บทที่ 3 การจากลา
ตอนที่ ๓
การจากลา
เสียงประตูหน้าบ้านปิดลงเบา ๆ พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ ใกล้เข้ามา เด็กสาวในชุดนอนเดินมาด้วยท่าทางงัวเงีย ดวงตาปรือ ๆ ที่เพิ่งลืมจากห้วงนิทราสะดุดกับแสงไฟหน้าบ้านที่ยังเปิดสว่างอยู่
"คุณยาย?" หนึ่งปรารถนาเรียกเสียงแผ่วทันทีที่เห็นเงาร่างสูงโปร่งของผู้หญิงคนเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยเสมอ
นพมาศหันไปตามเสียง แล้วแขนสองข้างของเธอก็เปิดออกอย่างไม่ลังเล เด็กสาวโผเข้ากอดอย่างโหยหา น้ำตาที่เคยกลั้นไว้ในยามคุยโทรศัพท์ก็ไหลพรากอีกครั้งเมื่อได้สัมผัสถึงอ้อมกอดอันอบอุ่นจริง ๆ
"ยาย หนูคิดถึงยาย หนูไม่ไหวแล้ว..." หนึ่งปรารถนาเปล่งเสียงสะอื้น ขณะที่ใบหน้าแนบอยู่กับไหล่ของหญิงชรา
"ไม่ต้องพูดอะไรแล้วลูก ยายมารับหนูไปอยู่ด้วย หนูจะไม่ต้องอยู่ตรงนี้อีกแล้ว" เสียงของนพมาศมั่นคงและหนักแน่น
"ยายจะพาหนูไปเหรอ?"
"ใช่ลูก ไปเริ่มต้นใหม่ ไปในที่ที่ไม่มีใครทำให้หนูรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน ยายจะอยู่ข้างหนูเอง"
ก้องภพยืนมองภาพเบื้องหน้าด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เขาอาจเคยรักลูกสาวคนนี้ เคยบอกกับตัวเองว่าจะเป็นพ่อที่ดี แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความรักก็ถูกกลบด้วยความเห็นแก่ตัว ความต้องการของตนเหนือสิ่งอื่นใด
เจนจิราทำเพียงยืนกอดอกมองด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เธอไม่เข้าใจว่าเด็กคนนี้สำคัญอะไรนักหนา และยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้หญิงแก่ ๆ คนนั้นถึงทำให้ก้องภพลังเลได้ขนาดนี้
"คุณแม่ครับ ผม"
"อย่าเรียกฉันว่าคุณแม่" นพมาศหันมาตัดบทเสียงเรียบ เย็นยะเยือกจนคนฟังแทบสะท้าน "คำว่าแม่มีไว้สำหรับคนที่รู้จักคำว่า ‘รับผิดชอบ’ และ ‘เสียสละ’"
เธอจับมือหนึ่งปรารถนาแน่น "ไปเถอะลูก ยายรออยู่ที่รถแล้ว เก็บของแค่ที่จำเป็น ไม่ต้องเสียดายอะไรที่นี่"
หนึ่งปรารถนาพยักหน้าทั้งน้ำตา เธอเดินกลับเข้าไปในบ้านเป็นครั้งสุดท้าย ภาพห้องนอนที่เคยเป็นที่พักใจกลับกลายเป็นกรงขัง รอยยิ้มของเจนจิรา เสียงตำหนิเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เพิ่มขึ้นทุกวันจนกลายเป็นความกดดัน ทุกอย่างกำลังจะจบลง...
