เอไลจาห์ หวัง (1/2)
“สรุปเธอชื่ออะไร?”
ฉันก็อยากจะปกปิดตัวตนที่แท้จริงต่ออยู่หรอกนะ แต่ว่า…
“ทอรุ้งค่ะ”
…ชีวิตต้องมาก่อน
“แล้วทำไมไม่บอกชื่อจริงๆ ตั้งแต่แรก?”
“คือปกติหนูใช้ชื่อนี้รับแขกน่ะค่ะ”
“รับแขก?” เขาหัวเราะในลำคอ คิ้วหนาเลิ่กขึ้นข้างหนึ่ง “ฉันเห็นอันดับของเธอในบิลบอร์ด เธออยู่อันดับสุดท้ายมาเกือบหนึ่งปีแล้วนี่”
“ใช่ค่ะ แต่หนูก็ยังใช้ชื่อนี้อยู่ดี” ฉันตอบเสียงเรียบก่อนจะวางมือลงบนหลังมือใหญ่ ช้อนสายตาหวานเยิ้มขึ้นมองใบหน้าหล่อ “คุณคือลูกค้าคนแรกในรอบเกือบหนึ่งปีของหนูเลยล่ะ ขอบคุณนะคะ~”
งานของนางฟ้าคือการเอนเตอร์เทนแขก และฉันไม่เคยลืมหน้าที่ตรงส่วนนั้น ฉันต้องงัดสกิลออดอ้อนออเซาะออกมาให้ได้มากที่สุด!
“งั้นเธอก็ต้องบริการฉันดีหน่อยแล้วล่ะ” เขายกมือขึ้นลูบผมของฉันเบาๆ และการกระทำนั้นก็ทำให้ฉันอึ้งกิมกี่
อะไรเนี่ย ยังไม่ทันรู้จักกันเลย ทำไมจู่ๆ เขาถึงได้แสดงท่าทีอ่อนโยนขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยล่ะ!?
“ไม่ต้องห่วงค่ะ หนูจะทำให้คุณมีความสุขจนลืมคืนนี้ไม่ลงเลย” แต่ถึงจะประหม่ามากแค่ไหน ฉันก็ยังคงเล่นบทนางฟ้าได้อย่างมืออาชีพ เข้าไปกอดแขนแกร่งพร้อมกับโยกตัวไปมา อย่างน้อยๆ ฉันก็ต้องทำเงินเข้าผับบ้าง จะให้พี่ลินอับอายไม่ได้เด็ดขาด
“หึ เก่งให้ได้อย่างที่ปากพูดก็แล้วกัน”
แปลกแฮะ เขาไม่สะทกสะท้านกับรอยยิ้มของฉันเลยอ่ะ ฉันว่าฉันก็สวยในระดับหนึ่งนะ หรือเพราะว่าฉันไม่ได้แต่งหน้าและคอสตูมก็เป็นทักซิโด้แมนๆ คุยกัน เขาถึงได้นิ่งเป็นภูเขาน้ำแข็งแบบนี้…
…ต้องใช่แน่ๆ ไม่มีทางที่เขาจะไม่หลงเสน่ห์นางฟ้าแสนสวยอย่างฉันหรอก
“คุณรู้ชื่อของหนูแล้ว หนูอยากรู้ชื่อของคุณบ้างค่ะ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าสุดหล่อชื่ออะไรคะ?” ฉันเกยคางบนไหล่ของเขาพร้อมกับอมลมเข้าปากจนแก้มป่อง คาดหวังว่าเขาจะแสดงความรู้สึกเคลิบเคลิ้มออกมาทางสีหน้าบ้าง
“ฮะๆ”
เอ่อ ถึงจะผิดคาดไปนิด แต่ฉันจะถือซะว่าเสียงหัวเราะน่าขนลุกของเขาคือสัญญาณที่ดีก็แล้วกัน
คนอะไร…แผ่รังสีอำมหิตออกมาได้ตลอดเวลา
“ฉันชื่อเอไลจาห์ หวัง”
ขนาดชื่อยังแสดงถึงความยิ่งใหญ่เลยอ่ะ!
“เป็นลูกครึ่งเหรอคะ?”
“ฉันจำเป็นต้องบอกเธอ?”
“อ่า ขอโทษค่ะ” ฉันก้มหน้างุด
นี่มันเป็นการเสียมารยาทมาก ฉันไม่ควรอยากรู้เรื่องส่วนตัวของลูกค้า ปากพาซวยอีกแล้วสิทอรุ้ง T^T
“แล้ว…คุณอยากให้หนูเรียกคุณว่าอะไรล่ะคะ?” ฉันรีบกอบกู้สถานการณ์ด้วยการหันไปชงเหล้าแล้วส่งให้เอไลจาห์ และเขาก็รับมันไปถือไว้ทันที
“เรียกว่าเสี่ยไลดีมั้ยคะ?”
“ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก” เอไลจาห์แทบจะพ่นน้ำสีอำพันออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน ดวงตาสีรัตติกาลมองฉันอย่างเอ็นดู “เรียกฉันว่าคุณไลก็ได้”
“ค่ะ คุณไล” ฉันพยักหน้าหงึกหงัก พยายามทำตัวให้กระตือรือร้นที่สุด
“….”
“….”
พอการแนะนำตัวจบลง ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เอไลจาห์เอาแต่จ้องหน้าฉันด้วยดวงตาคมดุจใบมีด ฉันไม่รู้ว่าเขาทำหน้าแบบไหนยามที่มองฉันเพราะสายตาของฉันกำลังจดจ้องอยู่กับมือที่ถูไปมาของตัวเอง ฉันประหม่าเกินกว่าจะสบตากับเขาตรงๆ สถานการณ์ในตอนนี้น่าอึดอัดยิ่งกว่าตอนทำงานวันแรกซะอีก
“เอ่อ เหล้าแก้วนี้หนูไม่คิดราคานะคะ”
“หืม?”
“คือแก้วที่คุณไลดื่มอยู่น่ะค่ะ ปกติมันต้องคิดราคาเข้าไปในบิลด้วย แต่พอดีว่าหนูเป็นคนอยากชงให้คุณไลเอง คุณไลไม่ได้รีเควส เพราะงั้นแก้วนี้ถือเป็นแก้วฟรีค่ะ”
“เหรอ?” เอไลจาห์เท้าแขนลงบนพนักโซฟาก่อนจะยกยิ้มมุมปาก “ขอบใจนะ”
“…คุณไลอยากให้หนูทำอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ?”
“อย่างเช่นอะไรล่ะ?”
“นี่ค่ะ” วิญญาณสาวนักขายเข้าสิงฉันทันที ฉันรีบหยิบเมนูบนโต๊ะกระจกขึ้นมากางให้เอไลจาห์ดูพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
“ปกติเมนูที่ลูกค้าชอบเลือกก็มีร้องคาราโอเกะ ชงเหล้า เพื่อนคุย นั่งตัก ถ้าคุณไลอยากให้หนูทำอะไร คุณไลสามารถรีเควสได้เลยค่ะ”
“แล้วถ้าฉันอยากรีเควสอย่างอื่นที่ไม่ได้อยู่ในเมนูนี้ล่ะ”
เอาแล้วไง
“ได้ค่ะ แต่หนูจะเป็นคนกำหนดราคาเองนะคะ” ถ้าเอไลจาห์พูดแบบนี้ มีโอกาสสูงมากที่เขาจะปฏิเสธฉันหลังจากที่รู้ราคาแล้ว เหตุการณ์มันคงจะซ้ำรอยเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย และฉันก็คงจะต้องถูกตราหน้าว่าเป็น ‘นางฟ้าขี้เหนียว’ อีกแน่
เฮ้อ คิดว่าจะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้แล้วเชียว U___U
“แล้วฉันเป็นคนเสนอราคาก่อนได้รึเปล่า?”
“ได้ค่ะ แต่หนูมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธราคานะคะ”
“โอเค” เอไลจาห์พยักหน้า เขายกมือขึ้นลูบคางตัวเองพร้อมกับมองฉันตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า “ไหนลอง…”
“???”
“…ทำให้ฉันหัวเราะหน่อยสิ”
“…คะ?”
เป็นรีเควสที่ไม่เคยและไม่คาดคิดว่าจะได้รับจากลูกค้าผู้ชายมาก่อน ความรู้สึกต่างๆ ตีกันให้วุ่นในสมองของฉัน แต่ที่เด่นชัดที่สุดคือ ‘งง’
ฉันงงมาก งงแบบ…ง๊งงง
“คือคุณไลจะให้หนูทำอะไรนะคะ?”
“ทำให้ฉันหัวเราะ”
“….”
“ถ้าเธอทำได้ ฉันให้เธอหนึ่งแสนบาทเลย”
“….”
“ไม่พอใจราคาเหรอ? ฉันให้มากกว่านี้ก็ได้นะ”
“ปละ เปล่าค่ะ หนึ่งแสนบาทก็มากเกินพอแล้ว” จำนวนเงินที่เขาเสนอมากกว่าราคาจูบของฉันอีก หนึ่งแสนบาทแลกกับการทำให้เขาหัวเราะเนี่ยนะ…เอไลจาห์ หวังเป็นคนสติไม่ดีเหรอ?
“แค่หนูทำให้คุณหัวเราะได้ หนูก็ได้เงินหนึ่งแสนเลยเหรอคะ?” ฉันถามย้ำอีกครั้ง ขมวดคิ้วเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นโบว์อยู่รอมร่อ
“ใช่ แค่นั้นเลย”
“….”
“หรือเธอไม่อยากได้เงิน?”
“ยะ อยากสิคะ!”
“งั้นก็เริ่มเลย” เอไลจาห์เอนหลังพิงพนัก ยกขาขึ้นไขว่ห้างด้วยท่าทางสบายๆ ดวงตาสีรัตติกาลมองฉันเหมือนอยากรู้ว่าฉันจะทำยังไงต่อไป
ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าควรทำยังไง ใครก็ได้ตอบฉันที~
“….”
เฮ้อ คิดจนหัวสมองระเบิดก็ยังคิดไม่ออก งั้นก็ไม่ต้องคิดมันเลยละกัน!
จึก
บัดนี้ ปลายนิ้วชี้ของฉันได้จิ้มเข้าไปที่เอวแข็งๆ ของเอไลจาห์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย เอไลจาห์กอดอกพร้อมกับเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ทำอะไร?”
“…คุณไม่บ้าจี้เหรอคะ?”
เขายักไหล่
จึก
ฉันลองทำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นจี้เอวทั้งสองข้างแทน
“นี่แหนะ!”
“….”
“หัวเราะสักนิดก็ได้นะคะ ฉันไม่ถือ” สายตาของอีกฝ่ายทำให้ฉันหน้าแดงแจ๋ โอ๊ยย นี่ฉันทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย น่าอายชะมัด!
“หึ เธอนี่ตลกดี”
“นั่นไง! หัวเราะแล้ว!!” ฉันลืมสถานะพนักงานกับลูกค้าไปชั่วขณะ ใช้นิ้วชี้ใบหน้าหล่อเหลาพร้อมกับยิ้มร่า
“คุณหัวเราะแล้ว!!”
“นี่ไม่ได้เรียกว่าหัวเราะสักหน่อย” เอไลจาห์ส่ายหน้าไปมาเหมือนเอือมระอา “หัวเราะจริงๆ มันต้องแบบนี้ต่างหาก”
“คะ?”
จึก
“…อ๊ะ!”
