บทที่1 มันคงเป็นพรหมลิขิต (มั้ง) 2/3
บทที่ 1
หญิงสาวนั่งสะอึกสะอื้นอยู่หน้าห้องน้ำได้ไม่นานก็ต้องเงยหน้าขึ้นเมื่อมีคนส่งผ้าเช็ดหน้ามาให้ เป็นชายร่างสูงโปร่งได้สัดส่วนไม่แพ้นายแบบ ผิวขาวละเอียดราวไข่ปอก ผมดกดำตัดรองทรงเหมือนเคย ใบหน้าเรียวได้รูปไม่เคยเปลี่ยน ปากรูปกระจับอวบอิ่มแดงระเรื่อ จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตากลมโตทอประกายพริบพราวอยู่เสมอยิ่งเสริมให้เขามีเสน่ห์น่าหลงใหล และหากยิ้มขึ้นมาคราวใดก็ไม่ต่างจากไม้ตาย ล่าหัวใจของสาวๆ ไปไว้ในมือได้อย่างง่ายดาย
มองหน้าเขาแล้ว เธอก็ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองอีกครั้ง ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เมื่อเห็นทางรอดของตัวเองแล้ว
คนนี่แหละที่ฟ้าประทานลงมา พระเอกขี่ม้าขาวชัดๆ ไม่คว้าไว้ก็คงโง่เต็มที
“นุ้ย!” ชายหนุ่มเรียกเธออย่างคุ้นเคยแต่เหมือนไม่เชื่อสายตาที่ได้เจอกัน “แกใช่ไหม”
“ใช่ ฉันเอง”
หญิงสาวตอบฉะฉานทุกคำ สายตาที่มองเขาเต็มไปด้วยความหวัง ชายหนุ่มเหมือนจะสัมผัสได้ถึงเค้าลางบางอย่าง คงเป็นรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากร่างของผู้หญิงคนนี้ ถึงได้ผละถอยไปก้าวหนึ่ง เขามองหน้าเธอเหมือนกำลังกลั้นหายใจ
ที่ผ่านมาจะเกิดอะไรขึ้นก็ช่าง เธอไม่สนใจ จะไม่ขุดคุ้ย ไม่ถามถึง ตอนนี้ขอเอาปัจจุบันและอนาคตให้รอดก่อน และ ‘เหยื่อ’ ก็อย่าหวังว่าจะรอดมือไปได้เลย
“แล้วแกก็ไม่ลืมใช่ไหมว่าเรียนจบมาได้เพราะใคร”
เขาไม่พูดแต่พยักหน้า แววตาสบประสานกันอย่างที่เรียกว่ารู้ใจกันดี แม้จะห่างหายกันไปนานแต่หญิงสาวมั่นใจว่าความสนิทสนมไม่ได้จางหาย เจอหน้ากันไม่ถึงสามวินาทีทุกอย่างก็ต่อติดเหมือนเดิม
“งั้นฉันขอทวงบุญคุณร้อยแปดพันประการที่ฉันเคยช่วยแกไว้”
“แกจะเอาอะไร”
“เป็นผัวให้ฉันที”
“หา!”
“ไม่หาแล้ว เอาแกนี่แหละ”
เธอไม่ปล่อยให้เวลาหายใจทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ และคิดว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายใดๆ ให้ผู้ชายที่ถูกลากแขนอยู่นี้ฟังว่าต้องการอะไร ด้วยเชื่อมั่นว่าหากต้องเล่นละครฉากใหญ่ เขาฉลาดมากพอที่จะเล่นตามน้ำได้แน่ๆ แต่ถ้าเกิดโง่ขึ้นมา เธอนี่แหละจะจับกดน้ำให้ตายคามือ
ชายหนุ่มไม่ได้ถามอะไรสักคำ ปล่อยให้เธอลากแขนเดินจ้ำๆ กลับมาที่ห้องรับประทานอาหารแบบเป็นส่วนตัวที่เสี่ยดำเกิงจองไว้เพื่อให้ลูกชายดูตัว
อย่าหวังเลยว่าเธอจะยอมแบกรับภาระนี้ หนี้ที่มีอยู่มันต้องมีทางออกอื่นที่ดีกว่าการเอาเงินค่าสินสอดไปหักล้าง ต้องหาเงินจากทางอื่นให้ได้ เธอจะไม่ยอมขึ้นชื่อว่าเอาตัวเข้าแลกกับเงินก้อนใหญ่นั่นแน่!
“เทมส์!”
