ตอนที่ 10 เงียบสงบ
หนึ่งปรารถนา
ตอนที่ ๑๐ เงียบสงบ
คนที่นั่งอยู่ข้างกัน
ลมเช้ายังพัดเอื่อยอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ตรงลานจอดรถเล็ก ๆ หน้าอุโบสถ ขณะที่โปรดปรานเปิดประตูให้หญิงสาวตรงหน้า เขาส่งยิ้มเงียบ ๆ ให้เธอ และเธอก็พยักหน้าเบา ๆ เป็นการขอบคุณ
ไม่มีคำพูดใด ๆ เพิ่มเติม แต่ในช่วงเวลานั้นเขารู้สึกได้ถึงความสงบแบบที่ไม่คุ้นเคย
ความสงบแบบที่ไม่ได้มาเพราะเสียงดนตรีเบา ๆ หรือวิวริมทะเลสวย ๆ
แต่เป็นความสงบที่มาจาก "คนข้าง ๆ"
หลังจากที่หนึ่งปรารถนาขึ้นรถและเขาสตาร์ทรถขับออกจากวัด ถนนในซอยยังเงียบงัน มีเพียงเสียงล้อบดบนพื้นปูนและเสียงลมหวิวลอดผ่านกระจก
โปรดปรานไม่พูดอะไร เขาแค่ขับช้า ๆ ดวงตาเหลือบมองเธอเป็นระยะ เธอกำลังจัดตะกร้าบนตักให้เป็นระเบียบ เก็บข้าวของทุกชิ้นอย่างทะนุถนอมเหมือนสิ่งมีชีวิต
เขาเคยเห็นผู้หญิงมามากมายบางคนแต่งตัวเนี้ยบจนน่าเกรงขาม บางคนพูดเก่งจนน่าเหนื่อย แต่ไม่มีใครเลยที่เคย “เงียบ” แล้วทำให้เขารู้สึกได้ขนาดนี้
เหมือนเสียงรอบตัวเขาเบาลงทุกทีที่อยู่ใกล้เธอ...
“พี่หมอโปรดจะไปทำงานต่อเลยหรือเปล่าคะ?” เสียงเธอแผ่วเบา ทำลายความเงียบพอดี
“ยังครับ...วันนี้ไม่มีเคสผ่าตัดช่วงเช้า”
“ดีจังค่ะ จะได้พักบ้าง” เธอว่า ขณะมองออกไปยังริมถนน สองข้างทางเป็นบ้านไม้หลังเล็ก ๆ สลับกับต้นไม้และร้านโชห่วยที่เริ่มเปิดขายตามปกติ
“น้องหนึ่ง...” เขาเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ตอนอยู่ในศาลานั่งธรรมเมื่อกี้...พี่รู้สึกเหมือนตัวเอง...ไม่เคยอยู่ในที่แบบนั้นมาก่อนเลย ทั้งที่ก็แค่ศาลาไม้ มีใบไม้ มีลม มีบึงน้ำตื้น ๆ”
“แล้วรู้สึกยังไงคะ?”
เขาเงียบไปเล็กน้อย ก่อนตอบเรียบ ๆ
“รู้สึกเหมือนได้หายใจครั้งแรกในรอบหลายปี”
คำพูดนั้นออกมาจากใจจริงโดยไม่ทันคิด และเมื่อพูดจบ เขาก็หันไปมองเธอช้า ๆ เห็นรอยยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นบนมุมปากของหญิงสาวข้างกาย
“บางที...มันก็แค่นั้นแหละค่ะ” เธอกล่าว “ไม่มีอะไรพิเศษเลย แต่ถ้าเรารู้สึกเหมือนได้หายใจเต็มปอดได้ ก็ถือว่าเป็นที่ที่ดีแล้ว”
โปรดปรานนิ่งไปนาน เขาไม่ได้พูดอะไรอีก กระทั่งขับรถถึงหน้าบ้านเธอ
บ้านหลังใหญ่ที่เขาเคยชิน แต่อปลกที่บ้านของหนึงปรารถนาให้ความรู้สึกต่างจากบ้านของเขา ทั้งๆที่ขนาดบ้าน รูปทรง และความใหญ่โตของมันใกล้เคียงกัน แต่มันมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนบ้านจริง ๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
เมื่อเธอลงจากรถและก้าวเท้าเข้าสู่รั้ว เขากลับยังนั่งนิ่งอยู่ในรถ ใจเต้นช้า ๆ อย่างประหลาด
เขาไม่เคยเป็นแบบนี้...
