บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4 หญิงรับใช้คนใหม่

ตอนที่ 4

หญิงรับใช้คนใหม่

เมื่อได้เห็นเต็มตาครองขวัญก็พบว่าสถานที่ๆเรียกว่าวิมานเทพเจ้าที่อยู่ตรงหน้าคือสถานที่ๆสวยงามมาก มีสวนที่ดอกไม้บานอยู่ตลอดเวลา มีน้ำพุกลางสวนสวยและภายในตัววิมานที่ใช้เป็นสถานที่พักผ่อนก็เป็นวังขนาดใหญ่ทำด้วยหินอ่อนสีชมพู ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในวิมานดูสวยงามไปหมดยกเว้นผู้ติดตามทั้งสองตนของเทพเจ้าขี้เก็กเท่านั้น หน้าตาพวกเขาดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่นัก ผู้ติดตามของแอรีสคือเดมอส ที่หมายความว่าความกลัว กับ โฟบอส ที่หมายความว่าน่าสยองขวัญจะว่าไปทั้งสองก็น่าตาน่ากลัวสมชื่อ

“ทั้งสองเป็นลูกของคุณเหรอ” ครองขวัญเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ เทพเจ้าหนุ่มถึงกับถอนหายใจตำนานที่มนุษย์เขียนขึ้นมาชอบโยงให้บริวารทั้งสองเป็นลูกที่เกิดจากเขากับน้องสาวเสียได้ เรื่องนี้สร้างความหงุดหงิดให้มากพอสมควรเลยทีเดียว

“ข้าเกลียดไอ้พวกตำนานที่มนุษย์นิสัยเสียเขียนขึ้นเหลือเกิน ข้าอาจจะมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวไปทั่วแต่ข้าไม่เคยมีอะไรกับน้องสาวตัวเอง ตำนานพวกนั้นเหลวไหลทั้งเพ”

“แต่เป็นชู้กับน้องสะใภ้เป็นเรื่องจริงใช่ไหม” ครองขวัญพูดต่อให้ทำเอาเทพเจ้าแห่งสงครามหันกลับมามองคนพูดตาเขียว

“ถ้าไม่อยากเดือดร้อนมากกว่านี้หุบปาก ข้าเกลียดจริงๆพวกมนุษย์ปากเสีย”

“ถ้าเกลียดก็พาฉันกลับไปยังที่ของฉันสิ ทีนี้คุณก็จะได้ไม่ต้องมานั่งบ่นนั่งเกลียด”

“เจ้าควรแทนตัวเองว่าหม่อมฉัน หรือไม่ก็ข้าน้อย และเรียกแทนตัวข้าว่านายท่าน” เทพเจ้าหนุ่มแนะนำ

“ไม่ชิน”

“พอจะรู้อยู่บ้างว่าเจ้าเป็นพวกหัวดื้อ และข้าจำเป็นที่จะต้องปราบเจ้าให้อยู่หมัด”

“เป็นเทพก็ควรอยู่ส่วนเทพจะมาวุ่นวายกับมนุษย์ทำไม นี่แสดงว่าหนังสือที่ฉันอ่านมาเป็นเรื่องจริง”

“หนังสืออะไร”

“พวกนิยายไง นิยายที่มีเทพเจ้ามาเกี่ยวด้วย แสดงว่าพวกเทพเจ้าชอบมาเที่ยวเตร่และหว่านเสน่ห์ใส่มนุษย์ผู้หญิงที่ถูกใจจากนั้นก็ทิ้งภาระมากมายไว้ให้พวกเธอเห็นแก่ตัวที่สุด”

“เจ้าน่าจะสงบปากสงบคำ สภาพตอนนี้ของเจ้านั้นเป็นเพียงแค่หญิงรับใช้ ดังนั้นไม่ควรที่จะพูดจาไม่ดีกับข้าซึ่งตอนนี้เป็นนายเหนือชีวิต”