พอเห็นว่าเธอพาใครกลับเข้ามาในห้องอาหารที่มีบรรยากาศอย่างกับบ้านชาวจีน พี่สาวของพ่อก็ร้องลั่น นั่นเพราะท่านจำผู้ชายคนนี้ได้
“นั่นเทมส์ใช่ไหม! มาด้วยกันได้ยังไง”
“นุ้ยโทร.เรียกเทมส์ให้มาหาเองค่ะ” หลานสาวรีบปั้นน้ำเป็นตัว แต่งเรื่องแค่นี้เธอถนัดอยู่แล้ว “เรามีเรื่องต้องสารภาพให้พ่อกับป้าฟังค่ะ”
“นี่มันอะไรกันพี่ชาลี” เสี่ยดำเกิงก็ใช่ว่าจะนั่งเฉยๆ หันไปถามพ่อของเธอ “สารภาพอะไร แล้วไอ้หนุ่มนี่เป็นใคร”
“สามีนุ้ยเองค่ะอาดำเกิง”
เงียบอย่างกับป่าช้าเพียงแค่คำนั้นหลุดออกจากปากเธอ จะมีก็แต่นายฐณสเท่านั้นที่ยิ้มขึ้นมาแบบไม่ปรึกษาคนเป็นพ่อที่หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ดีใจอย่างออกนอกหน้าให้รู้ว่าไม่อยากได้เธอเป็นเจ้าสาวเลยสักนิด พ่อของเธอก็ตาเหลือกขึ้นมา ส่วนป้าก็ทำท่าเหมือนจะเป็นลมจน ‘สามี’ ของเธอต้องเข้าไปประคอง คนวัยทองสะบัดหน้าใส่ทันที งอนให้เห็นไม่แพ้สาวรุ่น ขณะที่เสี่ยดำเกิงช็อกตาตั้งไปแล้ว แต่อย่าหวังเลยว่าเธอจะปรานี
“นะ...ไหนว่าหนูนุ้ยยังโสดอยู่ไง” เสี่ยดำเกิงพูดเหมือนจะหายใจไม่ทันแล้วหันไปหาพ่อ “ล้อกันเล่นใช่ไหมพี่ชาลี”
“พ่อไม่รู้เรื่องหรอกค่ะ นุ้ยไม่ได้บอกว่าคบกับเทมส์อยู่” คนปั้นน้ำเป็นตัวใส่ไม่ยั้ง “แล้วนุ้ยก็ไม่รู้ว่าพ่อจะหลอกให้มาดูตัวด้วย นี่เมื่อกี้นุ้ยเพิ่งออกไปโทร.หาเทมส์ พอสามีของนุ้ยรู้เรื่องเข้าก็รีบมาหาเลย”
“อย่ามาล้อเล่นนะนุ้ย กับเจ้าเทมส์นี่พ่อไม่เชื่อหรอก”
เพียงไม่นานพ่อก็จับโกหกเธอได้จังๆ
“แล้วเมื่อกี้นุ้ยไม่ได้โทร.หาใครสักหน่อย แค่พ่อหันหลังให้ไม่ถึงห้านาที จะมาได้ยังไง”
“ผมมากินข้าวร้านนี้พอดีครับ”
“ค่ะๆ เทมส์นัดนุ้ยไว้ด้วย”
แม้จะเพิ่งรู้เรื่องแต่เธอก็ไหลตามน้ำเพื่อเอาตัวรอด อีกอย่างมันไม่แปลกหรอกถ้าจะเจอเขาตามร้านอาหารชื่อดังสักแห่ง แต่เวลานี้อย่าไปสนใจอะไรเลย เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า
“แล้วที่นุ้ยอยากบอกก็คือนุ้ยคบกับเทมส์อยู่ จะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้นค่ะ”
“นุ้ย สารภาพกับพ่อมาเดี๋ยวนี้ว่าโกหก นุ้ยต้องไม่คิดสั้นเอาเจ้าเทมส์นี่แน่ๆ”
“ก็...เพราะอย่างนี้ไงคะ นุ้ยเลยไม่กล้าบอก” ลูกสาวตีหน้าเศร้าแล้วลากเอาเรื่องในอดีตเข้ามาเกี่ยว “นุ้ยกลัวว่าจะโดนห้ามคบกัน แต่ตอนนี้นุ้ยโกหกทุกคนไม่ได้แล้วค่ะ เพราะนุ้ยท้องได้สองเดือนแล้ว”
“ท้อง!”
