เจ้าลูกหมูน้อย3
จิวหลงวิ่งทะเล่อทะล่าชนเข้ากับร่างสูงของจิงหยางอ๋องเข้าอย่างจังหร่วนจิงหยางอ๋องรวบร่างอ้วนป้อมไว้อ้อมแขนกอดรัดร่างอ้วนน่าเอ็นดูที่ดิ้นรนออกจากอ้อมแขนพลันก็บังเกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมา ความรู้อ่อนโยนในใจของหร่วนจิงหยางอ๋อง
จิวหลงอ้าปากหวอกับท่าทีองอาจของหรวนจิงหยางอ๋องอาภรณ์สีขาวสะอาดตากับท่าทีที่มองแล้ว ยิ่งใหญ่เกินใคร สายตาที่มองบ่งบอกว่าชื่นชมชัดเจน
อี๋เฟยรีบวิ่งมาคว้าตัวจิวหลงน้อยพร้อมกับย่อกายลงด้วยมองเห็นพู่และป้ายหยกที่ข้างเอวบ่งบอกฐานะอ๋อง คุกเข่าขอรับโทษตายทันที
“ข้าน้อย…อี้เฟยไม่ทันระวังปล่อยนายน้อยวิ่งมาชนท่านอ๋องทำให้ท่านอ๋องไม่พอพระทัย ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”คุกเข่าศีรษธจรดพื้น
“เจ้าหมูน้อยมาวิ่งเล่นที่นี่ได้อย่างไร เจ้าเป็นลูกหลานของขุนนางคนไหนกัน”
จิวหลงวางท่าให้เหมือนกับจอมยุทธ์อีกครั้ง
“ข้าคือองครักษ์ตามมาอารักขา …ท่านแม่ของข้าที่เขาวังหลวงเพราะฮ่องเต้เรียกท่านแม่ของข้าเข้ามาที่นี่”
จินเทาอมยิ้ม จิงหยางอ๋องเลิกคิ้วสูงทำท่าว่าไม่เชื่อ
“นี่ อย่าคิดว่าท่าทีองอาจของท่านจะทำให้ข้าย้ำเกรง ไปทางนู้นเลย ข้าอารักขาท่านแม่อยู่ที่นี่ รอจนกว่าท่านแม่ที่เข้าไปพบฝ่าบาทจะออกมา”
อี๋เฟยยิ้มเจื่อนๆ กับท่าทีมั่นอกมั่นใจของจิวหลง
จิงหยางอ๋องทำหน้าเหวอ คิดไม่ถึงว่าเจ้าลูกหมูน้อยจะกล้าไล่เขาที่เป็นถึงอ๋อง
“ขอรับใต้เท้า”
พูดไปยิ้มไปสายตาอ่อนโยน
คราวนี้เป็นจินเทาที่อ้าปากค้างหรวนจิงหยางอ๋องเดิมเกลียดเด็กน้อยและไม่เคยจะลดตัวไปหยอกล้อ แต่ที่เห็นในตอนนี้ กลับเปลี่ยนความเป็นหรวนจิงหยางอ๋องจนสิ้น
“ข้าน้อยไม่กวนแล้วขอตัว”พูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
จิวหลงประสานมือตอบราวกับตัวเองเป็นองครักษ์จริงๆ
“พบกันเป็นวาสนามีโอกาสอาจได้พบกันอีก”อี้เฟยถอนหายใจยาวจิวหลงกลับยิ้มสดใส
เสียงฝีเท้าแน่นหนักของหร่วนจิงหยางอ๋องสะท้อนบนพื้นหินเย็นเฉียบของตำหนักชั้นใน ร่างสูงในอาภรณ์ราชสำนักปักลายมังกรสีเทาทมิฬเดินตรงดิ่งอย่างไม่ลังเล ท่ามกลางความสงบเยือกเย็นของยามสาย วันหนึ่งที่แสงแดดมิได้แรงนัก แต่พออบอุ่นผิว ทำให้จิวหลงน้อยอดที่จะชื่นชมตั้งใจใช้เป็นแบบอย่าง
เขามุ่งหน้าสู่บันไดห้องหนังสือที่ประทับส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ ซึ่งไม่อนุญาตให้ใครเข้าพบเว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ
แต่ยามก้าวถึงบันไดขั้นสุดท้าย สายตาคมของเขากลับชะงัก…
ตรงนั้นเอง
ร่างหนึ่งในอาภรณ์ผ้าไหมบางเบาสีเหลืองอ่อนยืนอยู่ ดั่งแสงตะวันอ่อนช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่สะท้อนผ่านม่านหมอกจางๆของเช้าใบหน้าขาวผ่อง ดวงตากลมโตมีประกายระยิบอย่างไร้เดียงสา มวยผมครึ่งศีรษะเกล้าไว้เรียบเรียงงดงาม อีกครึ่งกลับปล่อยสยายราวม่านน้ำตกระย้าตรงแนบแผ่นหลังอ้อนบาง ปิ่นทองสลักรูปเมฆมงคลเสียบแน่นแต่อ่อนช้อย สะท้อนแสงเลื่อมระยับเมื่อลมพัด
