ตอนที่ 9 โชคดีที่มีพี่ชายเช่นเขา
ชายารองโจวเพ่ยเพ่ยถึงกับตกใจเมื่อเห็นหน้าของอู๋เสี่ยวหรัน วันนี้พระชายาคนที่ปกติไม่เคยแต่งตัว ใบหน้าก็ปล่อยให้โล้นเกลี้ยงไม่เคยเห็นนางแต่งหน้าทาชาดเช่นนี้เลยสักครั้ง แม้จะเป็นคนงามก็จริงแต่กลับจืดชืดไร้สีสัน นั่นยิ่งส่งเสริมให้โจวเพ่ยเพ่ยยิ่งดูเป็นคนที่งดงามสดใสมากขึ้นไปอีก เมื่อถูกเปรียบเทียบกับพระชายาเอก
แต่กลับกันวันนี้อู๋เสี่ยวหรันนางเหมือน…เหมือนปีศาจจิ้งจอก งามล่มเมืองที่กำลังยิ้มยั่ว โจวเพ่ยเพ่ยต้องสูดหายใจเข้าเพื่อดึงสติกลับมา
“วันนี้หม่อมฉันเห็นพระชายาสดใสเช่นนี้ก็เบาใจเพคะ”
โจวเพ่ยเพ่ยกัดฟันพูดอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก
“ช่วงนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นมาก ๆ ท่านอ๋องแทบจะขนของบำรุงมาไว้ที่ตำหนักข้าจนแทบไม่มีที่จะเดินแล้ว ฮิ ฮิ”
อู๋เสี่ยวหรันยกผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากหัวเราะเบา ๆ เลียนแบบท่าทางของหญิงงามที่นางเคยเห็นบ่อย ๆ
“ดีแล้วเพคะ พระชายาจากนี้ไปท่านจะได้แข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ มีท่านอ๋องน้อยโดยไว”
โจวเพ่ยเพ่ยหนังตากระตุกแต่ก็ยังสามารถปั้นหน้ายิ้มเหน็บแนมนางได้
“คิก คิก ขอบใจพระชายารองอีกครั้ง ว่าแต่วันนี้อุตส่าห์มาถึงนี่ คงมิใช่เพียงมาพูดคุยเป็นเพื่อนข้าอย่างเดียว”
อู๋เสี่ยวหรันยังคงยิ้มแย้มใบหน้าดูนุ่มนวลอ่อนหวานอยู่เช่นเดิม
“พ่อบ้านโม่รายงานว่าวันนี้พระชายาเรียกให้ร้านเครื่องประดับและร้านตัดเย็บเข้ามาพบที่ตำหนัก เห็นว่าพระชายารับของไว้มากมาย ทั้งหมดมีมูลค่าเกินกว่าห้าหมื่นตำลึงเลยทีเดียว คือหม่อมฉันมิได้ว่ากล่าวพระชายานะเพคะ เพียงแต่ แต่ละเรือนกำหนดไว้ให้ใช้เพียงร้อยตำลึงต่อเดือนเพคะ ครั้งหน้าหวังว่าพระชายา….”
โจวเพ่ยเพ่ยพูดค้างเพียงเท่านี้ ก็เงียบไปก้มหน้าลงราวกับว่านางกำลังลำบากใจอย่างหนัก
“โอ้ตายจริง” อู๋เสี่ยวหรันยกมือขึ้นทาบอกและถามด้วยใบหน้าไร้เดียงสา “ระเบียบนี้ก็รวมข้าด้วยหรือ ท่านอ๋องบอกว่าข้าอยากได้อะไรก็ซื้อได้ตามใจ ท่านอ๋องมิได้บอกเลยว่าไม่ให้เกินร้อยตำลึง เช่นนั้นข้าคงต้องไปขออภัยท่านอ๋องด้วยตัวเองเสียแล้ว” อู๋เสี่ยวหรันทำหน้ารู้สึกผิดอย่างยิ่ง
“มิใช่ มิใช่เพคะ พระชายาท่านเข้าใจผิดแล้ว” โจวเพ่ยเพ่ยโบกมือเป็นพัลวัน
“เรื่องเพียงเท่านี้อย่ารบกวนท่านอ๋องเลยเพคะ หากพระชายาต้องการซื้อหาสิ่งใดจะมีใครกล้าขัดใจเล่าเพคะ วันนี้หม่อมฉันเพียงมาเยี่ยมเยือนเพราะเป็นห่วง ต้องขอตัวลาไม่รบกวนเวลาสุนทรีของพระชายาแล้วเพคะ” โจวเพ่ยเพ่ยย่อตัวเล็กน้อยแล้วออกไปทันทีสีหน้านางบิดเบี้ยวไปมา
“ฮ่า ๆ ๆ” อู๋เสี่ยวหรันหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางการเดินออกไปอย่างเร่งรีบของพระชายารองโจว
