ตอนที่ 2 – วังหลังและเงาพิษ
ลมหายใจอุ่นของเด็กทารกในอ้อมแขนยังสม่ำเสมอ แต่ความตึงเครียดในอากาศกลับหนักขึ้นทุกย่างก้าวที่เหมยลี่ก้าวออกจากห้องยา ขันทีหลิวเซิ่งเดินนำหน้า ใบหน้าเขาไร้ซึ่งอารมณ์ ราวกับรูปสลักหยกดำที่ไม่มีวันแตกสลาย
ย่านรัตติกาลเงียบกว่าปกติในคืนนี้ ร้านน้ำชาและโรงเตี๊ยมปิดไฟเร็วกว่าทุกครั้ง เสียงหัวเราะและดนตรีที่มักจะลอยมากลางดึกหายไปจนหมด เหมยลี่หันมองรอบ ๆ พลางรู้สึกเหมือนมีสายตาหลายคู่จับจ้องจากเงามืด
“ทำไมถึงเงียบแบบนี้” เธอถาม
“มีเหตุวุ่นวายในวัง” หลิวเซิ่งตอบสั้น ๆ “เมื่อวังไม่สงบ เมืองก็ไม่สงบ”
ถนนทอดยาวสู่ประตูชั้นนอกของพระราชวัง แสงตะเกียงจากป้อมยามสะท้อนเป็นประกายสีทองบนผิวน้ำของคูเมือง ขบวนเล็ก ๆ ของพวกเขาผ่านด่านตรวจหลายชั้น เหมยลี่สังเกตว่าทหารที่ยืนเฝ้าทุกคนล้วนจับอาวุธแน่นและมองราวกับพร้อมจะลงมือได้ทุกเมื่อ
ภายในกำแพงวังหลังมีบรรยากาศแตกต่างโดยสิ้นเชิง กลิ่นดอกเหมยและใบสนลอยมากับลม แต่กลิ่นหอมนี้กลับไม่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เหมือนมีบางสิ่งซ่อนอยู่ใต้ความสวยงามนั้น
“ข้าถามได้หรือไม่ เด็กคนนั้นคือใคร” เหมยลี่เอ่ยขณะเดินเคียงข้างหลิวเซิ่ง
“โอรสองค์ชายรอง” เขาตอบเรียบ ๆ “และข้าสงสัยว่ามีคนอยากให้พระองค์ไม่รอดพ้นคืนนี้”
คำพูดนั้นทำให้หัวใจเธอหยุดเต้นไปชั่วขณะ มือที่อุ้มเด็กสั่นเล็กน้อย เธอไม่เคยเกี่ยวข้องกับคนในวังหลัง และก็ไม่อยากเกี่ยวข้อง…แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะลากเธอเข้ามาเอง
⸻
พวกเขาเดินเข้าสู่ตำหนักชั้นใน ขันทีและนางกำนัลหลายคนรออยู่ก่อนแล้ว ในหมู่พวกนั้นมีหญิงสาวงามสง่าในชุดผ้าไหมสีอ่อน นัยน์ตาเรียวยาวฉายแววกังวล
“นั่นหรือ…หมอยาจากย่านรัตติกาล” หญิงคนนั้นเอ่ย เสียงของนางไพเราะแต่แฝงความไม่ไว้วางใจ
“ใช่” หลิวเซิ่งตอบแทน “นางคือผู้ช่วยชีวิตโอรสไว้”
หญิงผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ เหมยลี่จำได้จากคำเล่าลือว่านางคือ ซือเฟย สนมคนโปรดขององค์ชายรอง นางก้มลงมองเด็กทารกในอ้อมแขนเธอ น้ำตาคลอเมื่อเห็นเขายังหายใจอยู่
“ขอบคุณ…” เสียงนางแผ่วเบา ก่อนจะเงยหน้ามองตรง “แต่เจ้าต้องช่วยเราหาคนที่ทำเรื่องนี้ให้ได้”
⸻
คืนนี้ เหมยลี่ไม่ได้เพียงแค่เป็นหมอยาอีกต่อไป แต่กำลังจะกลายเป็นผู้สืบหาความจริงในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมที่สุดในแผ่นดิน
….
หลังจากซือเฟยรับโอรสไปกอดไว้ หลิวเซิ่งหันมาสบตากับเหมยลี่ “ตามข้ามา เจ้าต้องดูครัวด้วยตาเจ้าเอง”
ทางเดินภายในตำหนักทอดผ่านสวนที่ประดับด้วยโคมไฟแก้วสีอำพัน ลมพัดให้เปลวไฟไหววูบ เหมือนวิญญาณกำลังเต้นรำใต้ฟ้าในยามค่ำ เสียงรองเท้ากระทบพื้นหินดังชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาเดินเข้าสู่โถงครัว
ภายในครัวมีกลิ่นข้าวต้มจาง ๆ ผสมกับกลิ่นน้ำซุปที่ยังเดือดบนเตา หลายคนในครัวหยุดงานทันทีที่เห็นขันทีหลิวเซิ่ง ทุกสายตาเบิกกว้างราวกับถูกจับได้ว่าทำสิ่งผิด
“ใครเป็นคนต้มข้าวต้มโอรสในวันนี้” หลิวเซิ่งถามเสียงเข้ม
หญิงวัยกลางคนร่างท้วมก้าวออกมาอย่างลังเล “ข้าเองเจ้าค่ะ…แม่ครัวหวัง” เสียงนางสั่นน้อย ๆ
เหมยลี่กวาดตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดสายตาที่หม้อข้าวต้มที่ยังเหลือครึ่งหม้อ เธอเดินเข้าไปใกล้ ใช้ทัพพีตักขึ้นมาเล็กน้อยแล้วดมช้า ๆ
กลิ่นนั้นมาอีกแล้ว—ขมฝาดปนกลิ่นคล้ายใบไม้แห้งที่ผ่านการอบไฟ นางหันไปหาแม่ครัวหวัง “ในครัวนี้มีใครใช้สมุนไพรต้มกับอาหารบ้างหรือไม่”
แม่ครัวหวังส่ายหน้า “ไม่เคยเลยเจ้าค่ะ…ยกเว้นบางครั้งเวลาปรุงยาสำหรับนางในที่ไม่สบาย แต่วันนี้ข้าต้มแค่ข้าวกับน้ำ—”
“แต่ในหม้อนี้มีกากสมุนไพรชนิดหนึ่ง” เหมยลี่พูดขัด “ชื่อว่า ซ่างกู๋—พิษร้ายที่ซึมเข้าสู่เลือดเร็วมาก โดยเฉพาะในร่างทารก”
เสียงฮือฮาในหมู่คนครัวดังขึ้นทันที ขันทีหลิวเซิ่งหันมองแม่ครัวหวังด้วยแววตาคมกริบ “เจ้ามีอะไรจะอธิบายหรือไม่”
แม่ครัวหวังหน้าซีดเผือด “ข้า…ข้าไม่รู้จริง ๆ บางที…บางทีอาจมีคนใส่หลังจากข้าหันหลังไป”
เหมยลี่เดินสำรวจรอบครัวอีกครั้ง เธอสังเกตเห็นตะกร้าไม้เล็ก ๆ ที่วางหลบมุมใต้โต๊ะ เมื่อเปิดออก กลับพบซองผ้าขนาดเล็ก ภายในมีสมุนไพรแห้งที่เธอจำได้ทันทีว่าเป็นซ่างกู๋
“นี่ไม่ใช่สมุนไพรที่ใช้ทั่วไปในวัง” เหมยลี่พูดพลางยกซองขึ้นให้ทุกคนเห็น “และไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเก็บไว้ในครัวเว้นแต่มีจุดประสงค์ชัดเจน”
แม่ครัวหวังทรุดลงคุกเข่า “ข้าไม่รู้ว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร! เชื่อข้าด้วย!”