ดวงตาคมราวเสือของจ้องมองเจิ้งซินนิ่ง หร่วนจิงหยางอ๋องรู้ตัวในวินาทีนั้นว่า…เขาจดจำร่างนี้ได้แม่นยำยิ่งกว่าสนมในตำหนักใด
ร่างนั้น...ที่เคยอยู่ใต้ร่างเขา ยามเปลือยเปล่า บอบบาง ร้อนรุ่ม หวาดกลัว และสั่นเทาด้วยน้ำตาหรวนจิงหยางอ๋องกลับจินตนาการไปถึงยอดอกที่ชูชันยามเปลือยเปล่าตามประสาบุรุษที่นิยมเรื่องบนแท่นนอน ความรู้สึกฮึกเหิมที่หายไปบัดนี้กลับคืนมาอีกครั้ง เอวคอดกิ่วสะโพกพายบั้นท้ายกลมกลึงยิ่งทำให้สายตาที่หรวนจิงหยางอ๋องมองยังเจิ้งชินจาบจ้วงจนเจิ้งชินสังเกตได้ จึงรีบยกมือขึ้นกอดอกไว้แต่เมื่อคิดได้ว่าเขาคนนี้คืออ๋องจอมโหดหร่วนจิงหยางอ๋องในคืนนั้น เจิ้งชินจึงรีบหลบดวงตาคมที่จ้องมองอย่างเปิดเผยนั้น ดวงตากลมโตขนตางอนยาวที่กะพริบตาเมื่อเห็นว่าจิวหลงกำลังยืนประสานมือส่งหรวนจิงหยางอ๋อง ทำให้หรวนจิงหยางอ๋องที่รู้สึกตัวว่าเผลอมองอีกคนจนเกินงาม
ความรู้สึกที่เขาคิดว่าจางไปแล้วกลับย้อนถาโถมขึ้นมาจนแทบหายใจไม่ทัน
หร่วนจิงหยางอ๋องกะพริบตา ความหงุดหงิดผสมความหลงใหลปะปนจนแยกไม่ออก ริมฝีปากกระตุกยิ้มเย็นเฉียบก่อนขยับกายเข้าใกล้
เจิ้งซินย่อกายลงช้าๆ
“คาระวะท่านอ๋อง”
“เจ้ายืนขวางทางข้า” เสียงเขาแหบพร่า ช้า และลึก
เจิ้งชินสะดุ้งเล็กน้อย ยกมือขึ้นกอดอกทันทีอีกครั้งเมื่อรู้ว่าดวงตานั้น...กำลังสำรวจเขาตั้งแต่ปลายผมจรดปลายเท้าอย่างไม่เกรงใจ
แววตาคู่นั้นมิใช่เพียงแค่ 'มอง'แต่คือการสำรวจ
เจิ้งชินเบือนหน้าหนี พยายามรวบรวมลมหายใจที่เริ่มสั่นไหว
"หม่อมฉันเพียงรอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ไม่มีเจตนาขวางทางเพคะ…"
เสียงนั้นเบา เรียบ และมีความสั่นเล็กน้อยที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำอย่างคนพยายามปิดบังความตื่นกลัว
และนั่น…ยิ่งทำให้หร่วนจิงหยางอ๋องยิ้มกว้างขึ้น
เมื่อหันไปเห็น ‘จิวหลง’ องครักษ์ประจำตัวของหญิงงามยืนประสานมือส่งสายตาลอบสังเกต
เจิ้งชินก็พลันกะพริบตาถี่ แววตาเปลี่ยนไปทันควัน ราวกับเพิ่งนึกได้ว่าจิวหลงอยู่ที่นั่น ดวงตานั้นเปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบ
หรวนจิงหยางอ๋องหัวเราะเบา ๆ
“หากมิได้มาขวาง ก็จงอย่ายืนทำให้คนอื่นจดจำกลิ่นหอมของเจ้าเช่นนี้…” เขาพูดเสียงแผ่วใกล้หู
“เพราะมีบางคน...ที่อาจอยากจะได้กลิ่นอีกครั้ง”
แล้วเขาก็ก้าวขึ้นบันไดช้า ๆ ราวกับมั่นใจว่า แผ่นหลังของเขาจะถูกสายตาคู่นั้นมองตามไปด้วยความระแวง หวาดกลัว หรืออาจ…มีบางอย่างที่มากกว่านั้น
“หร่วนจิงหยางอ๋อง เสด็จจจจจ”
เสียงขันทีหน้าห้องขานดังๆ ทำให้ หร่วนจิงหยางอ๋องก้าวขาเข้าไปในห้องหนังสือของตำหนักใหญ่ เจิ้งชินประสานมือย่อกายอย่างเสียไม่ได้ ใบหน้างามก้มให้ต่ำที่สุดด้วยบาดแผลในใจ