“เหมยฮวา เด็กดีเล่าเรื่องวันนี้ให้ท่านอ๋องฟังด้วยนะ” อู๋เสี่ยวหรันเอื้อมมือไปเชยคางของเหมยฮวาขึ้นมาสบตานางแล้วยิ้มออกมา
“อย่าให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว” อู๋เสี่ยวหรันย้ำอีกครั้ง
“คือพระชายาท่านอ๋องยกพวกบ่าวทั้งหมดให้ฟังคำสั่งท่านเท่านั้น ทุกเรื่องไม่ต้องรายงานท่านอ๋องแล้วเจ้าค่ะ” เป็นเหมยฮวาที่บอกแก่นาง
“อืมดี แต่เรื่องวันนี้ข้าต้องการให้บอก ยิ่งท่านอ๋องช่วยแสดงละครยิ่งเล่นใหญ่ยิ่งดี ข้าจะรอดูหางของสุนัขที่เหลือโผล่ออกมา”
อู๋เสี่ยวหรันปล่อยมือจากคางนางแล้วลุกขึ้น
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เหมยฮวาเป็นผู้ที่อยู่กับอู๋เสี่ยวหรันมานานที่สุด ยิ่งมองนางยิ่งชอบพระชายา เมื่อก่อนอาจจะเป็นเพราะนางเจ็บป่วยจึงดูเศร้าหมอง ทุก ๆ สิ่งรอบ ๆ ตัวนางหม่นหมองไปเสียทุกอย่าง
ตอนนี้พระชายาช่างเฉลียวฉลาด เรื่องชิงไหวพริบเรือนหลังก็ไม่เป็นรอง อีกอย่างตอนนี้พระชายาช่างงดงามยิ่งนัก มิน่าท่านอ๋องจึงดูแลพระชายาอย่างดี ต้องการสิ่งใดก็มิเคยขัด และดูเหมือนว่าช่วงเดือนที่ผ่านมา ท่านอ๋องไม่เคยแม้จะค้างอ้างแรมที่ตำหนักอื่นเลย แต่ก็นั่นแหละท่านอ๋องก็ไม่ได้มาพักกับพระชายาของนางเช่นกัน
“เหมยฮวาเจ้าเป็นอะไรไปถอนหายใจทำไม”
“มะ ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”
“อย่าถอนหายใจพร่ำเพรื่อรู้หรือไม่ มันจะบั่นทอนกำลังใจคนฟัง”
“บ่าวสมควรตายเจ้าค่ะ ขออภัยพระชายาจริง ๆ ที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ”
“ใช่ข้าไม่สบายใจ เพราะฉะนั้นจงพูดออกมาว่าเจ้าเป็นอะไร”
“พระชายาอย่าโกรธบ่าวนะเจ้าคะ คือว่าเรื่องท่านอ๋องน้อยเจ้าค่ะ หากมีเฉิงอ๋องซื่อจื่อสักคน เท่านี้ท่านก็จะกดหัวพระชายารองโจวผู้นั้นไว้จมดินได้แล้ว” เหมยฮวากัดฟันไปด้วย
“พรืดดด..... ฮ่า ๆ เหมยฮวาเจ้านี่สมกับเป็นหญิงเรือนหลังเสียมากกว่าข้าอีกนะ ฮ่า ๆ”
“โถ่พระชายาทูนหัวของบ่าว” เหมยฮวามุ่ยปาก
“เอาล่ะ ๆ ข้าจะเก็บไปคิดก็แล้วกัน”
“ไปเถอะ” อู๋เสี่ยวหรันฮัมเพลงเบา ๆ เดินออกจากศาลา
และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เฉิงอ๋องก็ยังมิได้มาร่วมมื้อค่ำกับนาง เพราะต้องไปวางแผนการเดินทางที่กรมพิธีการ กำหนดวันเดินทางไว้อีกสามเดือน
“พระชายา ท่านอ๋องให้คนมาแจ้งว่ากลับดึกขอรับท่านไม่ต้องรอ”
“ขอบใจมาก”
สามสิบส่งเสียงรายงานนางตอนที่กำลังกินข้าวอยู่โดยไม่ปรากฏตัวออกมา อู๋เสี่ยวหรันมีประสาทสัมผัสที่ไวอยู่แล้ว ไยจะไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่รอบ ๆ ตัวนางตลอดเวลา
เพราะในชาติก่อนนาง ‘ เผิงเสี่ยวหรัน’ เป็นถึงบุตรีเพียงผู้เดียวของท่านแม่ทัพเผิง แม่ทัพผู้มีอำนาจมากที่สุดในต้าเลี่ย ตัวนางเองได้สืบทอดทุกสิ่งอย่างมาจากบิดา นางได้พิสูจน์ตัวเองอยู่ในสนามรบ และได้รับการยอมรับจากเหล่ารองแม่ทัพทั้งหลาย จนสามารถนั่งตำแหน่งแม่ทัพหญิงได้อย่างมั่นคง
