ตอนที่ 4 ความเข้าใจผิด
หนึ่งปรารถนา
ตอนที่ ๔
ความเข้าใจผิดในยามเช้า
เสียงระฆังลมหน้าบ้านดังแผ่วเบารับกับแสงแดดอ่อน ๆ ของเช้าวันใหม่ หนึ่งปรารถนาตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ผูกผมรวบไว้หลวม ๆ ด้วยหนังยางเส้นเดิม สวมเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งกับกางเกงวอร์มสีเทา แล้วคว้าตะกร้าผ้าสีฟ้าอ่อนที่ยายให้ไว้ในวันแรกที่มาถึง
“จะออกไปตลาดเหรอลูก?” เสียงของนพมาศดังขึ้นจากโต๊ะอาหารที่ยังอุ่นด้วยกลิ่นข้าวต้มหมู
“ค่ะยาย หนูอยากไปดูว่าที่นี่ขายอะไรบ้าง ยายจะได้ไม่ต้องให้คนขับรถไปซื้อให้บ่อย ๆ”
นพมาศยิ้มอย่างเอ็นดู “งั้นก็ระวังด้วยนะลูก ข้ามถนนตรงทางแยกอย่าลือดูซ้ายขวา”
“ค่ะยาย หนูไม่ลืมหรอก”
แต่ความมั่นใจในคำตอบนั้น…กลับถูกลืมไปทันทีเมื่อลมเย็นตอนเช้ากระทบหน้าและความตื่นเต้นในการได้ออกจากบ้านเพียงลำพังครั้งแรกในรอบหลายเดือนทำให้หัวใจของหนึ่งปรารถนาพองโตเกินพอดี
ตลาดยามเช้าในย่านสุขุมวิทคึกคักกว่าที่เธอคิด กลิ่นหอมของขนมไทยลอยมาแตะจมูก เสียงแม่ค้าร้องเรียกลูกค้าดังเซ็งแซ่ ทั้งหมดนี้ทำให้เด็กสาวรู้สึกเหมือนกลับมาเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งในโลกกว้างที่ไม่มีใครรู้จักชื่อของเธอ
หนึ่งปรารถนาเดินช้า ๆ ลัดเลาะไปตามซุ้มผักผลไม้ มะนาวใบเขียว ข้าวโพดสีเหลืองอ่อน และมะเขือเทศสด ๆ ที่ยายชอบ
“ขอห้าลูกค่ะ” เธอยิ้มให้แม่ค้า
เธอกำลังจะเดินข้ามถนนกลับฝั่งอีกด้านเพื่อไปซื้อปลาดุกย่างที่เพิ่งยกออกจากเตาร้อน ๆ แต่เสียงโทรศัพท์จากยายที่โทรมาถามว่าต้องการให้ช่วยอะไรหรือไม่ทำให้สมาธิของเธอสะดุด
เธอรับสายพลางก้าวลงจากฟุตบาท โดยไม่ทันมองซ้ายหรือขวาเลยแม้แต่น้อย
และแล้ว...
แตรรถดังลั่น!
“เฮ้ย!!!” เสียงผู้ชายตะโกนตามมาด้วยเสียงเบรกเอี๊ยดจนยางแทบไหม้
หนึ่งปรารถนาชะงัก เท้าหยุดชั่ววินาทีก่อนจะกระโดดถอยกลับขึ้นฟุตบาทได้อย่างเฉียดฉิว
รถยนต์สีดำเงาวาวจอดอยู่ตรงหน้าเธอ ห่างไปไม่ถึงสองเมตร
ประตูรถฝั่งคนขับเปิดออกแทบจะทันที ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนกับกางเกงสแล็กสีเข้มก้าวลงมา ใบหน้าซีดเผือดจากความตกใจและความเหนื่อยล้า
“คุณบ้าเหรอ! จะข้ามถนนไม่ดูรถดูราเลยหรือไง!” เสียงของเขาดังลั่น ทำเอาแม่ค้าหลายคนหันมามอง
“ขะ...ขอโทษค่ะ หนึ่งไม่ทันได้ดู”
“ไม่ทันได้ดู? ถ้าผมเบรกไม่ทัน คุณตายไปแล้วนะ!” น้ำเสียงของเขาเครียดจัด และแววตาที่ฉายชัดถึงความไม่ไว้ใจ
“ขอโทษจริง ๆ ค่ะ หนึ่งไม่ได้ตั้งใจ” หนึ่งปรารถนาเสียงสั่น มือยังถือโทรศัพท์กับตะกร้าผ้าแน่น
“แน่ล่ะ ไม่ตั้งใจหรอก คนพวกนี้มันมาแนวเดิมทุกที เดินตัดหน้ารถแล้วแกล้งตกใจ หวังจะเรียกเงินค่าเสียหาย”
“หา? เดี๋ยวก่อนนะคะ คุณเข้าใจอะไรผิดไปแล้ว”
“ไม่ต้องมาแถ” เขาตัดบทด้วยความหงุดหงิด และเหนื่อยล้าจากการยืนผ่าตัดมาเกือบสิบสองชั่วโมงรวด ความโมโหพลุ่งพล่านไปพร้อมกับความคิดที่พยายามสรุปเรื่องราวให้เร็วที่สุด
โปรดปราณศัลยแพทย์หนุ่มวัยสามสิบสอง ที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังใกล้ตลาดแห่งนี้ด้วยร่างกายอ่อนล้าและอารมณ์ที่ตึงเครียด
เขารู้สึกได้ถึงความวุ่นวาย และไม่อยากต่อปากต่อคำให้เสียเวลา จึงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง หยิบธนบัตรสีเทาออกมาสิบใบ แล้วยัดใส่มือของหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่ลังเล
“เอาไปหนึ่งหมื่น! ถือว่าไถ่โทษ ถ้าจะเรียกร้องอะไรมากกว่านี้ก็ไปแจ้งตำรวจ”
หนึ่งปรารถนาเบิกตากว้าง “เดี๋ยวค่ะ! หนึ่งไม่ได้ต้องการเงิน หนึ่งแค่..."
