ตอนที่ 3 งานเลี้ยงหน้ากากและคำเตือนครั้งสุดท้าย
ตอนที่ 3
งานเลี้ยงหน้ากากและคำเตือนครั้งสุดท้าย
งานเลี้ยงใส่หน้ากากได้รับการตอบรับจากแขกที่มาพักในโรงแรมแทบทุกคน สถานที่จัดงานที่สวยงามยิ่งทำให้คนที่ร่วมงานรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ครองขวัญที่ตอนนี้สวมชุดราตรีสไตล์กรีกสีชมพูกลีบบัวโชว์เรียวแขนสวยๆนั่งจิบน้ำพั้นซ์อยู่ที่มุมหนึ่งของสวนกลางโรงแรมที่ใช้เป็นสถานที่จัดงาน พลางถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย ดวงตาของเธอมองไปยังตะเกียงที่แขวนอยู่ตรงทางเดิน เมื่อเห็นว่าเปลวไฟที่อยู่ในตะเกียงดับลงเธอเลยบอกพนักงานของโรงแรม พร้อมทั้งอาสาเป็นคนไปจุดมันด้วยตัวเองแก้เบื่อ อย่างน้อยก็ดีกว่าการนั่งเฉยๆ
ภาพของหญิงสาวกำลังจุดตะเกียงแขวนทำให้ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่สวมหน้ากากขนนกมองด้วยสายตาที่ชื่นชม หญิงสาวที่กำลังจุดตะเกียงคนนี้ดูสวยงามราวกับเทพธิดา ท่อนแขนของเธอกลมกลึง รูปร่างก็อ้อนแอ้นอรชรน่าสัมผัส หญิงสาวที่อยู่รายล้อมรอบตัวเขาดูด้อยไปทันทีเมื่อเทียบกับเธอ และถึงแม้จะสวมหน้ากากเพื่ออำพรางใบหน้า แต่ก็พอจะรู้ว่าภายใต้หน้ากากมีความงามซ่อนอยู่
“หากข้าคือแอรีสเทพแห่งสงครามผู้ยิ่งใหญ่แล้ว เจ้าก็คืออโฟรไดท์ เทพแห่งความงามเป็นแน่” เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังทำให้หญิงสาวหันกลับมามองที่ต้นเสียง รูปร่างสูงใหญ่และเต็มไปด้วยมัดกล้ามของอีกฝ่ายนั้นทำให้เธอเม้มปากยิ่งเมื่อเห็นแววตาสีฟ้าสดใสยิ่งแน่ใจ ผู้ชายคนนี้คือคนที่เคยหาเรื่องเธอมาก่อน
“ขอโทษนะคะ คุณพูดกับฉันเหรอ”
“ใช่”
“คุณบอกว่าฉันเป็นอโฟรไดท์ใช่ไหม”
“ใช่”
“ท่าทางคงชมผู้หญิงมาหลายคนแล้วสิคะ” หญิงสาวถามต่อ
“อาจจะเคยชมหลายคน แต่พวกนางไม่ได้มีลำแขนที่กลมกลึงแบบเจ้า และผิวของพวกนางไม่ได้เนียนละเอียดเหมือนผิวของเจ้า แม้มือของเจ้าจะสัมผัสแล้วหยาบไปหน่อย แต่หากเมื่อเทียบกับผิวกายแล้วมันชดเชยกันได้ ผิวของผู้หญิงบางคนหยาบและกร้านไม่น่าสัมผัส” ครองขวัญเบี่ยงตัวหลบตกใจเมื่ออยู่ก็ถูกผู้ชายตรงหน้าจู่โจมลวนลามแบบถึงเนื้อถึงตัว
“ที่ผิวหยาบและกร้านอาจจะเป็นเพราะพวกเธอต้องทำงานตากแดดตากฝน และที่มือของฉันหยาบไม่นุ่มนวลก็เพราะฉันทำงานเหมือนกัน”
“เสียงของเจ้ากว่าหวานกว่านกไนติงเกล ”
“เสียงของฉันหวานหรือคะ”
“ใช่ โดยรวมแล้วเจ้างดงามราวกับอโฟรไดท์และเหมาะสมกับข้าซึ่งก็คือแอรีส” ครองขวัญถอนหายใจออกมาเมื่อรู้สึกว่าคนตรงหน้าพูดจาเหมือนพระเอกละครจักรๆวงค์ๆกำลังเกี้ยวสาว
“ขอบคุณนะคะที่คิดว่าฉันเป็นเทพีแห่งความงาม และแทนตัวเองว่าเป็นเทพเจ้าป่าเถื่อนที่ชื่อแอรีสแต่เทพเจ้าและเทพีที่คุณเปรียบเทียบเป็นชู้กันมันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้อง ฉันไม่ต้องการมีความสัมพันธ์แบบเทพสององค์นั้นค่ะ เท่าที่ทราบทั้งสองมั่วโลกีย์พอๆกัน ไม่ใช่เรื่องที่น่าชื่นชม องค์หนึ่งนอกใจสามีส่วนอีกองค์ร้ายกว่าเพราะเป็นชู้กับน้องสะใภ้ตัวเองด้วย ฉันไม่อยากเป็นเทพีของเทพที่มั่วโลกีย์มากขนาดนั้นค่ะ” คำตอบของหญิงสาวตรงหน้าได้สร้างประกายของความโกรธให้กับเจ้าของดวงตาสีฟ้าสวยในทันทีทันใด
“มันเป็นเรื่องของความรัก เจ้าคงจะยังไม่รู้ว่ารักนั้นยากที่จะหักใจ” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น เพื่อแก้ต่างให้กับผู้ที่ถูกกล่าวหา ครองขวัญยิ้มพร้อมส่ายหน้าช้าๆเพื่อแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเธอไม่เห็นด้วย
“คำว่ารักจนยากจะหักใจ มันเป็นคำแก้ตัวของพวกที่รักสนุกไปวันๆและเป็นข้ออ้างของพวกที่เห็นแก่ตัว ชีวิตของเทพองค์นั้นเดินไปตามทางของความใคร่มากกว่าความรัก”
“เจ้าไม่ควรว่าเทพเจ้านะแม่สาวน้อย”
“เทพเจ้าที่ดีฉันก็นับถือค่ะ แต่ถ้าเทพเจ้าทำตัวแย่ๆ เราก็มีสิทธิ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์นี่คะ”
“เจ้าวิจารณ์เขาด้วยอคติ”
“ฉันอ่านเรื่องราวของเขามามากจะว่าไปเทพที่อยู่บนโอลิมปัสก็ดูแปลกๆทั้งนั้น จะมีที่ดีหน่อยก็ เทพีอาเธน่าแล้วก็อพอลโล่ อาร์ทิมิสอีกองค์มั้งคะที่ดูปกติ” บุรุษผู้ที่มีรูปร่างงดงามเม้มปากเมื่อเธอเอ่ยชมเทพและเทพีที่เขาไม่ชอบเลยสักนิดแค่ได้ยินชื่อก็พาลคลื่นไส้แล้ว
“เทพและเทพีพวกนั้นไม่เห็นจะน่าสนใจ”
“ท่าทางคุณจะชอบเทพป่าเถื่อนแบบแอรีสมากนะคะ”
“เขาเป็นเทพที่น่าสนใจไม่ใช่รึ บรรดาสตรีหลายคนบนโลกมนุษย์ชอบเขา” น้ำเสียงนั้นแสงดออกถึงความมั่นใจของผู้ที่กำลังพูด
“ผู้ชายแนวแบดบอยสำหรับฉันแล้วควรอยู่ให้ไกลค่ะ”
“เจ้าไม่ชอบความท้าทายเหรอ ถ้าทำให้เขาประทับใจและรักเจ้าได้ถือว่าคุ้ม” ชายหนุ่มถามพร้อมทั้งขยับตัวมาใกล้หญิงสาวมากขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเธอมันน่าสนใจ ครองขวัญส่ายหน้าและเบี่ยงตัวหลบอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำเหมือนจะลวนลาม
“ฉันไม่ชอบความเสี่ยง และดิฉันคิดว่าคุณควรจะกลับขึ้นไปพักที่ห้องพักจะดีกว่า ท่าทางคุณเมา”
“ข้าไม่ได้เมา ไวน์ของโลกมนุษย์ไม่สามารถทำให้ข้าเมาได้หรอก”
“ไม่มีคนเมาที่ไหนยอมรับว่าตัวเองเมา”
“ เจ้าไม่ชอบแอรีสจริงๆหรือ”
“เขาไม่มีอะไรให้น่าชื่นชมเลย เป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม แต่ก็แพ้ทุกรอบ เป็นตัวอย่างของพวกที่ใช้อารมณ์มากกว่าสมอง” หญิงสาวตัดสินใจถอดหน้ากากออกเมื่อพูดจบ ชายหนุ่มรูปงามนิ่งไปเล็กน้อย ริมฝีปากได้รูปเม้มเข้าหากันเมื่อรู้ว่าตัวเองพลาดไปชมผู้หญิงปากร้ายที่ยืนจ้องหน้าตนอยู่ในตอนนี้ คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะจำแม่คนปากดีคนนี้ไม่ได้
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่สนคำเตือนเรื่องไม่ควรลบหลู่ เทพเจ้าของข้าเลยนะ”
“ฉันไม่เชื่อเรื่องเทพเจ้า และต่อให้มีจริงก็คงไม่มีเทพองค์ไหนอุตริลงมาเดินเล่นบนโลกมนุษย์ อยู่ที่วิมานของตัวเองก็ดูจะสบายจนไม่ต้องทำอะไรแล้ว”
“บางทีอาจจะมีเทพลงมาเที่ยวเล่นที่โลกมนุษย์และเจ้าอาจะกำลังคุยกับเทพเจ้าอยู่ก็เป็นได้นะ”
“คุณจะบอกว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าหรือคะ” ครองขวัญถามกลับ
“ถ้าข้าบอกว่าใช่ล่ะ” คำถามนั้นทำให้หญิงสาวหัวเราะออกมา “หัวเราะอะไร”
“ขำค่ะ”
“ขำอะไร”
“ก็คุณไม่ใช่เทพแต่พยายามทำตัวเหมือนเป็นเทพไง เมื่อตอนกลางวันที่เราเถียงกันดูเหมือนว่าคุณจะพูดจาแบบคนปกติแต่ตอนนี้คุณพูดเหมือนกับว่าตัวเองเป็นเทพเจ้าใช้คำแปลก”
“ใช่ เมื่อตอนกลางวันเราเถียงกัน และข้าเตือนไปแล้วว่าไม่ควรลบหลู่เทพเจ้า”
“ฉันไม่ได้ลบหลู่ ฉันก็แค่พูดในสิ่งที่ฉันคิดก็เท่านั้นเอง”
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งหากเจ้าเอ่ยคำว่าขอโทษออกมา ข้าเชื่อว่าเทพเจ้าแห่งสงครามคงจะไม่เอาเรื่อง”
“ทำไมฉันจะต้องขอโทษรูปปั้นที่ไร้จิตวิญญาณด้วย การที่คุณเชื่อเรื่องเทพเจ้าไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องเชื่อเหมือนคุณนะคะ” ครองขวัญปฏิเสธที่จะขอโทษและทำท่าจะเดินหนีเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง
“เจ้าไม่สำนึกจริงๆ”
“คุณเมาแล้วค่ะ และกรุณาหลีกทางด้วย”
“ข้าไม่ได้เมา บอกแล้วไงว่าไวน์ของโลกมนุษย์ไม่สามารถทำอะไรเทพเจ้าได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอร้องให้เทพเจ้าช่วยหลีกทางมนุษย์แบบฉันด้วย” ครองขวัญพยายามทำใจให้เย็นเพราะไม่อยากด่าใครกลางงานปาร์ตี้
“มนุษย์น้อยปากดี เอาเถอะ ข้าจะยอมหลีกทางให้เจ้าได้สังสรรค์ในงานเลี้ยงนี้จนพอใจเสียก่อนจากนั้นค่อยจัดการ”
“คุณพูดเหมือนกับนักฆ่าผู้ใจบุญที่อยากให้นักโทษมีความสุขก่อนที่จะถูกลงโทษ” ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
“ข้าใจดีเสมอ”
“เอาเถอะค่ะ เมาแล้วก็เป็นเทพได้ แต่ถ้าสร่างเมื่อไหร่ก็กลับมาเป็นผู้ชายขี้วีนคนนั้นเหมือนเดิม”
“เจ้าด่าข้า”
“แค่บอกถึงนิสัยของคุณเท่านั้นเพราะถ้าด่า มันจะไม่มีคำว่าคะ หรือค่ะ ตามหลังแน่นอน” พูดจบแล้วหญิงสาวก็เดินจากไปโดยที่ไม่สนใจเขาอีก ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่เดินเข้าไปปะปนกับผู้คนที่มาร่วมงานเลี้ยงด้วยสายตาวาวโรจน์
“เอาเถอะ สนุกให้พอแม่มนุษย์น้อย แต่พอพ้นคืนนี้ไปเจ้าจะได้สำนึกถึงความผิดของตัวเอง”
ครองขวัญบิดกายไปมาก่อนที่จะลืมตาช้าๆ คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันเมื่อเพดานห้องพักนั้นดูต่างออกไปสีของมันไม่ได้เป็นสีครีมแบบเดิม แต่กลับกลายเป็นสีขาวสะอาดตา หญิงสาวกระพริบตาติดๆกันสองสามครั้งเพราะคิดว่าอาจจะเพิ่งตื่นเลยทำให้สายตาพร่ามัว แต่ทว่าเมื่อมองอีกครั้งมันก็ยังเหมือนเดิม หญิงสาวลุกขึ้นมานั่งและมองไปรอบๆ สักพักก็เบิกตากว้างเพราะมันไม่ใช่ห้องพักของตัวเอง และเมื่อมองไปที่ข้อเท้า เธอต้องตกใจอีกครั้งมีโซ่ทองเส้นเล็กๆขนาดเท่าทองสองสลึงคล้องอยู่ ต้นทางมันอยู่ที่ข้อเท้าซ้าย แต่ส่วนปลายทางกลับมองไม่เห็นว่ามันอยู่ตรงจุดใด เหมือนว่าโซ่เส้นนี้ผูกอยู่กับบางอย่างที่ไม่สามารถมองเห็นได้ หญิงสาวสำรวจตัวเองและก็มีเรื่องที่น่าตกใจมากขึ้นกว่าเดิมเสื้อผ้าที่สวมอยู่มันไม่ใช่ชุดนอนที่ใส่เป็นประจำ ชุดที่สวมใส่ตอนนี้เหมือนกับการเอาผ้ามาพันรอบตัวมากกว่า ครองขวัญพยายามจะลุกเดินแต่ทว่าก้าวได้เพียงแค่สองก้าวเท่านั้น เพราะโซ่ที่พันธนาการข้อเท้าไว้มันตึงจนไม่สามารถขยับได้
“ตื่นแล้วเหรอมนุษย์น้อย” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำให้ครองขวัญหันขวับไปมองเจ้าของเสียงด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร เขาคือผู้ชายที่เธอคุยด้วยเมื่อคืน การแต่งกายของอีกฝ่ายนั้นต่างไปจากที่เคยเห็น ตอนนี้ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ตรงหน้าแต่งตัวแนวกรีกโบราณ ชุดที่สวมเป็นชุดสีงาช้างมีเสื้อเกราะสวมทับเป็นชั้นนอก บริเวณศีรษะถูกตาดด้วยบางอย่างที่คล้ายมงกุฎทองคำรูปใบมะกอก
“คุณ คุณเล่นอะไร”
“พูดจาไม่น่ารักเหมือนเดิมเลยนะ”
“ฉันแต่งตัวแบบนี้ได้อย่างไร คุณเปลี่ยนให้เหรอ” เทพเจ้าหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ
“ข้าไม่ได้เปลี่ยน แต่ให้บรรดานางไม้เปลี่ยนให้ ชุดของเจ้า น่าเกลียด” ครองขวัญเม้มปากเมื่อถูกต่อว่า
“มันเรื่องของฉัน คุณจะมายุ่งอะไรกับเรื่องเครื่องแต่งตัวของชาวบ้าน”
“ข้าต้องยุ่งเพราะที่นี่คือวิมานของข้าดังนั้นเจ้าก็ต้องแต่งตัวให้ข้าพอใจ”
“คุณลักพาตัวฉันมาทำไม”
“พูดแบบนั้นก็ไม่ถูก ข้าไม่ได้ลักพาตัวเจ้ามา ข้าแค่พาเจ้ามาด้วยเฉยๆ”
“ทำแบบนี้มันผิดกฎหมายนะคุณ การลักพาตัวคือคดีอาญา ถ้าคุณยอมปล่อยฉันไปฉันจะไม่เอาเรื่อง แต่ถ้าคุณไม่ปล่อย ฉันจะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากคุณเอาให้หมดตัวเลย” ครองขวัญเริ่มขู่ พยายามที่จะตั้งสติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ดูเหมือนคนที่ถูกขู่นั้นจะไม่สนใจ
“กฎหมายของมนุษย์ไม่สามารถทำอะไรข้าได้ ที่นี่มีแต่กฎของข้าเท่านั้น”
“ที่นี่ที่ไหน”
“วิมานของข้า เธรซ” หญิงสาวกระพริบตาปริบๆ
“วิมานอะไรของคุณ พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง แล้วพาฉันมาทำไม”
“พามาทำไมอย่างนั้นเหรอ” เขาผู้นั้นเอ่ยทวนคำถามด้วยท่าทางที่ยียวน “พามาเพื่อลงโทษ”
“คุณจะมาลงโทษฉันเรื่องอะไร”
“เจ้าลบหลู่ข้า”
“ลบหลู่อะไร”
“เจ้าลบหลู่และหยามเกียรติข้าต่อหน้าทุกคน ข้าเตือนเจ้าแล้วแต่เจ้าไม่เชื่อ ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ควรทำให้เทพเจ้าโกรธ”
“คุณจะบอกว่าตัวเองเป็นมาร์ส เป็นแอรีสอย่างนั้นเหรอ”
“เรียกสักชื่อก็พอ”
“ที่นี่เป็นวิมานของเทพเจ้า และคุณก็คือเทพเจ้าเหรอ”
“ใช่”
“บ้าไปแล้วคุณนี่ท่าจะชอบดูหนังจักรๆวงศ์ๆนะถึงได้เพี้ยน เทพเจ้าอะไรไร้สาระ” เทพเจ้าแห่งสงครามเม้มปากเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมเชื่อ จะลงโทษด้วยการสาปก็ไม่ได้เพราะมนุษย์น้อยผู้นี้สวมเครื่องรางนัยน์ตาปิศาจอยู่ และที่สำคัญเธอเคยขอพรกับมัน ตอนนี้เครื่องรางกำลังทำหน้าที่ของตัวเองแบบไม่ขาดตกบกพร่องเสียด้วย
“ถ้าเจ้าไม่ขอพรจากนัยน์ตาปิศาจไว้แล้วล่ะก็ข้าจะสาปให้เจ้าพูดไม่ได้ไปสองวัน”
“เลิกเล่นมุกได้แล้ว พาฉันกลับแล้วจะไม่เอาเรื่องตกลงไหม”
“เจ้าก็ไปเองสิ” เทพหนุ่มพูดแบบไม่ใยดี ท่าทางที่แสนจะยียวนนั้นทำให้ครองขวัญเม้มปาก หญิงสาวตัดสินใจเดินหนีมา แต่ก็ไปได้ไม่ไกลเนื่องจากโซ่ทองเส้นเล็กที่ข้อเท้านั้นรั้งอยู่ และเมื่อมองไปข้างล่าง เธอก็ต้องยกมือปิดปากของตัวเองเพราะตกใจ ตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่บนเมฆก้อนใหญ่และข้างล้างคือท้องฟ้าที่มีเพียงความว่างเปล่าและเวิ้งว้าง
“อะไรกัน”
“ข้าบอกแล้วว่าที่นี่คือวิมานของข้า ความจริงเจ้าสามารถก้าวออกจากปุยเมฆนี้ได้นะ แต่เจ้าจะไม่สามารถกลับไปยังโลกมนุษย์ได้ถ้าข้าไม่อนุญาต”
“ไม่ว่าคุณจะเป็นเทพเจ้าหรือเป็นอะไรก็ตามแต่คุณจะมาทำแบบนี้กับฉันไม่ได้ ฉันมีงานที่ต้องทำ ถ้าฉันหายไปทุกคนจะต้องเป็นห่วงดีไม่ดีฉันจะถูกไล่ออกจากงาน” เทพเจ้าหนุ่มรูปงามยิ้มบางๆที่มุมปาก
“ไม่ต้องห่วง เพราะข้าได้ลบความทรงจำเรื่องของเจ้าไปจากคนที่รู้จักทั้งหมดแล้ว ต่อให้เจ้ากลับไปได้ก็จะไม่มีตัวตนให้ใครได้พบเห็น” หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งด้วยความอ่อนแรงทั้งตกใจทั้งงง ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาเจอกับเรื่องบ้าๆแบบนี้