หลิวเซิ่งไม่พูดอะไร แต่สั่งให้ขันทีสองคนคุมตัวนางออกไปสอบสวนต่อ เหมยลี่มองตามพลางรู้สึกว่าคดีนี้ซับซ้อนเกินกว่าจะโทษเพียงคนครัว
เหมยลี่เดินสำรวจรอบครัวอีกครั้ง เธอสังเกตเห็นตะกร้าไม้เล็ก ๆ ที่วางหลบมุมใต้โต๊ะ เมื่อเปิดออก กลับพบซองผ้าขนาดเล็ก ภายในมีสมุนไพรแห้งที่เธอจำได้ทันทีว่าเป็นซ่างกู๋
“นี่ไม่ใช่สมุนไพรที่ใช้ทั่วไปในวัง” เหมยลี่พูดพลางยกซองขึ้นให้ทุกคนเห็น “และไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเก็บไว้ในครัวเว้นแต่มีจุดประสงค์ชัดเจน”
แม่ครัวหวังทรุดลงคุกเข่า “ข้าไม่รู้ว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร! เชื่อข้าด้วย!”
หลิวเซิ่งไม่พูดอะไร แต่สั่งให้ขันทีสองคนคุมตัวนางออกไปสอบสวนต่อ เหมยลี่มองตามพลางรู้สึกว่าคดีนี้ซับซ้อนเกินกว่าจะโทษเพียงคนครัว
__________
ขณะกลับไปยังตำหนัก เหมยลี่ได้กลิ่นลมแปลก ๆ ที่พัดมาจากสวนด้านข้าง—กลิ่นเดียวกับซ่างกู๋ แต่จางมากจนแทบจับไม่ได้ เธอหยุดก้าวและเดินเข้าไปสำรวจ
สวนแห่งนี้เงียบผิดปกติ มีเพียงเงาโคมไฟส่องลอดกิ่งไม้ลงมาบนพื้นหินกรวด เมื่อเธอเขยิบเข้าไปลึกขึ้น จึงเห็นกระถางดินเผาหลายใบเรียงอยู่ และในหนึ่งในนั้นมีรากซ่างกู๋สด ๆ ปลูกอยู่
“มีคนปลูกพิษไว้ในวัง…” เหมยลี่พึมพำ หลิวเซิ่งเดินตามมาและเห็นเช่นเดียวกัน แววตาเขาแข็งกร้าวขึ้น
“เรื่องนี้จะต้องถึงหูองค์ชายรอง แต่ก่อนอื่น—เจ้าต้องเล่าให้หมดว่ารู้จักพิษนี้ได้อย่างไร”
เหมยลี่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “เพราะมันคือพิษที่ฆ่าเพื่อนสนิทข้าเมื่อห้าปีก่อน…และตั้งแต่นั้นข้าก็เฝ้าตามหาว่าใครเป็นคนปล่อยมัน”
__________
เสียงกลองยามดังขึ้นจากกำแพงวัง เป็นสัญญาณว่าดึกมากแล้ว หลิวเซิ่งหันไปทางตำหนักของซือเฟย “คืนนี้เจ้าอยู่ในวัง ข้าจะให้ที่พัก แต่ตั้งแต่พรุ่งนี้—เจ้าจะต้องช่วยข้าสืบคดีนี้ให้ถึงที่สุด”
เหมยลี่มองดวงจันทร์ที่ลอยเหนือวังหลัง พลางรู้ว่าหนทางที่เธอกำลังจะก้าวเข้าไป…ไม่มีวันถอยกลับได้อีก
ในความมืดของวังหลัง เสียงกระซิบยังคงแว่ว—และกลิ่นพิษยังไม่จางหาย