แต่โปรดปราณกลับไม่หยุดฟังเธอสักนิด เขาเดินกลับไปขึ้นรถปิดประตูรถเสียงดัง ปล่อยให้เธอยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น ก่อนที่รถยนต์คันหรูจะเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงฝุ่นบาง ๆ และเสียงซุบซิบจากแม่ค้าและคนในตลาด
“ยัยหนูเป็นใครน่ะ ลูกคนรวยเหรอ?”
“โอ๊ย นั่นมันหมอโปรดปราณ คลินิกดังแถวนี้ แกขึ้นชื่อว่าใจร้อนนะ”
“แต่เด็กนั่นหน้าซื่อ ๆ นะ ไม่เห็นเหมือนมิจฉาชีพเลย”
หนึ่งปรารถนายืนนิ่งอยู่พักใหญ่ ก่อนจะค่อย ๆ คลี่มือออกดูธนบัตรในมือตัวเอง
หนึ่งหมื่นบาท กับความเสียศักดิ์ศรีที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะโดนยัดใส่มือแบบนั้น
เธอกำหมัดแน่น ดวงตาร้อนผ่าว แต่ไม่ยอมให้น้ำตาไหลลงมาตรงหน้าคนอื่น
“เขาคิดว่าฉันเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”
มือเรียวค่อย ๆ ยัดเงินลงในตะกร้าผักอย่างไม่ใยดีราวกับไม่อยากเห็นมันอีก ก่อนจะเดินกลับบ้านช้า ๆ ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
เมื่อนพมาศเห็นหลานกลับมาถึงบ้าน ใบหน้าก็ฉายแววสงสัยทันที
“เป็นอะไรรึเปล่าลูก? ทำไมหน้าซีดแบบนั้น?”
หนึ่งปรารถนาไม่ตอบ เธอวางตะกร้าลงก่อนจะค่อย ๆ ดึงเงินออกมายื่นให้ยาย
“หนึ่ง...หนึ่งโดนคนเข้าใจผิดว่าหนึ่งจะหลอกเอาเงินค่ะ”
นพมาศรับเงิมาดู ก่อนจะชะงัก เธอเห็นนามบัตรที่ถูกแทรกไว้
“ใครให้มาหนูลูก?”
“คุณหมอคนหนึ่งค่ะ หนึ่งไม่รู้จักเขา แต่เขาขับรถเกือบชนหนึ่ง แล้วเข้าใจว่าหนึ่งตั้งใจเดินตัดหน้าเพื่อจะขอเงิน…”
นพมาศนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเงียบ ๆ
“ยายจะเก็บเงินนี้ไว้ก่อนแล้วกันลูก เราจะหาทางคืนให้เขาในแบบที่เหมาะสม”
“ค่ะยาย หนึ่งแค่อยากให้เขารู้ว่าหนึ่งไม่ได้เป็นแบบนั้น หนึ่งไม่ได้เดินอยู่บนถนนเพื่อจะแลกเงินกับศักดิ์ศรีตัวเอง…”
น้ำเสียงสั่นเครือของเธอไม่จำเป็นต้องใช้คำใดเพิ่มเติม นพมาศเอื้อมมือมากุมมือหลานสาวไว้แน่น
“หนึ่งไม่ได้เป็นแบบนั้นจริง ๆ ยายรู้ และวันหนึ่ง เขาก็จะรู้เหมือนกัน”
ดวงตาของหนึ่งปรารถนามีแววแข็งแรงขึ้นเล็กน้อย แม้หัวใจยังเจ็บอยู่บ้าง แต่เธอก็เริ่มเข้าใจ…ว่าบางครั้ง คนเราก็ถูกตัดสินจากภาพที่ไม่เคยได้รู้จักกันจริง ๆ
และบางที...การพิสูจน์ตัวเอง ไม่ใช่แค่การเถียงกลับ
แต่อาจเป็นการยืนอยู่เฉย ๆ อย่างสง่างาม แล้วปล่อยให้เวลาเป็นคำตอบแทน.
