บทที่ 12 คุณภีมมาหาค่ะ
ภีมพลเดินผิวปากออกจากห้องน้ำ หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดหมีสีส้ม สลักชื่อบริษัท “ปัญญาพิพัฒน์” เด่นหราอยู่บนอก เขาปัดเศษด้ายที่พันติดเสื้อตัวใหม่ออกสองสามครั้ง ก่อนจะเดินผิวปากไปยังล็อกเกอร์ ของพนักงานเพื่อเก็บสิ่งของ หากแต่เสียงแว่วด้วยความเจ็บปวดของใครบางคน ดังเล็ดลอดเข้ามา
ชายหนุ่มหยุดผิวปากเพื่อฟังเสียงนั้นให้แน่ใจ ว่าดังมาจากทางไหน สองเท้าค่อยๆ ย่างไปทางมุมอับหลังโรงงาน ตามเสียงแว่วนั้นไปด้วยความระแวดระวัง ก่อนจะเห็นพนักงาน ที่ใส่ชุดหมีสีส้มเหมือนเขาโดนกลุ่มชายฉกรรจ์สามสี่คนรุมทำร้าย
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ทำอะไรกัน” ทั้งหมดที่รุมทำร้ายคนเจ็บ ชะงักหยุดครู่หนึ่งแล้วหันมายังต้นเสียง
“ใครวะ” หนึ่งในนั้นหันไปถามเพื่อน
“สงสัยพนักงานใหม่”
“มึงพึ่งมาใหม่ใช่ไหม ฉะนั้นอย่าเสือก” หลังจากพูดจบ ทั้งหมดจึงหันกลับไปทำร้ายคนที่นอนร้องโอดโอยต่อ
“ได้! ไม่หยุดใช่ไหม” ภีมพลตัดสินใจกระโดดเข้าไป แล้วยกเท้าถีบทั้งสามคนล้มไปคนละทิศละทาง ด้วยวิชาหมัดมวยที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก พึ่งได้ใช้ประโยชน์ก็วันนี้
“พี่เป็นไงบ้าง” ชายหนุ่มหันไปพยุงร่างคนเจ็บขึ้นช้าๆ ก่อนที่หนึ่งในชายฉกรรจ์จะลุกมาทำร้ายเขา ภีมพลตวัดเท้ากลับไป ทำให้ชายคนนั้นล้มกลับไปกองกับพื้นตามเดิม
“พวกเราไปก่อน” เมื่อเอาชนะภีมพลไม่ได้ ทั้งหมดจึงยอมถอยออกไป ภีมพลรีบเข้าไปพยุงคนเจ็บลุกขึ้น แล้วพามายังห้องพักพนักงานช่าง
“โหพี่ เละขนาดนี้ไปกวนตีนพวกมันไว้หรือไง” ชายหนุ่มถามหลังจากประเมินบาดแผลที่ฟกซ้ำ และมีเลือดซึม ก่อนจะพยายามมองหาบางสิ่งบางอย่าง
“ห้องนี้ไม่มีชุดยาหรือพี่”
“ด้านบนในตู้ไม้” คนเจ็บชี้ไปยังผนังด้านซ้ายมือ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินไปเปิดเอาชุดยามาทำการรักษาเบื้องต้น
“ขอบใจ” คนเจ็บพูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ อย่างไม่เต็มใจ
“นั่นไง พี่กวนตีนจริงๆ ด้วย ผมไม่แปลกใจเลย” คำพูดของชายหนุ่มทำให้คนเจ็บหันมายิ้มเล็กน้อยแล้วมองด้วยความข้องใจ
“พึ่งมาใหม่หรือเราอ่ะ”
“หมาดๆ เลย เปลี่ยนชุดเสร็จแทนที่จะได้ไปทำงาน ผมต้องไปช่วยพี่ก่อน” คนเจ็บปล่อยยิ้มออกมาเป็นครั้งที่สอง
“ชื่ออะไร”
“ภีมครับ ภีมพล พี่ล่ะ”
“เรียกฉันว่า ตั้ม แล้วกัน ขอบใจมากนะน้องที่เข้ามาช่วย ปกติแล้วพี่ก็ไม่เคยแพ้พวกมันหรอก แต่วันนี้ป่วยก็เลยเสียท่า” ชายกลางคนเชิดหน้าขึ้น แสร้งพูดอวด