สิบห้านาทีต่อมา รถยนต์คันหรูค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากบ้านหลังนั้น ทิ้งไว้เพียงแสงไฟสลัวกับความว่างเปล่าในหัวใจของชายคนหนึ่งที่เพิ่งรู้ตัวว่า... เขาอาจสูญเสียสมบัติที่มีค่าที่สุดไปแล้ว
เสียงเครื่องยนต์ดับลงหน้าบ้านทรงไทยประยุกต์หลังใหญ่กลางย่านสุขุมวิท เช้าตรู่ของกรุงเทพมหานครยังไม่อึกทึกจอแจนัก ลมเย็นจากร่มไม้ใหญ่หน้าเรือนกระทบใบหน้าอ่อนล้าของหนึ่งปรารถนา ราวกับต้อนรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่
“มาถึงบ้านยายแล้วลูก” นพมาศกล่าวพลางเปิดประตูรถ ก่อนจะหันมายิ้มบาง ๆ ให้หลานสาวที่นั่งเงียบมาตลอดทาง
หนึ่งปรารถนาพยักหน้าเบา ๆ เธอรู้สึกทั้งกลัวและโล่งใจในเวลาเดียวกัน กลัวอนาคตที่ไม่แน่นอน แต่ก็โล่งใจที่อย่างน้อยวันนี้เธอไม่ต้องอดทนอยู่ในบ้านที่ไม่เคยให้ความรักแก่เธออีกต่อไป
บ้านของนพมาศไม่ใช่เพียงแค่หลังใหญ่ มีพนักงานบริการหรือตกแต่งด้วยของหรูหราเท่านั้น แต่บรรยากาศในบ้านกลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด ทุกห้องเต็มไปด้วยกลิ่นของชีวิตและความใส่ใจ เสียงนกร้อง เสียงลมพัดใบไม้ และกลิ่นหอมอ่อนของดอกมะลิจากแจกันในห้องรับแขก ทำให้หัวใจของเด็กสาวค่อย ๆ คลายตัวลง
"ยายให้เขาจัดห้องไว้ให้นานแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะได้ใช้เร็วขนาดนี้" นพมาศพูดขณะพาหลานเดินขึ้นบันไดไม้สักอย่างมั่นคง
ห้องนอนที่เตรียมไว้สำหรับหนึ่งปรารถนาอยู่ฝั่งตะวันออกของบ้าน แสงอ่อนยามเช้าส่องลอดผ่านผ้าม่านบาง ๆ ทำให้ห้องนอนขนาดพอเหมาะดูอบอุ่นและปลอดภัย
“ถ้ามีอะไรไม่ถูกใจก็บอกยายได้นะลูก ยายอยากให้หนูสบายใจที่สุด” นพมาศลูบผมของหนึ่งปรารถนาเบา ๆ
“ขอบคุณนะคะยาย หนู...ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้” น้ำเสียงของหนึ่งปรารถนาเต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นที่เก็บมานาน
“ชีวิตเรายังไม่จบตรงบ้านหลังนั้นหรอกลูก ทุกคนมีสิทธิ์จะมีความสุข หนูยังเด็ก ยังมีโอกาสอีกมากมาย”
วันต่อมา หนึ่งปรารถนาได้เริ่มต้นใช้ชีวิตแบบที่เธอไม่เคยคิดว่าจะมี วันธรรมดาในบ้านนพมาศคือการตื่นเช้าด้วยเสียงระฆังลม กินอาหารเช้าร่วมกับยายและพนักงานที่ดูแลบ้านราวกับครอบครัวเดียวกัน จากนั้นนพมาศพาเธอไปเดินดูโรงเรียนที่จะย้ายเข้าไปเรียน และพาไปพบกับครูสอนเปียโนตัวต่อตัวที่นัดไว้ให้
“ยาย หนูจะเรียนเปียโนเหรอคะ?” หนึ่งปรารถนาถามเสียงแผ่ว
“ยายเคยได้ยินแม่หนูพูดว่าสมัยเด็ก ๆ หนูชอบนั่งฟังแม่เล่นเปียโน ตอนนี้แม่หนูไม่อยู่แล้ว ยายอยากให้หนูลองเล่นดู เผื่อจะได้รู้สึกว่าแม่ยังอยู่ข้าง ๆ”
หนึ่งปรารถนาน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะความเศร้า
เธอพยักหน้าช้า ๆ และเอื้อมมือไปจับมือนพมาศแน่น "ขอบคุณนะคะยาย หนูจะพยายามเป็นคนที่ยายภูมิใจ"
"ไม่ต้องพยายามอะไรเลยลูก หนูเป็นคนที่ยายภูมิใจมาตลอดแล้ว"
หนึ่งปรารถนาไม่ตอบอะไร เธอเพียงยิ้มบาง ๆ ทั้งน้ำตา แล้วซบใบหน้าลงกับบ่าของผู้หญิงที่เธอรักและไว้ใจที่สุด
นั่นเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ที่เงียบสงบ แต่กลับอัดแน่นด้วยความรู้สึกมากมาย เธอไม่เคยได้รับการกอดอย่างเต็มใจ ไม่เคยถูกถามว่าอยากกินอะไร อยากไปที่ไหน หรือแค่อยากจะนั่งเงียบ ๆ กับใครสักคนที่ไม่ตัดสิน