ก่อนที่นางจะออกสู่สนามรบและได้นั่งตำแหน่งแม่ทัพ นางมีคนรักอยู่แล้ว นั้นคือ ซือหม่าโม่โฉว ตอนนั้นเขาเป็นเพียงองค์ชายสี่ที่พระมารดามีตำแหน่งเป็นถึงหวงกุ้ยเฟย แต่เป็นกุ้ยเฟยอายุสั้นจากไปตั้งแต่เขายังเด็ก ถึงกระนั้นเขาก็ถูกเลี้ยงดูจากฮองเฮาเติบโตมาพร้อม ๆ กันกับรัชทายาท เรียกได้ว่าเป็นพี่น้องที่ดูจากภายนอกนั้นรักใคร่ผูกพันกันอย่างยิ่ง
เผิงเสี่ยวหรันรู้จักกับซือหม่าโม่โฉวในงานเลี้ยงต้อนรับทูตจากต่างแคว้น โดยการแนะนำของจางหมิ่นเพื่อนในวัยเด็กของนาง ตั้งแต่นั้นมาพวกนางทั้งสองก็สานสัมพันธ์กันเรื่อยมา โดยมีจางหมิ่น เป็นเหมือนพยานรักของคนทั้งสอง
เผิงเสี่ยวหรันที่รักมั่นปักใจ หลังจากเวลาผ่านไปห้าปีนางได้ขึ้นเป็นแม่ทัพหญิง ตอนนั้นเองที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมอบรางวัลให้แก่นาง นางมิได้ต้องการรางวัลใด แต่สิ่งที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตของนางนั้นคือ ขอพระราชทานสมรสระหว่างนางและซือหม่าโม่โฉว และนั่นเองเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมในชีวิตนาง
เพราะหลังจากนางแต่งให้ซือหม่าโม่โฉวแล้ว ระหว่างชายแดนก็มีเรื่องระหองระแหงตลอดนางจำต้องใช้ชีวิตอยู่ที่ชายแดนมากกว่าอยู่ในเมืองหลวง ทำให้เกิดระยะห่างระหว่างพวกนางทั้งสองมากขึ้นทุกวัน สำหรับนางแล้วยังคงรักมั่นปักใจอยู่เช่นเดิม ระหว่างที่นางอยู่ชายแดนสามีของนางจะส่งจดหมายข้าวของเครื่องใช้ของแทนใจมาถึงนางมิได้ขาด
จนกระทั่งวันหนึ่งซือหม่าโม่โฉวผู้เป็นสามีของนาง บอกนางว่าเขาไม่ต้องการเป็นเพียงองค์ชายและรับตำแหน่งอ๋องอีกต่อไป เขาอยากขึ้นไปยังตำแหน่งสูงสุด ด้วยความรักและความหลงโดยไม่มีเงื่อนไข นางไม่ได้คิดหน้าคิดหลังสุดท้ายนางลงมือทำทุกอย่างที่จะช่วยส่งเขาจนถึงฝั่งฝันจนได้
ฉากชีวิตสุดท้ายที่นางรอคอย มีลูกและสามีที่นางรักยิ่งอยู่ด้วยกันในวังอย่างสงบสุขและมีความสุขตลอดไป
แต่คำว่าตลอดไปสำหรับเขาไม่เหมือนของนาง เมื่อส่งเขาขึ้นถึงตำแหน่งสูงสุดแล้วเขากลับมองว่านางคืออุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุดแทน
อู๋เสี่ยวหรันที่นึกถึงอดีตนางก็เผลอกำหมัดและตะเกียบไว้แน่น
“เป๊าะ!” เสียงของตะเกียบที่หักในมือนาง ปลุกนางให้ออกจากภวังค์ของอดีต ทำให้นางได้เห็นว่ามีเลือดไหลลงมาตามเศษตะเกียบ และไหลลงข้อมือนางทำให้แขนเสื้อสีขาวถูกย้อมด้วยสีแดงทันที
“พระชายาปล่อยมือก่อนเจ้าค่ะ บ่าวจะไปตามหมอ”
เหมยฮวาและเหลียนฮวาวิ่งเข้ามา เหลียนฮวาเห็นดังนั้นก็ทำท่าจะวิ่งออกไป แต่ถูกอู๋เสี่ยวหรันห้ามไว้ก่อน
“ไม่ต้องตามหมอ เจ้าทำแผลให้ข้าแล้วกัน”
“แต่...”
“ไม่มีแต่”
“เจ้าค่ะพระชายารอสักครู่”
เหลียนฮวาวิ่งออกไปโดยไว
ตอนนั้นเองที่มีเสียงเปิดประตูเข้ามาจากด้านนอก เป็นเฉิงอ๋องที่กลับมาก่อนเวลา เขาเห็นเลือดที่ย้อมแขนเสื้อนาง ก็รีบถลาเข้ามาแล้วจับมือนางทันที
“หรันเอ๋อร์เกิดอะไรขึ้น ทำไมเลือดไหลเช่นนี้” เฉิงอ๋องจ้องเขม็งไปที่สาวใช้
“พี่เสวี่ยเยวียนเป็นข้าที่ซุ่มซ่ามเองเจ้าค่ะ” อู๋เสี่ยวหรันตอบเขา
“ถวายพระพรท่านอ๋องเพคะ พระชายายามาแล้วเพคะ” เหลียนฮวาวิ่งเข้ามาพร้อมกับกล่องยา
“ส่งมาข้าทำเองไปยกน้ำร้อนกับผ้าสะอาดมาก็พอ” เฉิงอ๋องออกคำสั่ง อู๋เสี่ยวหรันพยักหน้าให้ทุกคนจากนั้นทั้งหมดก็ออกไป เหลือเพียงนางและเฉิงอ๋องเท่านั้น
เมื่อได้น้ำร้อนมาแล้วเขาลงมือล้างและทำแผลให้นางด้วยตัวเอง นางไม่ได้รู้สึกเจ็บแม้แต่นิด เพราะหัวใจที่เจ็บปวด แผลเพียงเท่านี้ไม่สามารถสร้างความรู้สึกอันใดได้เลย …
เฉิงอ๋องทำแผลให้อู๋เสี่ยวหรันอย่างเบามือ เพราะตั้งแต่เด็กนางขี้แยและอ่อนแอมาตลอดแผลเพียงเล็กน้อยก็ทำให้น้ำตานางไหลพรากได้แล้ว
“เหตุใดจึงไม่ระวังถึงเพียงนี้ มีเรื่องอันใดให้เจ้าโมโหกระนั้นหรือ เจ้าดูสิเศษไม้ติดอยู่ในเนื้อ ข้าต้องดึงมันออกอาจจะเจ็บเล็กน้อย”
เสียงของเขายังคงอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนพี่ชายที่กำลังบ่นน้องสาวแต่ก็กลัวน้องสาวจะเจ็บไปด้วย
“พี่เสวี่ยเยวียนข้าทนได้เจ้าค่ะตอนนี้ข้าโตแล้วนะ” อู๋เสี่ยวหรันตอบเขาและยิ้มบาง ๆ ให้
เฉินอ๋องเขาค่อย ๆ ดึงเศษไม้ที่หักออกมาจากตะเกียบออกช้า ๆ เมื่อเศษไม้ถูกดึงออกมาแล้ว ทำให้มีเลือดไหลทะลักเพิ่มอีก เขารีบเอาผ้าสะอาดซับเลือดแล้วกดไว้เบา ๆ เพื่อให้เลือดหยุดไหล
อู๋เสี่ยวหรันมองการกระทำของเขา มองมือของนางที่เขาจับไว้เบา ๆ แล้วเริ่มทายาลงไป ถึงแม้มือเขาจะใหญ่กว่ามือของนางมาก แต่นางแทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บเลย เพราะเขาทำมันอย่างเบามือยิ่งนัก
จากนั้นเขาก็เริ่มนำผ้ามาพันไว้ที่มือ ทุกการกระทำของเขาลื่นไหลอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับทำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
‘อู๋เสี่ยวหรันเจ้าช่างโชคดีจริง ๆ ที่มีพี่ชายเช่นเขา’