“ครับ” ภีมพลตอบสั้นๆ ทำฟอร์มเชื่อเขา
“แต่ต่อไปนี้ก็ระวังตัวหน่อย นายได้เป็นศัตรูกับพวกมันเรียบร้อยแล้ว”
“ผมว่า ผมเริ่มเห็นอนาคตตัวเองมารางๆ ละ” ชายวัยกลางคนหลุดขำ พลางยกมือมาตบที่บ่าเขาสองสามครั้ง ด้วยเพราะรู้สึกถูกชะตากับเด็กหน้าตาดีคนนี้เป็นพิเศษ
ชั้นสองของร้านกาแฟ ส่วนหนึ่งดัดแปลงให้เป็นครัวขนาดเล็ก ใช้เป็นสถานที่สำหรับทำขนมเค้ก คุกกี้ฯ ตามแต่พิชญาจะสรรหาเมนูมาเพิ่มให้กับลูกค้า หญิงสาวพัลวันอยู่กับคุกกี้นมมาพักใหญ่ เธอชื่นชอบการทำขนมมาตั้งแต่เด็ก
ร้านนี้จึงเติมเต็มความฝันของเธอ มือเรียวเล็กหยุดชะงักเมื่อหวนนึกถึงทิวา เขาเองชื่นชอบคุกกี้นมฝีมือเธอเป็นอย่างมาก หากแต่วันนี้จะไม่มีเสียงคำชมหวานๆ จากปากพี่ชายอีกแล้ว
หญิงสาวเลื่อนสายตาหันไปมองกระเป๋าใหญ่ที่หอบมา เธอจำเป็นต้องใช้ร้านแห่งนี้เป็นที่อาศัยชั่วคราว เพื่อหลบคนเจ้าปัญหาอย่างธาวิน
“คุณพิชญ์คะ” พนักงานสาวประจำร้านเปิดประตูเข้ามา ทำให้พิชญาละสายตาจากกระเป๋าใบใหญ่ แล้วเปลี่ยนสีหน้า หันไปยิ้มรับลูกจ้างสาว
“หลิวเองหรือ มีไร”
“หลิวขอลางานสามวันได้ไหมคะ พอดีมีปัญหาที่บ้านค่ะ” พิชญาทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย เพราะหลิวเป็นตัวหลักในการชงเครื่องดื่มทุกชนิดในร้าน ถึงแม้จะมีพนักงานอีกหลายคนที่พอจะแทนได้ หากแต่ไม่มีใครสู้ฝีมือหลิวได้สักคนพิชญาทบทวนครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานแล้วพยักหน้าตอบรับ
“ได้สิ”
“ขอบคุณค่ะ คุณพิชญ์” หลิวยกมือไหว้ขอบคุณ พร้อมเอี่ยวตัวกลับ
“เออ...หลิว ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วย โทรหาได้ตลอดนะ แล้วกลับต่างจังหวัดอย่างไร” พิชญาถามลูกจ้างด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“หลิวกลับรถตู้ค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะคุณพิชญ์” พิชญาพยักหน้ายิ้มก่อนที่ร่างของพนักงานจะเดินลงไปยังชั้นล่าง
หญิงสาวก้มหน้าตั้งตาทำคุกกี้นมต่อให้ครบตามจำนวนที่วางเอาไว้ เธอใช้เวลาง่วนอยู่หน้าเตากว่าสองชั่วโมงจึงทำเสร็จ ร้านกาแฟเป็นความสุขเดียวที่หญิงสาวเหลืออยู่ในชีวิต ก่อนที่ร่างของหลิวจะเข้ามาอีกครั้ง
“คุณพิชญ์คะ คุณภีมมาหาค่ะ”
“ขอบใจจ่ะ” พิชญาจัดการล้างมือ ถอดผ้ากันเปื้อน รวมถึงรวบผมให้เรียบร้อย ก่อนเดินลงมาหาเพื่อนชายที่นั่งรออยู่ด้านล่าง ชุดหมีสีส้มแสดงเด่นชัดว่าเขาได้เริ่มทำงานเป็นวันแรก
