก็สามารถออกตรวจแทนท่านหมอซุนได้แล้ว นางมักจะไปๆ มาๆ จากหอราตรีสวรรค์กับโรงหมอสกุลซุน แต่ยังอาศัยอยู่ที่หอราตรีสวรรค์เช่นเดิม แม่เล้าเองก็ไม่ได้บังคับนางเพราะนางตรวจรักษาเป็น ประหยัดค่าหมอไปมาก ซ้ำนางยังลงมือปลูกสมุนไพรบางชนิดไว้ในสวนเล็กๆ หน้าเรือนนอนของนางด้วย อีกอย่างนางยังช่วยแม่เล้าทำงานบัญชี คิดคำนวณและช่วยจ่ายเบี้ยหวัดให้ทุกคนในหอราตรีนี้ได้ ฐานะนางจึงอยู่สูงกว่าสาวใช้ ผู้คุมและนางโลมทั้งหลาย ตอนนี้นางอายุสิบแปดปีแล้ว ยังมีหน้าตาด้านชาเช่นเดิม ผิวกายยังขาวผ่อง นางแต่งตัวด้วยชุดสีเดียวทุกวัน ทำผมทรงเดิมไม่เคยเปลี่ยน ใบหน้าไร้เครื่องประทินโฉม มีกลิ่นสมุนไพรติดกายคล้ายเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของนางไปแล้ว
“ซี้ด อา เจ็บ ให้ตายเถอะ” ลี่เอ๋อร์เดินถ่างขาน้อยๆ แต่ก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น จนกระทั่งปลายจมูกแตะเข้ากับกลิ่นยาสมุนไพรที่ลอยอวลอยู่กลางอากาศและได้ยินเสียงหนึ่งครางออกมาด้วยความพอใจยิ่ง
“อา เย็นสบายอะไรอย่างนี้ ดีเหลือเกิน”
ลี่เอ๋อร์รีบผลักประตูห้องเข้าไป เห็นกัวจือหรานนั่งเคี่ยวยาอยู่หน้าเตาเล็ก กลิ่นยาตลบอบลวลทั้งห้อง บนเตียงที่ไร้การตกแต่งมีหญิงสาวนางหนึ่งนั่งพิงหัวเตียงถ่างขาท่อนล่างเปลือยเปล่า นางกำลังก้มลงไปมองเนินเนื้อเร้นลับของตัวเองอยู่ เห็นคนอื่นเข้ามาก็ไม่ได้สนใจ เอาแต่ลูบๆ คลำ ๆ ส่วนนั้นและสูดปากต่อไป
“แม่นางกัว” ลี่เอ๋อร์ไปเอาม้านั่งตัวเล็กที่มุมห้องมานั่งลงข้างกัวจือหราน
คนในหอราตรีสวรรค์ที่สนิทกันจะเรียกนางว่าแม่นางกัวซึ่งเป็นแซ่เดิมของนาง ส่วนคนที่ไม่สนิทกันนักจะเรียกว่าหมอกัว
ลี่เอ๋อร์เห็นใบหน้านิ่งเฉยของกัวจือหรานแล้วก็รู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มรำคาญแขกเก่าและแขกใหม่อย่างนางแล้ว นางจึงไม่ชักช้าอีก “ขี้ผึ้งเย็นของข้าหมดแล้ว ที่แม่นางกัวมีเหลืออีกหรือไม่”
“มี” เสียงเรียบเฉย แต่น้ำเสียงกลับกังวานใส
“มีเท่าไรให้ข้าทั้งหมดเลยนะ”
กัวจือหรานหันไปมองลี่เอ๋อร์ “แก้ที่ต้นเหตุจะดีกว่า”
“จะทำอย่างไรเล่า ทุกครั้งก็เป็นเช่นนี้ ทั้งเจ็บทั้งจุก ยังถลอกแดงช้ำไปหมด หากแขกใหญ่โตเรี่ยวแรงดีหน่อยข้าถึงกับรับแขกไม่ไหวไปอีกสี่ถึงห้าวัน เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าแม่นางกัวจะไม่รู้ วันนี้นายท่านเซี่ยก็มาอีกแล้ว ข้าเจ็บมากทั้งปวดหน่วงๆ แม่นางกัวดูให้หน่อยเถอะ”
“นายท่านเซี่ยก็ติดแต่เจ้า ข้าอยากจะรู้นักว่าจะเก่งกล้ามาจากไหนถึงทำให้เจ้าเดินข้าถ่างอยู่ร่ำไป แต่เสียดายที่นายท่านเซี่ยไม่เรียกคนอื่นไปปรนนิบัติ” หญิงสาวที่นั่งบนเตียงลุกขึ้น ต้นขาขาวอวบไม่มีอะไรปกปิดแต่นางก็หาได้สนใจไม่ นางเดินมาดึงแขนลี่เอ๋อร์ให้ลุกขึ้นและพาไปที่เตียงจากนั้นก็ผลักอีกฝ่ายให้ล้มตัวลงนั่ง ถอดกระโปรงลี่เอ๋อร์ออก นางไม่ได้ใส่กางเกง ข้างในจึงโล่งโจ้ง จากนั้นก็ถูกอีกฝ่ายถ่างขาอ้ากว้างแล้วก้มลงไปมองยังร่องเร้นลับที่ยังปวดแสบอยู่
“เจ้าไม่ใช่หมอจะรู้อะไร”
“อย่างน้อยข้าก็รับแขกมาก่อนเจ้าตั้งสองปี ย่อมมีประสบการณ์มากกว่า” ใบหน้าที่แต่งแต้มจัดจ้านแย้มยิ้ม ปลายนิ้วลูบไล้เนินเนื้อสวาทของลี่เอ๋อร์ ไม่พูดพร่ำก็สอดนิ้วสองนิ้วเข้าไปในโพรงอุ่นจัดจนลี่เอ๋อร์ร้องครางแล้วดึงมืออีกฝ่ายออก
“รั่วฉิน! เจ้าไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า” ลี่เอ๋อร์เจ็บเข้าก็เลยอารมณ์เสียอยู่สักหน่อย แม่หญิงงามนามรั่วฉินกลับหัวเราะอย่างสำราญใจแต่ไม่ได้แกล้งอีกฝ่ายอีก ตอนนี้เองที่กัวจือหรานเดินมาที่เตียงพร้อมถือตะเกียงที่สว่างจ้าเข้ามาด้วย
ลี่เอ๋อร์จึงนอนลงและยกสองข้าถ่างอ้าให้กว้าง สองมือช่วยเปิดทางกลีบเนื้อสีแดงช้ำออกจะคล้ำน้อยๆ เพราะผ่านการใช้งานมานานและรุนแรงทุกครั้งไป จือหรานเปิดกล่องเครื่องมือหมอที่นางถือติดมือมาด้วย จากนั้นหยิบแท่งไม่แบนๆ ยาวๆ ที่ถูกใช้งานมาจนขึ้นเงาแล้ว นางเปิดจุกขวดกระเบื้องเคลือบสูงขนาดเท่าฝ่ามือที่อยู่ในกล่องเครื่องมือ จากนั้นเอาแท่งไม่สองแท่งจุมลงไปในขวดเครื่องกระเบื้องนั้น จากนั้นถือแท่งไม้ทั้งสองข้างละแท่ง สอดเข้าไปในร่องเนื้อของลี่เอ๋อร์ แม้จะรวดเร็วแต่เบามือมาก
“ขมิบให้ข้าดู” ไม้สองแท่งนั้นทำหน้าที่ช่วยเปิดร่องเนื้อให้กว้างเพื่อนางจะได้ดูภายในของลี่เอ๋อร์ให้ชัดเจน
ลี่เอ๋อร์ขมิบช่องคลอดให้กัวจือหรานดูหลายครั้ง ภายในของนางบวมช้ำยังมีรอยถลอก มีลิ่มเลือดบ้างเล็กน้อย “อีกห้าวันค่อยรับแขก”
“แม่นางกัว จริงๆ แล้วไม่มีวิธีแก้ที่ดีกว่าทายาหรือ” รั่วฉินที่ก้มๆ เงยๆ อยู่ข้างจือหรานก็ต้องสยิวกายเพราะสภาพของลี่เอ๋อร์เห็นได้ชัดว่านางผ่านศึกรักดุเดือดมาไม่น้อย
“มี” จือหรานเก็บกล่องเครื่องมือ
“เช่นนั้นต้องทำอย่างไร”
“เลิกเป็นหญิงนางโลมก็สิ้นเรื่อง”
“...” หญิงนางโลมทั้งสองถึงกับใบ้กินสนิท
กัวจือหรานเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น “รังเล็ก หินใหญ่ ย่อมไม่สัมพันธ์กัน”
“ยังไง?” สองนางโลมสาวฉงน
“รังเจ้าเล็กเกินไป ซ้ำยังตื้นเขิน ไม่ว่าหินใหญ่หรือเล็กเข้าไปก็ย่อมมีเจ็บปวดเป็นธรรมดา ที่ปวดหน่องเพราะหินใหญ่กระแทกมดลูก หากยังรับแขกด้วยวิธีการดุดันเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ รังของเจ้าจะพังแล้วกู่ไม่กลับอีก”
“ตะ ต้อง ต้องทำยังไง ข้าจะทำยังไง” ลี่เอ๋อร์สีหน้าแตกตื่นยิ่ง
“เปลี่ยนท่าทาง เลี่ยงหนักผ่อนเบา”
“ข้าต้องทำท่าไหน?”
กัวจือหรานชะงักและเม้มปาก “ข้าไม่รู้”
“อ้าว!” สองสาวนางโลมเม้มปากส่งเสียงพร้อมกัน
“เรื่องนี้เจ้าต้องเรียนรู้เอง... หรือไม่ก็ไปถามท่านแม่สวีเอา ไม่ใช่หน้าที่ของหมอที่ต้องมาสอนท่วงท่าร่วมเพศให้เจ้า” พูดจบก็ถือกล่องเครื่องมือไปนั่งอยู่หน้าเตา นางรับไม้คนยาจากสาวใช้แล้วนั่งเงียบๆ คนยาในหมอดินเผาต่อไป