แต่ที่นี่ บ้านของยายนพมาศ...ทุกอย่างเหมือนเป็นโลกอีกใบ โลกที่มีพื้นที่ให้ความรู้สึกของเธอจริง ๆ
หลายวันผ่านไป หนึ่งปรารถนาเริ่มมีรอยยิ้มมากขึ้น เธอเริ่มปรับตัวกับชีวิตใหม่ เริ่มเรียกชื่อพนักงานในบ้านทีละคน กล้าเข้าครัวไปช่วยป้าหมวยหั่นผัก กล้าเปิดเปียโนแล้วกดคีย์อย่างไม่กลัวว่าจะผิดพลาด และที่สำคัญ...เธอกล้าเงยหน้าขึ้นมองกระจกในห้องนอนของตัวเอง โดยไม่รู้สึกอับอายกับน้ำตาหรือรอยแดงบนแก้มอีกต่อไป
เช้าวันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังนั่งกินขนมปังปิ้งทาแยมฝีมือป้าหมวย เสียงของนพมาศก็ดังขึ้นจากหัวโต๊ะ
“วันนี้ยายมีนัดกับอาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เขาสนใจให้ยายช่วยเรื่องทุนเด็กยากไร้ ถ้าหนูอยากไปด้วยก็ได้นะลูก จะได้ลองเห็นมหาวิทยาลัยบ้าง”
หนึ่งปรารถนาเงยหน้าขึ้นทันที “ได้ค่ะยาย หนูอยากไป”
นพมาศยิ้ม “ดีจัง ยายก็อยากให้หนูเห็นว่าโลกนี้กว้างแค่ไหน และหนูก็เดินไปได้ไกลกว่าที่ใครบางคนเคยบอกไว้”
เด็กสาวพยักหน้าช้า ๆ คำว่า "ใครบางคน" ไม่จำเป็นต้องระบุชื่อ แต่เธอรู้ดีว่าเป็นใคร… และตอนนี้ ความเจ็บปวดจากคำนั้นเริ่มจางลง
ที่มหาวิทยาลัย หนึ่งปรารถนาตื่นเต้นกับห้องสมุดขนาดใหญ่ สนามหญ้าเขียวขจี และบรรยากาศของผู้คนที่ดูตั้งใจเดินไปในทางของตัวเองโดยไม่มีใครมองว่าใคร "ไม่สมควร" หรือ "ไม่พอ"
เธอแอบนึกในใจ…บางที ในวันหนึ่งข้างหน้า เธออาจจะเป็นหนึ่งในนักศึกษาที่นั่งใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าอาคารนั้นก็ได้
เมื่อกลับถึงบ้าน เด็กสาวนั่งเงียบอยู่หน้าระเบียงไม้ ยามเย็นลมพัดเอื่อย กลิ่นดอกแก้วจากสวนลอยมาตามสายลม ในมือของเธอมีสมุดบันทึกเล่มหนึ่งซึ่งเพิ่งได้มาใหม่จากนพมาศ
เธอเปิดหน้าว่าง ๆ ขึ้นมาหนึ่งหน้า หยิบปากกาขนนกที่วางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ และเขียนประโยคแรกลงไปด้วยลายมือเรียบร้อยแต่ยังสั่นเล็กน้อย
> "ฉันยังมีค่า แม้ใครบางคนจะไม่เคยเห็นมันเลยก็ตาม"
เธอมองคำนั้นนานพอ ๆ กับเวลาที่เคยเฝ้ารอคำว่า "รัก" จากพ่อ
น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงบนหน้ากระดาษ แต่คราวนี้มันไม่ใช่ความอ่อนแอ มันคือการปลดปล่อย และการยอมรับ
เสียงฝีเท้าเบา ๆ เดินเข้ามาใกล้ เป็นนพมาศที่ถือแก้วนมอุ่นในมือ เธอส่งให้หลานสาวโดยไม่พูดอะไร
หนึ่งปรารถนารับไว้ แล้วยิ้มให้ “ยายรู้ได้ไงว่าหนูอยากดื่มนมอุ่น”
“ยายไม่รู้หรอกลูก…แต่ยายรู้ว่าหนูเคยชอบนั่งจิบกับแม่ตอนค่ำ ๆ ยายแค่อยากให้หนูรู้ว่ายังมีคนจำเรื่องเล็ก ๆ ของหนูได้นะ”
หนึ่งปรารถนาไม่ตอบ เธอกอดแก้วแน่น แล้วเอ่ยเบา ๆ “ขอบคุณที่ยายไม่ทิ้งหนู”
นพมาศยิ้ม “ยายจะไม่มีวันทำแบบนั้นเลยลูก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หนูมีค่าพอเสมอ”
แสงสุดท้ายของวันตกกระทบหน้าต่าง กระทบแววตาของเด็กสาวที่กำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่ และกระทบหัวใจที่ค่อย ๆ ฟื้นคืนจากการถูกทอดทิ้ง
โลกใบใหม่ของหนึ่งปรารถนาเพิ่งเริ่มต้น และเธอรู้ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กที่ ‘สมบูรณ์แบบ’ เพื่อจะมีความสุข
เธอแค่ต้องเป็นตัวเอง…แค่นั้นก็พอแล้ว.