“สำหรับฉันคุณก็เหมือนพวกโจรเรียกค่าไถ่นั่นแหละ”

“ปากดีจริงๆ เอาหล่ะเพื่อตอบแทนความปากดีของเจ้า เจ้าต้องทำหน้าที่นี้”

“หน้าที่อะไร”

“เจ้าเห็นดอกไม้ที่ร่วงหล่นอยู่ทั่วพื้นนี่ไหม”

“เห็น”

“เก็บกวาดมัน และห้ามกวาดรวมกันเป็นอันขาด เจ้าต้องแยกดอกไม้แต่ละชนิดออกจากกันด้วยกันเข้าใจไหม” ครองขวัญเม้มปากแน่นเมื่อรู้ถึงสิ่งที่ตนเองต้องทำ

“คุณให้ฉันแยกดอกไม้เหรอ”

“ใช่”

“จะบ้าหรือไง ดอกไม้บนพื้นมันมีตั้งหลายชนิด จะแยกอย่างไร”

“ก็กวาดมารวมกันแล้วแยกสิถามโง่ๆ”

“จะเอาดอกไม้ไปทำอะไร”

“เอาไปทิ้ง” ครองขวัญเม้มปากอีกครั้งเมื่อรู้คำตอบ

“แกล้งกันนี่”

“ใช่”

“ฉันไม่ทำ”

“ถ้าไม่ทำจะถูกลงโทษ” เทพเจ้าหนุ่มขู่เมื่อเห็นว่าเชลยสาวมีท่าทางไม่ยอม

“ลงโทษ”

“ใช่ ข้าจะให้เดมอส กับ โฟบอสจับเจ้าโยนลงบ่อน้ำแห่งอสรพิษ” แอรีสพูดพร้อมทั้งพาเชลยตัวแสบมาหยุดที่หน้าบ่อน้ำแห่งหนึ่งเมื่อมองลงไปเธอก็เห็นงูอยู่เต็มไปหมด หญิงสาวเกาะแขนเขาแน่นเพราะเริ่มกลัว

“งูทั้งนั้นเลย งูพวกนี้ คุณเลี้ยงไว้กินเหรอ แบบดีงูผสมเหล้าขาว ผัดเผ็ดงูเห่า กินเลือดงู” คำถามนั้นทำเอาผู้ฟังถึงกับไปต่อไม่ถูก

“เจ้าคิดได้อย่างไร จริงอยู่โลกมนุษย์มีคนที่กินของพวกนี้ แต่ข้าไม่ใช่ ข้าเลี้ยงอสรพิษเอาไว้เพื่อให้พวกมันลงโทษผู้ที่บังอาจล่วงเกินเทพผู้งดงามแบบข้าต่างหาก” ครองขวัญเงยหน้าและมองสบตาเขาเล็กน้อยเริ่มกลัวเมื่อเห็นว่าแววตาของอีกฝ่ายเอาจริง “จะทำงานที่ข้าสั่งไหม”

“คุณไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธเลย”

“เชิญคุณลงทัณฑ์บัญชา จนสมอุราจนสาแก่ใจ ไม่มีวันที่ฉันจะร้องให้ ร่ำไรเพราะฉันมิใช่หญิงเจ้าน้ำตา ...” ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ ครองขวัญก็ตัดสินใจร้องเพลงเสียงดังๆเสียเลย เพื่อระบายความเจ็บใจ เลือกเพลงจำเลยรักนี่แหละเหมาะที่สุด เพราะตอนนี้เธอเป็นจำเลย แต่ไม่ใช่จำเลยรัก ทว่าเป็นจำเลยของเทพปัญญาอ่อนที่หาเรื่องมนุษย์ไม่มีทางสู้

เสียงเพลงที่ดังลอยเข้ามายังห้องโถงใหญ่ทำให้เทพแห่งสงครามปวดหัวเป็นที่สุด เพราะนอกจากเสียงจะแย่แล้วยังร้องได้โหยหวนจนน่าเวียนหัว เนื้อหาของเพลงนั้นก็ช่างยียวนกวนโทสะแท้ๆ เทพหนุ่มรู้ดีว่าแม่เชลยสาวตัวแสบนั้นจงใจร้องเพื่อด่าเขาโดยเฉพาะ

“ เดมอส ไปบอกให้นางเชลยของข้าหยุดโรงโหยหวนเสียที ข้าปวดหัว” เทพหนุ่มเอ่ยสั่งบริวารและโบกมือไล่เมื่อสั่งจบ เดมอสเดินตรงไปยังสวนสวยที่ตั้งอยู่กลางตำหนักของเทพแห่งสงครามและมองหญิงสาวที่กำลังนั่งแยกชนิดของดอกไม้ก่อนที่จะยกมือขึ้นปิดหูของตัวเองเมื่ออีกฝ่ายยังคงตะโกนร้องเพลงไม่หยุด

“นางมนุษย์น้อย เจ้าทำงานเงียบๆได้ไหม ท่านแอรีสไม่ชอบเสียงเพลงของเจ้า” ครองขวัญหันมาสบตาผู้ที่พูดกับเธอเล็กน้อยตอนนี้เธอไม่กลัวรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายแล้ว จะว่าไปหน้าตาของเดมอสก็ไม่ได้น่ากลัวมากนักหน้าเขาคล้ายกับตุ๊กตาชัคกี้ แต่หุ่นเหมือนกับพวกนักกล้ามตัวใหญ่ๆแต่ถ้าคนเจอในที่มืดอาจจะกลัวได้ ส่วนโฟบอสก็ไม่ต่างกันนักแต่หน้าตาจะเหมือนเฟรดดี้ ครูเกอร์ ในภาพยนตร์เรื่องนิ้วเขมือบ หนังผีที่เธอดูแล้วรู้สึกว่าไร้สาระ

“อะไรกันนอกจากจะใช้เหมือนทาสแล้วเจ้านายของคุณยังจะให้ฉันหยุดร้องเพลงรู้ไหมว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่พอจะทำให้ฉันคลายความเศร้า ใจร้ายที่สุด” หญิงสาวทำหน้าเศร้า สมุนของเทพแห่งสงครามเถียงไม่ออกเมื่อถูกย้อน นางมนุษย์ผู้นี้ไม่เหมือนมนุษย์คนอื่นที่เคยพบมาเลยสักคน พวกมนุษย์ต่างพากันหวาดกลัวเมื่อเห็นใบหน้าของเขาแต่นางผู้นี้ไม่

“ข้าก็เห็นใจเจ้านะ แต่ว่าเจ้านายข้าไม่ชอบเพลงที่เจ้าร้อง และบอกตรงๆเสียงเจ้ามันทรมานหู ข้าเองถึงแม้จะชอบเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ยามบาดเจ็บ แต่เสียงของเจ้านั้นมันเหมือนเสียงนกเวลาคุยกันเป็นฝูง มันทั้งดังทั้งน่ารำคาญ ฟังไปนานๆแล้วมันแสบหูปวดหัว ถ้าอยากร้องก็ร้องให้มันเบาๆหน่อย”

“แต่”

“ถ้าไม่อยากถูกโยนลงบ่ออสูรกายเจ้าควรทำให้ท่านแอรีสพอใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เข้าใจไหม”

“ที่นี่เป็นสถานที่สวยงามมากนะ มันมีบ่ออสูรกายด้วยเหรอฉันนึกว่ามีแต่บ่ออสรพิษ”

“มี และแน่นอนว่ามันมีไว้เพื่อลงโทษบรรดาเชลยหรือผู้ที่สร้างความไม่พอใจให้ท่าน บ่อสูรกายน่ากลัวว่าบ่ออสรพิษ”

“ท่านเทพของคุณนี่เข้าขั้นโรคจิตนะ นอกจากบ่ออสรพิษยังมีบ่ออสูรกายอีก” ถึงจะกลัวแต่เพราะความปากไวเลยโต้ตอบไปแบบอดไม่ได้

“นางมนุษย์น้อยเจ้าไม่ควรกล่าวหาท่านเสียๆหายๆ ท่านถูกมนุษย์ใจร้ายสร้างความเสื่อมเสียให้มากพอแล้ว เจ้าไม่ควรซ้ำเติมอีก และถ้าเจ้ารู้จักท่านดีกว่านี้เจ้าจะรู้ว่าบทกวีที่อ่านนั้นล้วนแล้วแต่เป็นการป้ายสีให้เสื่อมเสีย”

“เจ้าค่ะ”

“ดีมาก ข้าไปหล่ะ ทำงานให้เสร็จไวๆด้วย” ครองขวัญถอนหายใจออกมาอยากจะบ้าตายนึกแค้นใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย แต่อย่างไรก็ตามเธอจะต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้

การแยกดอกไม้แต่ละชนิดออกจากกันไม่ใช่งานที่ง่ายนักเพราะดอกไม้มีจำนวนมาก แถมบางช่วงยังมีลมพัดมาทำให้บางส่วนที่แยกแล้วปลิวมาปะปนกันส่วนที่ยังไม่ได้แยก แต่ด้วยความพยายามงานที่ถูกบังคับให้ทำด้วยความไม่เต็มใจก็ประสบความสำเร็จลงได้ในที่สุด ดวงตาคู่หวานเหลืบมองท้องฟ้าที่อยู่ตรงหน้า ตอนนี้จากสีฟ้าสดใสได้กลายมาเป็นสีส้มที่เข้มจัด เนื่องจากใกล้เวลาที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า ดวงตาคู่หวานเบิกกว้างเมื่อคิดอะไรบางอย่างออก บางทีถ้าโชคเข้าข้าง เธออาจจะเป็นอิสระ ครองขวัญเพ่งมองท้องฟ้าร่วม 20 นาที และเธอก็เห็นบางอย่าง

เทพบุตรหนุ่มในชุดสีขาวพุ่งทยานตัวอย่างสง่างาม ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสียามตามหลังของเขา มีเทพสตรีผู้สวมเสื้อผ้าแบบกรีกโบราณสีงาช้างกำลังแจกจ่ายความมืดให้กระจายทั่วท้องฟ้าตามหลังมาอีกต่อหนึ่ง แววตาของหญิงสาวชาวมนุษย์วาวโรจน์ด้วยความดีใจ ครองขวัญลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและพยายามจะวิ่งไปยังลานน้ำพุกลางสวน เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ใกล้จะมาถึง จากนั้นก็ตะโกนสุดเสียง

“นั่นอพอลโล่ อาร์ทิมิสใช่ไหม ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่ะ ฉันถูกเทพเจ้าบ้าจับตัวมา พาฉันกลับไปยังโลกมนุษย์ด้วย” หญิงสาวพยายามที่จะตะโกนให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทว่ากลับไม่ได้รับความสนใจจากทั้งคู่เลยนอกจากไม่สนใจแล้วยังไม่มองอีกต่างหาก ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเมื่อเห็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามมายืนอยู่ตรงหน้า รู้แล้วว่าผู้ที่ทำให้เสียงของเธอหายไปคือใคร

“ไร้ประโยชน์ ไม่มีเทพหน้าไหนกล้าเข้ามาวุ่นวายที่นี้ เพราะข้าไม่อนุญาต” ดวงตาคมมองหญิงสาวที่ยืนทำปากคว่ำแถมยังส่งสายตาที่เต็มไปด้วยการด่าทอมาที่ตนแล้วยิ้ม

“พูดได้แล้ว เสียงเจ้ามาแล้ว”

“ทำแบบนี้ได้ไง คุณจงใจทำให้เสียงฉันหาย ไหนว่าสาปไม่ได้ไง”

“ข้าไม่ได้สาปอะไรเลย แต่เมื่ออยู่ที่นี่เจ้าไม่สามารถตะโกนให้ผู้ใดช่วยได้หรอก ที่นี่เป็นวิมานเก็บเสียงชั้นดี”

“คุณมันร้ายกาจ ถือตัวว่าเป็นเทพเจ้าแล้วคิดจะรังแกมนุษย์อย่างไรก็ได้งั้นเหรอ เทพเจ้าบ้าอะไรไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย” เทพแห่งสงครามปรายตามองหญิงสาวที่กำลังต่อว่าเขาเล็กน้อย

“ข้าเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม และเทพเจ้าแห่งสงครามไม่จำเป็นต้องมีความเป็นสุภาพบุรุษ” ครองขวัญย่นจมูกใส่เมื่อฟังเหตุผลที่แสนจะไม่เข้าท่าของอีกฝ่ายจบ “งานของเจ้าเสร็จแล้วรึ”

“เสร็จแล้ว” แอรีสไม่ได้พูดอะไรต่อ สิ่งที่เขาทำคือเดินไปยังจุดที่ให้ครองขวัญทำงาน ผลงานของเธอสร้างความแปลกใจให้พอสมควรเพราะไม่คิดว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆจะทำได้

“ทำได้ดี เอาเป็นว่าเจ้าไปพักได้”

“พักเหรอ”

“ใช่ ข้าเป็นเจ้านายที่ใจดีกับทาสเชลยเสมอ”

“ทาสเชลย” หญิงสาวทวนคำด้วยความเจ็บใจเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายมองว่าเธอเป็นเพียงแค่ทาสเท่านั้น “เป็นทาสว่าแย่แล้วยังเป็นเชลยอีก

“ตามข้ามา” เทพหนุ่มเดินนำหน้าไปเมื่อพูดจบ หญิงสาวชาวมนุษย์เม้มปาก อยากจะหนีแต่ก็ทำไม่ได้ เลยต้องยอมเดินตามไปแบบจำใจ

ห้องพักที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ครองขวัญถึงกับเบิกตากว้าง สิ่งที่คิดเอาไว้คือตัวเองอาจจะได้นอนในห้องที่มืดและเหม็นอับ แถมเต็มไปด้วยความน่ากลัว แต่ทว่าทุกอย่างตรงข้าม สิ่งที่ได้เห็นคือห้องนอนที่เหมือนกับห้องนอนในพระราชวังแวร์ซาย ภายในห้องมีเตียงสี่เสา และมีแนวรั้วกั้นบริเวณเตียงกับส่วนอื่นของห้อง ทั้งเฟอร์นิเจอร์และของใช้ภายในล้วนเป็นสีครีมทั้งสิ้น มันหรูหรา สะอาดตามากเสียจนไม่กล้าที่จะสัมผัส

“ถึงเจ้าจะมองว่าข้าเป็นเทพเจ้าที่ไม่ได้เรื่อง แต่สำหรับข้าแล้ว บรรดาคนรับใช้ ทาส หรือเชลย ข้าดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีเสมอ เพราะต้องทำงานหนักดังนั้นที่หลับที่นอนจึงควรสบายที่สุด และนี่คือห้องของเจ้า” แอรีสหันมาพูด หญิงสาวยืนนิ่ง สายตาและท่าทางของเธอดูตกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าราวกับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน

“ทำไมทำหน้าเหมือนไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ไม่ชอบเหรอ” หญิงสาวผู้ตกเป็นเชลยกระพริบตาติดๆกันเมื่อได้สติ

“คุณจะให้ฉันนอนที่ห้องนี้จริงๆเหรอ”

“ใช่ พวกคนรับใช้ ทาส เชลยของข้าก็นอนห้องแบบนี้ทั้งนั้น ”

“มันหรูมาก นี่มันหรูกว่าห้องบรรทมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ในพระราชวังแวร์ซายอีก”

“มันก็แค่ห้องเล็กๆห้องหนึ่งในวิมานนี้เท่านั้นไม่ได้สวยงามเหมือนห้องนอนของข้าหรอก”

“ห้องนี้ใหญ่กว่าคอนโดที่ฉันซื้อไว้เสียอีก ห้องนี้ห้องเดียวมันเท่ากับห้องของฉันสามสี่ห้องเลยนะ” เทพเจ้าหนุ่มไหวไหล่เล็กน้อย

“ข้าใจดีกับบริวารเสมอ”

“ถ้าใจดีจริงก็ปล่อยฉันกลับไปสิ” คำขอนั้นได้รับการปฏิเสธแทบจะทันทีด้วยการส่ายหน้า

“เจ้าต้องอยู่เพื่อชดเชยความผิดที่ทำปากดีกับข้าเสียก่อน เจ้าด่าข้าเสียๆหายๆ หลายต่อหลายครั้ง แถมเมื่อสักครู่ยังคิดหนี ข้าถือว่าเจ้าทำผิดต่อข้ามาก ดังนั้นเจ้าต้องรับผิดชอบโดยการอยู่เป็นทาสรับใช้สักพักใหญ่ๆ” ครองขวัญเม้มปากแน่น

“น่าเกลียดที่สุด”

“ข้าขอเตือนอย่าพยายามคิดหนี เพราะเจ้าไม่มีทางหนีข้าพ้น เป็นมนุษย์อย่าริอาจท้าทายเทพเจ้า”

“เทพเจ้าคงว่างงานมากถึงได้หาเรื่องมนุษย์ไปทั่ว”

“หยุดปากเสียได้แล้วนางมนุษย์น้อย เจ้าต้องรู้จักสงบปากสงบคำมากกว่านี้ หัดทำตัวให้น่ารักข้าจะได้เอ็นดูและยกโทษให้เจ้าเร็วขึ้น” ครองขวัญเม้มปาก

“ฉันเคารพผู้ที่ควรเคารพ คนที่จิตใจ นิสัยดี มันน่าเคารพมากกว่าเทพเจ้าไบโพล่า”

“ครองขวัญ”

“รู้จักชื่นฉันได้ไง”

“อย่าลืมว่าข้าเป็นเทพเจ้า เจ้าอาจจะโชคดีที่เครื่องรางนัยน์ตาปิศาจปกป้องและคุ้มครองเรื่องไม่ให้มีใครสาปเจ้าได้ แต่มันไม่ได้ปกป้องเจ้าเรื่องที่จะถูกทำร้ายร่างกายนะ ดังนั้นอย่าบังคับให้ข้าต้องทำในสิ่งที่บุรุษไม่ควรทำ”

“คุณทำไปแล้ว ถึงคุณจะไม่ได้ทำร้ายร่างกาย ไม่ได้ตบตีฉัน แต่คุณทำร้ายจิตใจฉันการกักขังหน่วงเหนี่ยวและจำกัดอิสรภาพเป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครก็ไม่ควรพบเจอ” เทพหนุ่มส่ายหน้าช้าๆไม่เห็นด้วยนัก

“ถ้าเจ้าคิดว่าสิ่งที่ตัวเจ้าเจอคือการทำร้ายจิตใจแปลว่าเจ้ายังไม่เคยเจอเรื่องที่หนักหาสาหัสกว่านี้ เจ้าไม่รู้ หรอกว่า การถูกทำร้ายจิตใจจริงๆนั้นมันเลวร้ายแค่ไหน” เทพเจ้าหนุ่มเดินจากไปเมื่อพูดจบ ทิ้งให้ให้หญิงสาวชาวมนุษย์ยืนงงอยู่เพียงลำพัง

“ทำราวกับว่าตัวเองถูกทำร้ายจิตใจมาสาหัสอย่างนั้นแหละ” ครองขวัญเอ่ยออกมาเบาๆและเริ่มสำรวจห้องนอนของตนใจเวลาต่อมา

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel