บท
ตั้งค่า

แรกเจอ (1/2)

1 ปีที่แล้ว

ซ่าาาา ซ่าาาาา

ทันทีที่ฉันก้าวเท้าลงจากรถเมล์อายุกว่าห้าสิบปี สายฝนก็เทกระหน่ำลงมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย โชคดีที่ฉันพกร่มมาด้วยไม่อย่างนั้นต้องเปียกเป็นลูกหมาตกน้ำแน่ๆ …

“แล้วจะกลับบ้านยังไงเนี่ย?”

เสียงแหบๆ ของคุณยายคนหนึ่งทำให้ฉันชะงักเท้าที่กำลังจะเดินออกจากป้ายรถเมล์แล้วหันไปมองยังต้นเสียง คุณยายหลังค่อมกำลังแหงนหน้ามองท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยสายตาเป็นกังวล มือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยข้าวของพะรุงพะรังจนแทบจะถือไม่ไหว ฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คุณยายทำหน้าเศร้าเข้าไปใหญ่

“โธ่”

“เอ่อ ขอโทษนะคะ” ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปทักท่านก่อนจะยื่นร่มของตัวเองให้ “คุณยายเอาร่มของหนูไปใช้มั้ยคะ?”

“…แล้วหนูจะกลับบ้านยังไงล่ะ?”

“หนูไม่ได้กลับบ้านค่ะ หนูมีงานต้องไปทำต่อ” ฉันส่ายหน้าไปมาพร้อมกับยิ้มบาง “ที่ทำงานของหนูอยู่ไม่ไกล เดินจากป้ายรถเมล์ไปอีกนิดเดียวก็ถึงแล้วค่ะ”

“แต่…”

“หนูช่วยถือของนะคะ” ไม่รอให้คุณยายได้ปฏิเสธ ฉันรีบกางร่มแล้วประคองหลังของคุณยายเอาไว้ก่อนจะพาท่านเดินไปส่งยังรถเมล์ซึ่งเคลื่อนมาจอดเทียบท่าพอดี

“กว่าฝนจะหยุดตกก็คงอีกสักชั่วโมงนึง คุณยายพกร่มเอาไว้เถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา” ฉันรีบยัดร่มคันเล็กใส่มือคุณยายแล้วรีบวิ่งออกมาจากรถเมล์เพื่อเปิดทางให้ผู้โดยสารคนอื่น เสียงของหญิงชราตะโกนไล่หลังมา มันอิดโรยแต่เต็มไปด้วยความจริงใจจนฉันหลุดยิ้มออกมา

“ขอบคุณนะคนสวย ขอให้หนูมีความสุขมากๆ นะ!”

แหม หนูมีความสุขเพราะคำว่า ‘คนสวย’ ของคุณยายนี่แหละค่ะ~

ซ่าาาา

ตายล่ะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามายืนซาบซึ้งนี่นา ฉันต้องรีบไปที่ร้านแล้ว ถ้าเจอพี่ลินในสภาพเปียกปอนแบบนี้มีหวังโดนดุแหง…

ฟุ่บ

“…พะ พี่ลิน”

พูดไม่ทันขาดคำ

ฉันเงยหน้ามองร่มสีดำสนิทก่อนจะมองเลยไปยังด้านหลัง หญิงสาวใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาที่จุติลงมาจากสวรรค์กำลังยืนส่งสายตาพิฆาตมาให้ฉันจนฉันรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว

ฮือออ จากเดิมที่หนาวเพราะเปียกฝนอยู่แล้ว พอมาเจอพี่ลินก็ยิ่งหนาวเข้าไปอีกอ่ะ ทำไมถึงมองน้องแบบน้านนน

“เอ่อ สวัสดีค่ะพี่ลิน” เมื่อเห็นว่าพี่ลินเอาแต่เงียบ ฉันจึงทักทายเธอด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักก่อนจะหันไปทักทายบอร์ดีการ์ดร่างโตที่ยืนกางร่มให้พี่ลินอีกที

“สวัสดีค่ะ คุณโจเซฟ”

“….”

….

ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก

อ่า ฉันชินกับความตายด้านเหมือนซากศพของโจเซฟแล้วล่ะ เขาไม่หือไม่อือกับอะไรหรือใครทั้งสิ้น ขนาดทำงานอยู่ท่ามกลางผู้หญิงเซ็กซี่ๆ มากมายก็ยังไม่สะทกสะท้าน ฉันคิดว่าโจเซฟเหมาะกับคำว่าพูดน้อยต่อยหนักจริงๆ ไม่ได้เว่อร์นะ ฉันเคยเห็นเขาต่อยคนมาแล้ว ผู้โชคร้ายคนนั้นเกือบไปเฝ้ายมบาลเลยล่ะ

“แล้วน้องข้าวปั้นล่ะคะ?”

