สวรรค์ลิขิต ทุกชีวิตมิอาจฝืนชะตา 2
กระทั่งกลุ่มชายฉกรรจ์ห้าคนเดินออกมาล้อมหน้าล้อมหลังนางเอาไว้ หลินจื่อเยว่พยายามหาทางหนีทีไล่เอาไว้ก่อนจะส่งยิ้มเจื่อนไปให้
“พี่ชาย มีผู้ใดเจ็บป่วยหรือถึงได้มาดักเจอข้าเช่นนี้” หญิงสาวทำใจดีสู้เสือเอ่ยถามออกไป
นางอาศัยขนาดตัวที่เล็กกว่า ใช้ปลายเท้าเตะเศษใบไม้ไปตรงหน้าแล้ววิ่งฝ่าพวกมันออกไปอย่างไม่คิดชีวิต ไม่สนทิศทางเช่นกัน โดยที่กลุ่มโจรป่าทั้งห้าคนวิ่งตามมาติด ๆ นางได้แต่คิดในใจว่า หากนางมิดื้อรั้น ทำตามที่ตกลงกับศิษย์พี่ใหญ่เอาไว้ตั้งแต่ทีแรก นางก็คงไม่ต้องมาเผชิญเรื่องราวเช่นนี้
หลินจื่อเยว่วิ่งหนีจนกระทั่งมาถึงทางตัน ด้วยเบื้องหน้าเป็นหุบเหวสูง นางยั้งฝีเท้าเอาไว้แล้วหันกลับไปเผชิญหน้ากับกลุ่มโจรป่าที่เมื่อพวกมันเห็นนางจนมุมก็ค่อย ๆ ย่างสามขุมเข้ามาช้า ๆ
“แม่นาง จะวิ่งหนีให้เหนื่อยไปไย พวกข้าเพียงต้องการข้าวของมีราคาในตัวท่านเท่านั้น” หนึ่งในโจรป่าเอ่ยบอก
“ข้าไม่มีสิ่งของใดมีราคาอย่างที่พวกเจ้าต้องการหรอก ยะ...อย่าเข้ามานะ”
หากเป็นผู้อื่นคงยอมมอบทุกอย่างให้พวกโจรไปเพื่อรักษาชีวิตตน หากแต่หลินจื่อเยว่ได้เห็นแววตาของพวกมันแล้วย่อมรู้ว่า สิ่งที่พวกมันต้องการมิได้มีเพียงข้าวของมีราคาเท่านั้น ก็นะ นางเองก็ถือได้ว่าเป็นหญิงงามผู้หนึ่งนี่นา
ในขณะที่กลุ่มโจรเดินเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ หลินจื่อเยว่ซึ่งไร้หนทางให้หนีแล้ว สุดท้ายนางจึงตัดสินใจกระโดดลงไปจากหน้าผาสูงชันลงสู่หุบเหวเบื้องล่างที่มิรู้ว่าด้านล่างนั้นมีสิ่งใดอยู่
‘ท่านอาจารย์ ศิษย์เนรคุณ อยู่ทดแทนบุญคุณท่านอาจารย์มิได้แล้ว โปรดให้อภัยศิษย์ดื้อคนนี้ด้วย ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าขอโทษที่ผิดสัญญาต่อท่าน หากมีโอกาสชาติหน้าข้าจะตามหาท่าน ให้ท่านได้ลงโทษที่ข้าดื้อรั้น มิฟังคำ’
หลินจื่อเยว่รำพึงในใจถึงอาจารย์ ผู้เปรียบดั่งบิดา และศิษย์พี่ใหญ่ผู้เปรียบดั่งพี่ชายคนโต ก่อนที่ดวงตากลมโตค่อย ๆ หลับลงช้า ๆ ปล่อยให้หยาดน้ำตาที่ไหลรินออกมาปลิวไปกับสายลม
ร่างบางกระแทกเข้ากับกิ่งก้านของต้นไม้กิ่งแล้วกิ่งเล่ากระทั่งตกลงบนพื้นดินข้างล่าง ลมหายใจสุดท้ายหมดลงพร้อมกับร่างโปร่งแสงที่ออกมายืนมองร่างตัวเองซึ่งสิ้นลมหายใจไปแล้วด้วยความเสียใจ มิได้เสียใจที่หมดลม หากแต่เสียใจที่ยังมิได้ใช้ความรู้ความสามารถที่มีช่วยเหลือชาวบ้านอย่างเต็มที่ก็เท่านั้น
“ลาก่อน”
เสียงหวานเอ่ยบอกลาก่อนที่ร่างโปร่งแสงจะค่อย ๆ หายไป เหลือเพียงความเงียบที่โอบล้อมไปทั่วบริเวณ ไร้คนเหลียวแลร่างไร้ลมหายใจนี้
หุบเขาเทวะ
“ศิษย์พี่ใหญ่ รอบนี้น้องสิบลงเขาไปหลายวันแล้วนะขอรับ เราจะไม่ตามไปดูหน่อยเหรอ” เจินเฉียงที่เห็นว่าน้องเล็กหายไปร่วมสองวันแล้วก็เริ่มกระวนกระวายอยู่ไม่ติด เดินเข้ามาหาสวีไห่ที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ตรงระเบียง
“ใช้ว่าเจ้าสิบมิเคยหายไปหลายวันเช่นนี้สักหน่อย เจ้าอย่าได้ร้อนใจไปเลยเจ้าห้า”
“แต่ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าเป็นห่วงนางชอบกล ข้าไปตามนางดีหรือไม่”
“ข้าไปด้วยสิ” เฉินรั่วที่เดินเข้ามาสมทบได้ยินเข้าพอดีเลยวิ่งเข้ามาเกาะแขนศิษย์พี่ห้าของเขาด้วยท่าทีกระตือรือร้น
“อยากไปเล่นซนมากกว่าสินะเจ้าเก้า อยู่ที่นี่ดูแลท่านอาจารย์ไปเถอะ ข้าไปเอง”
“ไม่ต้องมีใครไปทั้งนั้นแหละ เดี๋ยวเจ้าสิบก็กลับมา คงแค่อยากออกไปท่องยุทธภพนี้เหมือนเช่นทุกครั้งนั่นแหละ อีกอย่างเจ้าสิบเองก็มีฝีมือ รู้จักเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว อย่าร้อนใจไปเลย อีกอย่างหากพวกเจ้าไปกันหมด แล้วใครจะอยู่ดูแลสำนักเล่า”
เป็นเพราะศิษย์คนอื่น ๆ เองก็แยกย้ายกันออกไปท่องยุทธภพ นาน ๆ ถึงจะกลับมาสักครั้ง หลินจื่อเยว่เองก็ชอบท่องยุทธภพ แม้ว่าจะไม่เคยไปได้ไกลมากนัก เพราะเหล่าศิษย์พี่ไม่ยินยอมด้วยเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ครั้งล่าสุดน้องเล็กของพวกเขาก็ดื้อหนีไปเที่ยวไกลถึงฟากมหาสมุทรหนานไห่ นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้หลินจื่อเยว่รับปากสวีไห่เอาไว้ว่าจะมิออกจากสำนักในช่วงนี้นั่นเอง
สวีไห่มองศิษย์น้องของตนแล้วยกชาขึ้นจิบด้วยท่าทีสบาย ๆ แม้นจะมีความสามารถเห็นกาลล่วงหน้าได้ หากแต่ก็ไม่ได้เก่งกาจที่จะมองเห็นอย่างชัดเจน ที่เขารับรู้มีเพียงหลินจื่อเยว่จะกลับมา ทว่าเป็นเมื่อไหร่นั้นเขาเองก็สุดจะรู้เช่นกัน...