ไม่เคยคิดมากกับการจากลาใครสักคนหลังใช้เวลาร่วมกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง ไม่เคยคิดว่าไม่อยากให้ถึงช่วงเวลาแบบนี้
แต่นี่...เขากลับรู้สึกเหมือน “ทิ้ง” บางอย่างไว้ที่วัด
และบางอย่างในหัวใจไว้ที่ผู้หญิงที่ชื่อหนึ่งปรารถนา
วันต่อมา
เช้าวันอาทิตย์ที่ฝนโปรยเบา ๆ
โปรดปรานตื่นขึ้นจากเสียงนาฬิกาดิจิตอลที่เขาเพิ่งตั้งขึ้นใหม่ในรอบหลายเดือน เขามักตื่นเอาเองในช่วงสาย ๆ หรือไม่ก็เพราะเสียงโทรศัพท์จากโรงพยาบาล
แต่เช้าวันนี้ เขาอยากตื่นให้ทันแสงแดด
เขาเดินไปเปิดหน้าต่าง ลมเย็นกับกลิ่นฝนเข้ามาแตะจมูก แทนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กข้อความเหมือนทุกวัน เขากลับเดินไปเปิดลิ้นชักหยิบสมุดเล่มเล็ก ๆ ขึ้นมาเขียน
เขาวางปากกาลงแล้วหลับตา เห็นใบหน้าเรียบเฉยของหนึ่งปรารถนาในแสงเช้า เห็นเธอวางมือบนหน้าตัก แล้วหลับตาอย่างมั่นคง
เขาเคยรู้จักคนที่พูดเก่งกว่านี้ แต่น้อยคนนักที่ “นิ่งเก่ง” ได้เท่าหนึ่งปรารถนา
และยิ่งคิด เขายิ่งอยากกลับไปวัดนั้นอีกครั้ง
แม้ไม่มีเธออยู่ด้วย...
แต่ลึก ๆ เขาหวังว่าเธอจะอยู่
วันพระถัดมา
“...พี่หมอโปรดจำได้เหรอคะ?”
เสียงเธอถามอย่างขบขัน เมื่อเห็นเขายืนถือร่มรออยู่หน้าบ้านตอนหกโมงเช้า
โปรดปรานยิ้ม
“จำได้สิ ก็สัญญาไว้แล้วนี่ครับ”
“หนึ่งไม่คิดว่าพี่หมอโปรดจะมาเช้าขนาดนี้”
“ก็...อยากมานั่งศาลานาน ๆ หน่อย”
“จะมาฝึกหลับอีกหรือเปล่าคะ?” เธอแซวเบา ๆ
“อาจจะ” เขาหัวเราะ “แต่วันนี้ตั้งใจจะลองหลับตาแบบจริงจังแล้วล่ะครับ”
หนึ่งปรารถนาหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะเดินนำออกจากบ้านไปพร้อมตะกร้าใบเดิม
ครั้งนี้ โปรดปรานเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน เมื่อทั้งคู่นั่งรถมุ่งหน้าไปวัด
“น้องหนึ่งเคยรู้สึกไหมว่า เวลาเราอยู่ในที่เงียบ ๆ นาน ๆ มันจะทำให้เราได้ยิน ‘เสียงในใจ’ ดังขึ้น?”
“เคยค่ะ”
“พี่นั่งเงียบ ๆ วันก่อน แล้วจู่ ๆ ก็คิดถึงพ่อ...ทั้งที่ไม่ได้คิดถึงมานานมากแล้ว”
หนึ่งปรารถนาเหลือบมองเขา ก่อนเอ่ยเบา ๆ
“นั่นแหละค่ะ คือสิ่งที่วัดทำกับเราไม่ใช่แค่เรื่องศาสนา...แต่มันทำให้เรา ‘ฟังตัวเอง’ ได้ชัดขึ้น”
โปรดปรานพยักหน้าเบา ๆ เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองมาที่วัดเพราะศรัทธาหรือเพราะต้องการหนีอะไรบางอย่าง แต่ที่แน่ ๆ คือ...เขารู้สึก “ได้ยินตัวเอง” ขึ้นจริง ๆ
และเขาก็ “ได้ยินเธอ” ชัดขึ้นเช่นกัน แม้เธอจะพูดน้อย
---
หลังจากใส่บาตรเสร็จ เขาเดินเคียงข้างหนึ่งปรารถนาไปยังศาลาอีกครั้ง
วันนี้เธอนำดอกไม้จากต้นโมกหน้าบ้านใส่ขวดแก้วเล็ก ๆ มาวางไว้ตรงขอบหน้าต่างศาลา กลิ่นหอมจาง ๆ ลอยอบอวลในอากาศ
เธอนั่งลงข้างเขาเหมือนเดิม วางมือลงบนหน้าตัก แล้วหลับตา
โปรดปรานหลับตาตาม—อย่างเงียบ ๆ และแน่วแน่กว่าครั้งก่อน
เขาไม่แน่ใจว่าผ่านไปนานแค่ไหน รู้เพียงว่าใจเขานิ่งกว่าที่เคย
ไม่มีเสียงโทรศัพท์ ไม่มีเสียงอุปกรณ์ทางการแพทย์ ไม่มีเสียงผู้ป่วยร้องโอดครวญ
มีเพียงลมหายใจของเขา...กับเสียงลมหายใจของเธอข้างกาย
เขาไม่เคยเข้าใจเลยว่า “ความเงียบ” จะทำให้ใครสักคนมีผลต่อใจเขาได้มากขนาดนี้
แต่วันนี้ เขาเข้าใจแล้ว