“ข้าวปั้นไปรอในร้านแล้ว ตอนแรกพี่ก็กะจะเข้าร้านพร้อมข้าวปั้นนั่นแหละ แต่เผอิญว่าพี่เห็นเด็กที่ไหนไม่รู้วิ่งตากฝนอยู่ข้างถนนทั้งๆ ที่เสื้อนักศึกษาก็บางและไม่ได้เซฟอะไรเลย พี่ทนไม่ได้ก็เลยต้องลงจากรถมากางร่มให้น่ะ”

“….”

หลังจากที่ฟังพี่ลินพูดประโยคเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแล้ว ฉันบอกเลยว่า…เละแน่นอน T___T

นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะท่านผู้ชม พี่ลินยังมีบทสวดโหดๆ กว่านี้อีกเยอะ ดังนั้นฉันจึงต้องรีบหยุดยั้งเธอก่อนที่ตัวเองจะกระอักเลือดตาย

“หนูขอโทษค่ะพี่ลิน”

ไม้ตายของฉันคือการขอโทษพร้อมกับทำหน้าเศร้าเหมือนน้องหมาหิวข้าว ใช่ ขอโทษทั้งๆ ที่ไม่ได้ผิดนั่นแหละ และพี่ลินก็รู้ดีว่าฉันไม่ได้ผิดอะไร

“เฮ้อออออ”

ตามสเตป พี่ลินถอนหายใจแล้ว

“จะขอโทษทำไม รุ้งไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย” พี่ลินวางมือลงบนกลางศีรษะของฉันก่อนจะพูดต่อ “ที่พี่พูดเพราะเป็นห่วงรุ้งนะ รุ้งทำเพื่อคนอื่นมากเกินไป คนที่รุ้งควรจะใส่ใจมากที่สุดคือตัวเองต่างหาก”

“หนูรู้ค่ะพี่ลิน แต่เมื่อกี้คุณยายเขาไม่มีร่ม แถมยังถือของพะรุงพะรังอีก คุณยายแก่แล้ว ถ้าตากฝนอาจจะป่วยหนักจนถึงขั้นเสียชีวิตได้นะคะ ถ้าเทียบกับวัยรุ่นอย่างหนูแล้ว หนูว่าหนูน่าจะป่วยน้อยกว่าคุณยายค่ะ”

“เฮ้อ พี่ล่ะเหนื่อยกับความใจดีเกินเหตุของรุ้งจริงๆ” พี่ลินส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอาก่อนจะประคองไหล่ฉันแล้วลูบต้นแขนเบาๆ

“ป่ะ ไปคุยกันในร้านก่อนจะเราจะป่วยขึ้นมาจริงๆ ดีกว่า”

“พี่ลินหายโกรธหนูแล้วใช่มั้ยคะ?” ฉันพูดพร้อมกับกะพริบตาปริบๆ สามที

“พี่เคยโกรธรุ้งลงที่ไหนล่ะ เข้าร้านได้แล้ว!” พี่ลินพูดเสียงดุก่อนจะจูงมือพาฉันเดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ ซึ่งเป็นทางลัดสู่ประตูหลังรัาน และเมื่อเห็นว่าเธอมีท่าทีอ่อนลงแล้ว ฉันก็ลอบยิ้มให้กับความสำเร็จของตัวเองเบาๆ

พี่ลินใจดีที่สุดเลยย >___<

“เดี๋ยวรุ้งไปอาบน้ำสระผมให้เรียบร้อยนะ พี่บอกให้คนเตรียมชุดไว้ในห้องแต่งตัวแล้ว”

“โอเคค่ะ” ฉันพยักหน้าหงึกหงัก

“งั้นพี่ไปดูข้าวปั้นก่อนนะ ถ้าทำอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รออยู่ในห้องพักก่อนก็ได้ ถ้ามีแขกเดี๋ยวพี่ส่งคนมาตามเอง”

“รับทราบ!”

“ไม่ต้องรีบล่ะ เพราะยังไงรุ้งก็คงไม่มีแขกอยู่แล้ว”

“โห่ พี่ลินอ่ะ!”

ฉันทำหน้ามุ่ยเมื่อได้ยินประโยคกึ่งแซะกึ่งหยอกล้อของอีกฝ่าย พี่ลินเดินออกจากห้องไปพร้อมด้วยเสียงหัวเราะที่ดังกังวานราวกับระฆังแก้ว ส่วนฉันก็เดินไปอาบน้ำอาบท่าตามอัธยาศัย

สถานที่ที่เป็นเหมือนกับบ้านหลังที่สองแห่งนี้คือ The angel’ s paradise ผับชื่อดังของประเทศ แต่ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถจะเข้ามาใช้บริการที่นี่ได้นะ เขาหรือเธอคนนั้นจะต้องมีเงินและชื่อเสียงในระดับหนึ่งด้วย อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีแบล็กการ์ดหรือเงินติดบัญชีสักหนึ่งล้านมาก โดยจะต้องโชว์ทรัพย์สินต่อพนักงานต้อนรับก่อนถึงจะสามารถผ่านประตูเข้ามาได้ ซึ่งพอเข้ามาก็จะทั้งโซนธรรมดาและโซนสำหรับวีไอพี แขกที่ต้องการความเป็นส่วนตัวก็จะต้องจ่ายเงินเพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อเลือกโซนวีไพอี ถึงจะฟังดูยุ่งยากและฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ แต่คนจำนวนมากก็ยอมเสียเงินเพื่อความสุขเพียงชั่วค่ำคืนอยู่ดี

ซึ่งก็ตามชื่อผับ ‘The angel’ s paradise’ คือศูนย์รวมของเหล่านางฟ้าแสนสวยที่พร้อมจะบริการลูกค้าทุกระดับให้ประทับใจ ดังนั้นลูกค้าส่วนมากจึงเป็นผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีผู้หญิงเลยซะทีเดียว เพราะ The angel’ s paradise ก็ยังเปิดโซนสำหรับเต้น ดื่ม กินโดยไม่ต้องสนใจเหล่านางฟ้าด้วย ก็ถือว่ารายได้ของเราก็มาจากทั้งผู้หญิงและผู้ชายนั่นแหละ เพียงแต่ว่าผู้ชายจะเปย์นางฟ้ามากกว่าเท่านั้นเอง

และเจ้าของสถานที่เลิศหรูอลังการแบบนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นลลินดา อัศวเอื้อสุนทร หรือ ‘พี่ลิน’ นั่นเอง เธอคือผู้หญิงหัวสมัยใหม่ที่มีความคิดก้าวไกล สามารถทำเงินได้จากกิจการเป็นกอบเป็นกำตั้งแต่ยังอายุไม่ถึงสามสิบ พี่ลินเก่งอ่ะ!

ใช่ค่ะ ฉันอวยพี่ลิน แต่จะไม่ให้ฉันอวยได้ยังไง ก็พี่เขาทั้งสวย รวย เก่งแบบนี้ ฉันเพิ่งเข้ามาทำงานกับพี่ลินได้หนึ่งปีก็รักพี่เขาเหมือนเป็นพี่สาวแท้ๆ แล้ว พี่ลินใจดีกับฉันมาก ให้ฉันทุกอย่างราวกับนางฟ้ามาโปรดสัตว์ก็ไม่ปาน

พูดมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะสงสัยแล้วล่ะสิว่าฉันมีหน้าที่อะไรใน The angel’ s paradise คำตอบก็คือ…ฉันเป็นหนึ่งในนางฟ้าแสนสวยค่ะ แต่เป็นก็เหมือนไม่ได้เป็น เนื่องด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างทำให้ฉันไม่ค่อยมีลูกค้า ไม่ใช่ไม่ค่อยมีสิ ‘ไม่มี’ เลยต่างหาก

“อ้าว น้องรุ้งมาแล้วเหรอ?”

ทันทีที่ฉันออกมาจากห้องน้ำ ฉันก็พบกับนางฟ้าคนอื่นๆ ที่เริ่มมาถึงร้านกันแล้ว พวกเธอกำลังแต่งหน้าแต่งตัวกันขวักไขว่ ฉันไม่อยากรบกวนช่วงเวลายุ่งๆ ของพวกเธอจึงทำเพียงแค่พยักหน้าแล้วเดินไปนั่งประจำโต๊ะเครื่องแป้งประจำตัว ฉันไม่ได้จะแต่งองค์ทรงเครื่องอะไรหรอก เพราะวันนี้หน้าที่ของฉันคือ ‘บาร์เทนเดอร์’ น่ะ

ก็อย่างที่บอกไปว่าฉันไม่มีลูกค้าเลย การที่ฉันไม่ได้สร้างเม็ดเงินให้ผับแต่ยังได้เงินเดือนเท่ากับพนักงานคนอื่นๆ มันทำให้ฉันรู้สึกผิดมาก ฉันก็เลยอยากหาอะไรที่เป็นประโยชน์ทำ สุดท้ายก็จับพลัดจับผลูมาเป็นบาร์เทนเดอร์มือฉมังนี่แหละ

ฉันชงเหล้าเก่งที่สุดในผับเลยนะ ไม่อยากจะอวด/เอานิ้วปาดจมูก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel