ใครไม่อยากแต่ง
“ท่านอ๋องทรงมีเมตตากับนางก็รับนางยังจวนอ๋องเสียก็สิ้นเรื่อง”
ตาคมจ้องเตี๋ยจูตาเขม็งริมฝีปากเหยียดยิ้ม
“ข้ามาถึงนี่เพื่อให้เจ้าคืนบ้านให้นาง นางทำการค้ากับวังหลวงย่อมจะได้เงินทองมาไถ่ถอนคืนเจ้าก็แค่เห็นแก่มนุษยธรรม ให้นางอาศัยแล้วค่อย ให้นางไถ่ถอนเมื่อมีเงิน”พยายามใจเย็นอย่างที่สุด
“ไอ้หย่าาาท่านอ๋องท่านพูดง่ายเสียจริง เงินข้าตั้งหลายแสนตำลึงทอง ทรัพย์สินของนางเพียงน้อยนิดยังไม่พอไถ่ถอน ท่านอ๋องข้าเป็นพอค้าจะให้ใช้ทุนโดยขาดกำไรจะได้หรือ ท่านอ๋องท่านก็ไถ่ถอนแทนนางไปเลยดีไหม นางก็ไม่ได้เป็นอะไรกับท่านอ๋องเหตุใดต้องออกรับแทนนางเพียงนี้”รู้ว่ายิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ
เหมือนเพิ่งจะคิดได้ว่าไม่ใช่ ธุระกงการอะไรของตัวเองจะโมโหทำไมกัน
“ตกลงจะไม่ยอมใช่ไหม”แต่ก็อดที่จะสงสารไม่ได้
“เป็นหนี้ก็ต้องใช้ ท่านอ๋องคิดว่าหญิงบอบบางเช่นนางแข็งแกร่งแค่ไหนก็จะดูแลคนทั้งบ้านได้หรือ ข้าไม่ได้ใจร้ายกับนางสามสี่ปีมานี้ นางกู้เงินข้าไปเพื่อลงทุนค้าขายสุขสบายเพราะเงินข้าหาเลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ข้าถือว่าข้าให้โอกาสนางพอแล้ว”
จิงหยางอ๋อง ขมวดคิ้วช่างประจวบเหมาะเสียจริงทุกอย่างช่างพอดี นางตกละกรรมลำบากในตอนที่หร่วนจางจิงหยงฮ่องเต้ประทานนางให้แต่งกับเขาจะดูดำดูดีหรือก็ไม่อาจกระทำจะถูกครหาอีกทั้งฮ่องเต้จะต้องกดดันเขาด้วยสงสารสองแม่ลูก
“ข้าให้โอกาสนางผ่อนชำระไปได้ในตอนนี้ แต่เรื่องการค้าขายกับวังหลวงข้าคงต้องรับมาทำด้วยตัวเอง อาศัยแบ่งกำไรให้นางเพื่อว่านางจะได้ใช้เงินส่วนนั้นดูแลลูกของนางต่อไป”
ข้อเสนอที่เหมือนจะยอมอ่อนข้อให้ เหมือนจะดีหากมองด้วยรวม แต่สิ่งเดียวที่จิงหยางอ๋องคิดไม่ตกคือจะให้เจิ้งชินกับเจ้าลูกหมูน้อยไปอยู่ที่ไหน
แล้วเขาทำไมต้องมาเป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องของสองแม่ลูกนั่นนางก็มีท่าทีแข็งกร้าวกับเขาไม่น้อย หากไม่เผลอจ้องตากลมใสของเจ้าลูกหมูน้อยเขาคงไม่ เผลอตัวเผลอใจเพียงนี้
ลดกระบี่ลง ใต้เท้าเตี๋ยกงจูถอนหายใจยาวอย่างโล่งอกก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้น
“ตอนนี้นางอยู่ที่ไหน”
“เอ่อ เอ่อ นางกับลูกตอนนี้ขนข้าวของอาศัยที่วัดร้างหากจากนี้ไปสามลี้”
“อย่าลืมสัญญาท่านจะต้องแบ่งกำไรจากการค้าขายในกิจการเดิมของนางให้แก่นางเหมือนที่พูดไว้ ไม่อย่างนั้นข้าจะกลับมาทวงด้วยตัวเอง”
สะบัดชายเสื้อจากไป
เตี๋ยกงจูทรุดกายลงผ่อนลมหายใจออกช้าๆอย่างโล่งอก
“ไอ้หย่าแทบตายท่านอ๋องช่างโมโหร้ายเสียจริง ข้าแทบไม่ทันตั้งตัวหากไม่ใช่บัญชาฝ่าบาทข้าหรือจะกล้าทำเรื่องนี้ไม่พ้นต้องเอาชีวิตมาทิ้ง”
ยกมือปัดอาภรณ์ให้เข้าที่ บ่นพึมพำกับสิ่งที่พบเจอเมื่อครู่
วัดร้าง
“ท่านแม่เรามาที่นี่ทำไมกัน”
เจิ้งชิน จิวหลง และอี๋เฟยนั่งอยู่บนศาลาด้านข้างที่เป็นหน้าผาสูง
“แม่พาเจ้ามาเที่ยว เราไม่เคยหย่อนใจเสียนานแม่พาเจ้ามาไหว้พระขอพร”ลูบหลังไหล่ให้กับจิวหลงเบาๆ
“ท่านแม่ดีจังเลยข้าชอบที่นี่ ท่านแม่ต้องพาข้ามาบ่อยๆ”
เจิ้งชินยิ้มบางๆร่างสูงของหรวนจิงหยางอ๋องก้าวพรวดเดียวถึงตัว
“ไปกับข้าไปจวนอ๋องกับข้า”
หร่วนจิงหยางอ๋อง มาพร้อมกับเสียงอันดัง
“ทำไมต้องไปกับท่าน ในเมื่อข้ามาที่นี่แล้วเหตุใดต้องยอมไปกับท่าน”
“เจ้าอย่ามายอกย้อน ตกต่ำเพียงนี้ถึงกับพาลูกหมูน้อยของข้ามาอาศัยวัดร้าง เจ้ายังกล้าปากกล้าได้อีกหรือ”เจิ้งชินถอนหายใจ
“พูดดีดี เหมือนคนอื่นบ้างได้ไหม ทำไมเจ้าหมูใหญ่จะต้องทำท่าทีขึงขังตลอดเวลาด้วย”
เสียงใสๆ ขัดจังหวะ ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปในทันทีเจิ้งชินเผลออมยิ้ม
จิงหยางอ๋องทรุดกายลงตรงหน้าจิวหลงโอบกอดร่างเล็ก
“ข้าไม่อยากให้เจ้าลูกหมูน้อยต้องลำบาก บอกมารดาของเจ้าให้ยอมใจอ่อน ไปอาศัยที่จวนจิงหยางอ๋องที่นั่นเจ้าจะได้ไม่ต้องลำบาก”
ใบหน้าอ้วนกลมยิ้ม ดวงตาเป็นประกายแวววาว
“เห็นไหมท่านก็พูดดีดีได้นี่ พูดกับท่านแม่ข้าดีดี ข้าจะสอนให้ท่านแม่ชอบคำหวาน ข้าในยามที่อยากได้อะไรมักจะพูดกับท่านแม่ออดอ้อนเสียหน่อยท่านแม่จะยอมใจอ่อน”
กระซิบข้างหูจิงหยางอ๋องเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน พร้อมกับยกมืออ้วนจับใบหน้าหล่อเหลาไว้ ไม่ให้หันมองมารดา
“นางจะยอมหรือ”
จิงหยางอ๋องอดที่จะคล้อยตามเสียไม่ได้ ใบหน้าอ้วนกลมพยักหน้าขึ้นลง
“ท่านยอมพูดดีดีข้าจะช่วยอีกแรงรับรองสำเร็จแค่อยากให้ท่านแม่ไปที่จวนอ๋องไม่ต้อง บังคับนางพูดกับนางเพราะๆ หวานๆ ท่านแม่จะต้องยอมแน่นอน"
“ฮะแฮ่มมม ข้าอยากให้เจ้าคิดถึงเจ้าลูกหมูน้อยให้มากๆ พาเขาไปอาศัยที่จวนอ๋อง ที่นั่นมีห้องหับมากมาย เจ้าลูกหมูน้อยจะได้ไม่ต้องลำบาก”
เจิ้งชินถอนหายใจยาว
“อี้เฟยเก็บของเราจะไปอาศัย ที่จวนจิงหยางอ๋อง….ชั่วคราว”
จิวหลงยิ้มกว้าง จิงหยางอ๋องเองก็เผลอยิ้มกว้างไม่เอะใจแม้แต่น้อย จิวหลงกระตุกมือจิงหยางอ๋องเบาๆ เหมือนจะบอกว่าเห็นไหมว่าง่ายดายเพียงใด
จินเทารีบช่วยอี๋เฟยขนสัมภาระ จิงหยางอ๋องอุ้มเอาร่างกระจ้อยไว้ในอ้อมแขนก้าวเดินนำ เจิ้งชินไปในทันที
