บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 10 ตาบอดเพราะรัก

อู๋เสี่ยวหรันในชาติที่แล้วนางเคยมองเฉิงอ๋องผู้นี้จากที่ไกล ๆ เขาเป็นคนเคร่งขรึมเย็นชา และที่สำคัญเขาเก่งกาจและโหดเหี้ยมมากเช่นกัน คงมีแต่อู๋เสี่ยวหรันเท่านั้นที่ได้รับความห่วงใยจากเขาในฐานะน้องสาวที่ต้องปกป้อง

“เสร็จแล้วล่ะต่อจากนี้จะทำอะไรก็เรียกสาวใช้ อย่าใช้มือข้างนี้มากนักที่สำคัญอย่าให้โดนน้ำ”

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ว่าแต่พี่เสวี่ยเยวียนข้าขอเดินทางไปต้าเลี่ยพร้อมท่านได้ไหมเจ้าคะ คือว่า...ข้ายังมิเคยไปที่นั่นเลย” อู๋เสี่ยวหรันลองหยั่งเชิงเขา

“ไปครั้งนี้ข้าบอกตามตรงว่าข้ายังมีภารกิจอื่นอีก คงไม่สามารถพาเจ้าไปด้วยได้ แต่ครั้งหน้าข้าสัญญาว่าจะพาเจ้าออกไปท่องเที่ยวด้วยอย่างแน่นอน” เฉิงอ๋องทำหน้าลำบากใจเล็กน้อยก่อนบอกกับนาง

“ท่านอย่าได้คิดมากเช่นนั้นสิเจ้าคะ ข้าเพียงแค่อยากออกไปท่องเที่ยวเท่านั้น แต่หากท่านมีภารกิจ แต่ท่านสัญญาแล้วนะเจ้าคะว่าครั้งหน้าต้องพาข้าไปด้วย”

อู๋เสี่ยวหรันนางไม่ได้ดึงดันอีก ถ้านางเดาไม่ผิดนางคิดว่าครั้งนี้ เขาคงจะไปเพื่อสืบข่าวและจัดการเส้นสายที่อยู่ที่นั่น การไปร่วมอวยพรเป็นเพียงฉากบังหน้าเสียมากกว่า

“เข้าใจก็ดีแล้วอยู่ที่นี่ให้ดี”

“พี่เสวี่ยเยวียนกินมื้อค่ำมาหรือยังเจ้าคะ หากยังก็กินร่วมกันสักมื้อเถิดเจ้าค่ะ พวกเราไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้ว”

“ได้สิ” เมื่อเฉิงอ๋องตอบรับ บ่าวรับใช้ก็รีบเพิ่มชุดข้าวและตะเกียบให้เจ้านาย จากนั้นทุกคนก็ออกจากห้องไปปล่อยให้สามีภรรยาได้ใช้เวลาร่วมกัน

แต่โม่เสวี่ยเยวียนเพียงกินไม่กี่คำเท่านั้น ส่วนอู๋เสี่ยวหรันเองก็กินได้ไม่มากเช่นกัน ทั้งคู่จึงจบมื้ออาหารอย่างรวดเร็ว โดยที่เฉิงอ๋องได้กลับไปทำงานต่อ ไม่ได้ค้างแรมที่ตำหนักของนาง

“ข้าออกไปส่งท่านเจ้าค่ะ” อู๋เสี่ยวหรันลุกขึ้นและเดินออกมาส่งเขาจนถึงหน้าประตู

“กลับเข้าไปได้แล้วตรงนี้ลมแรงนัก” เขาพูดกับนางจากนั้นก็หันหน้าไปทางเหมยฮวา พยักหน้าส่งสัญญาณให้นางมาพาเจ้านายกลับไป

สองนายบ่าวมองส่งเฉิงอ๋องออกไป จากนั้นตัวนางเองก็หันหลังกลับเข้าด้านใน

เมื่อเห็นว่าท่านอ๋องออกไปโดยไม่คิดที่จะนอนค้างที่ตำหนักนี้ เหมยฮวาและเหลียนฮวาต่างหันมามองหน้ากันและเข้าใจในความหมายที่ส่งมาทางสายตาทันที แต่เพราะเป็นเรื่องของเจ้านายบ่าวไพร่เช่นพวกนางไม่ควรสอดปากเด็ดขาด

หลังจากกินมื้อค่ำเสร็จแล้วอู๋เสี่ยวหรัน เลือกที่จะเข้าไปอยู่ในห้องนอน โดยที่ตอนนี้มันถูกเพิ่มโต๊ะสำหรับเขียนอักษรเข้ามาด้านใน วางข้างหน้าต่างเพื่อรับลมและเปิดรับแสงในช่วงเวลากลางวันได้

เหตุที่ต้องทำเช่นนี้เพราะร่างกายของอู๋เสี่ยวหรันอ่อนแอมาก และนางยังขี้หนาวมากเช่นกัน ยิ่งใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวเพียงสายลมเบา ๆ ก็ทำให้นางรู้สึกหนาวถึงกระดูกแล้ว

“เฮ้อ…ถ้าเจ้าบ้าอวิ๋นอยู่ด้วยก็ดีสิข้าจะได้กลับมาเป็นคนแข็งแรงเหมือนเดิมเร็วกว่านี้แน่ ๆ” อู๋เสี่ยวหรันนั่งถอนหายใจกับตัวเอง

อู๋เสี่ยวหรันใช้เวลานี้จดบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากที่นางตายไปเมื่อหนึ่งปีก่อน โดยรวบรวมจากเรื่องเล่าจากพวกเหมยฮวาและเหลียนฮวา แต่เรื่องราวส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในแคว้นฮุ่ยหลงแห่งนี้เสียมากกว่า

“พระชายาขออนุญาตเข้าไปขอรับ”

เสียงของสามสิบดังขึ้น

“เข้ามาสิ”

หลังจากได้รับคำอนุญาต สามสิบก็เดินเข้ามาภายในห้อง ด้านหน้าห้องก็ยังมีบ่าวหญิงอยู่เฝ้าเอาไว้ เขาเข้ามาพร้อมกับกระดาษห่อใหญ่

“นี่เป็นข้อมูลของคนในตำหนักทั้งหมดที่พระชายาต้องการขอรับ”

“ครั้งก่อนที่เจ้านำมาให้ข้าน่าจะเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงทั้งหมดแล้วนี่ครั้งนี้ล่ะ”

“ครั้งนี้เป็นเรื่องของอดีตและภูมิหลังของครอบครัวแต่ละคน ซึ่งนี่ก็รวมไปถึงคนรักเก่าหรือคนสนิทเก่าของอนุทั้งสามด้วยขอรับ”

“วางไว้บนโต๊ะเถอะไว้ข้าจะอ่านอีกที…. ว่าแต่เจ้ารู้จักหมอเทวดาเฟิ่งอวิ๋นหรือไม่”

“หมอเทวดาเฟิ่งอวิ๋นนั้นพวกเรารู้จักชื่อเสียงเป็นอย่างดีขอรับ เพียงแต่ว่าเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อนเขาก็หายไปเสียดื้อ ๆ และไม่มีข่าวว่าเขาปรากฏตัวที่ไหนอีกเลย พระชายาต้องการพบหมอเทวดาเฟิ่งหรือขอรับ”

“อืม ใช่แล้วล่ะ”

“เมื่อไม่นานมานี้ที่แถบชานเมือง มีข่าวว่าหมอพเนจรมารักษาชาวบ้านที่ยากไร้ แล้วก็พวกขอทานโดยไม่คิดเงิน มีเสียงเล่าลือจากชาวบ้านถึงขั้นที่ว่า ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเจ็บป่วยใกล้ตายเพียงใด ขอเพียงถึงมือหมอพเนจร ก็สามารถยื้อชีวิตกลับมาจากปรโลกได้ พวกคหบดีคนที่พอมีอันจะกิน เคยขอให้เขามาช่วยรักษาคนในบ้าน แต่ก็ถูกหมอพเนจรปฏิเสธไปทุกราย เขาบอกเพียงว่าเขาจะรักษาให้คนที่เขาอยากรักษาเท่านั้น เคยมีคนถามว่าเขาเป็นใครมาจากไหน ตัวเขาไม่ได้บอกอะไรเพียงแต่มักจะพูดว่าตนเป็นลูกศิษย์ฮั่วท้อเซียนซือขอรับ”

‘ฮั่วท้อเซียนซือเจ้าบ้าอวิ๋นนั้นก็ชอบพูดว่าตนเป็นศิษย์เอกเช่นกัน หรือว่าพวกที่เก่งการแพทย์มักจะเชิดชูตัวเองเช่นนี้เหมือนกันหมดนะ’

อู๋เสี่ยวหรันได้ฟังลักษณะของหมอพเนจรที่สามสิบเล่าให้ฟัง ดูจากนิสัยก็คล้ายว่าจะเป็นเฟิ่งอวิ๋นสหายเก่าของนางอยู่เหมือนกัน

“ถ้าหากเขาเป็นหมอเทวดาจริง คงเป็นหมอที่มีจิตเมตตาคนหนึ่ง…. เจ้าลองสืบข่าวของเขาดูแล้วกัน และทาบทามให้มาช่วยตรวจอาการของข้าได้หรือไม่ แต่หากว่าเขาไม่ยินยอมก็ไม่ต้องบังคับเขา ทำเรื่องนี้เป็นความลับด้วย”

“ขอรับ”

“จริงสิรวบรวมเรื่องของต้าเลี่ยหลังจากที่เผิงฮองเฮาตายมาด้วย”

“ได้ขอรับ”

เมื่อเห็นว่าพระชายาก้มหน้าลงไปขีดเขียนอีกครั้ง สามสิบจึงทำความเคารพจากนั้นก็จากไป

ทางด้านโม่เสวี่ยเยวียนหรือเฉิงอ๋อง กลับไปยังห้องทำงานของตน นั่งลงบนโต๊ะตัวเดิมที่เขาให้เป็นที่ทำงานอยู่เป็นประจำ เขาเลือกหยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกทำสัญลักษณ์ของตำหนักอ๋องไว้ขึ้นมาอ่าน

“จวิ้นเข้ามา” สิ้นเสียงของเขาก็มีองครักษ์คนสนิทคนเดิมก็เข้ามายืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะ

“นี่เป็นผลชันสูตรของบ่าวหญิงคนนั้นหรือ”

เฉิงอ๋องส่งกระดาษแผ่นนั้นให้หลี่จวิ้น

“ทูลท่านอ๋องนี่เป็นผลการตรวจสอบศพ ของบ่าวประจำตัวพระชายาเอกที่มีชื่อว่าซูเม่ยพ่ะย่ะค่ะ อวัยวะภายในของนางถูกสารหนูทำลายมาเป็นเวลานาน ถ้าหากวันนั้นไม่มีพระชายาเอกอู๋ลงมือกระตุ้นอารมณ์เลือดและลมปราณของนาง ท่านหมอสวี่ที่เป็นผู้ตรวจสอบบอกว่าไม่เกินสามราตรีนางก็คงสิ้นลมพ่ะย่ะค่ะ”

“สืบหาต้นตอได้หรือไม่”

“สืบไปถึงบ่าวรับใช้ระดับล่างของร้านยาหมอสุ่นที่ประตูเหมันต์ แต่เบาะแสก็ขาดหายไป เพราะบ่าวคนนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยรวมถึงแม่ชราของเขาด้วยขอรับ พวกเราจึงไม่สามารถนำหลักฐานออกมาได้ มีเพียงคำสารภาพก่อนตายของซูเม่ย ว่าพระชายารองเป็นผู้บงการเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

“เข้าใจแล้วออกไปได้”

เฉิงอ๋องบอกด้วยเสียงเรียบ ๆ ส่วนตัวเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขาเริ่มครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนที่เขาทั้งได้เห็นและได้ยินสิ่งที่อู๋เสี่ยวหรันทำทั้งหมดที่คุกใต้ดิน

ในใจลึก ๆ เขารู้สึกว่านางเปลี่ยนไปมาก ทั้งชีวิตของนางที่เขารู้จักตั้งแต่เด็ก อู๋เสี่ยวหรันเป็นคนอ่อนแอและขี้โรค แต่ก็มีนิสัยร่าเริงสดใสมาตลอด

จนกระทั่งบิดามารดานางตายไป นางก็พูดน้อยลงกลัวคนแปลกหน้า จะพูดคุยกับคนสนิทเท่านั้น หลังจากฟื้นตื่นจากความตายในครั้งนี้ นางก็เปลี่ยนไปราวกับกลายเป็นคนละคน

แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่นางได้พบผ่านมาตลอดหลายปีนี้ นางเกือบตายมาแล้วหลายครั้ง หากนางจะกัดฟันลุกขึ้นสู้แล้วหันมารักตัวเอง ปกป้องตัวเองให้มากขึ้น นั่นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากเช่นกัน อู๋เสี่ยวหรันที่เป็นเช่นนี้ เขาจะได้วางใจและออกไปปฏิบัติภารกิจได้อย่างเต็มที่

เมื่อนึกถึงอู๋เสี่ยวหรันเขาก็พลันนึกถึงผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่มีชื่อเหมือนกัน แต่นิสัยใจคอนั้นกลับตรงกันข้าม เรียกได้ว่าต่างกันราวกับฟ้าและก้นเหว หญิงนางนี้เขาเคยรู้จักมานานหรือจะเรียกว่าเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาหลายปีมากกว่า

จนกระทั่งวันหนึ่งที่นางสิ้นชีพลง เขายังนึกเสียดายหญิงที่แข็งแกร่ง ฉลาดหลักแหลม วางแผนในการรบได้ดีเยี่ยม ฝีไม้ลายมือการต่อสู้ของนางก็ไม่เป็นรองใคร

แต่ลึก ๆ ลงไปแล้วเขารู้สึกเสียดายที่นางดวงตามืดบอด หลงรักชายผิดคนมากกว่า ใช่แล้วหญิงสาวที่เขานึกถึงนั่นก็คือ อดีตแม่ทัพหญิงเผิงเสี่ยวหรัน อดีตฮองเฮาของต้าเลี่ย

หากอู๋เสี่ยวหรันมีนิสัยหรือความสามารถ ได้สักครึ่งหนึ่งของเผิงเสี่ยวหรันผู้นั้นเขาคงหมดห่วง

แต่คงต้องยกเว้นในเรื่องของการรักคนผิดของนางไว้สักเรื่องหนึ่ง ฉลาดเพียงไหนก็ตาบอดเพราะความรักได้

เขาได้สืบทราบมาแล้วว่าสาเหตุการตายของเผิงฮองเฮาแท้จริง มิได้เป็นเพราะครรภ์เป็นพิษอย่างที่ราชวงศ์

ซือหม่าได้ปล่อยข่าวออกมา แต่เป็นเพราะชายผู้เป็นฮ่องเต้โฉดผู้นั้นกำจัดนางด้วยตัวเอง

ซือหม่าโม่โฉวนอกจากจะเกาะชายกระโปรงผู้หญิงขึ้นมายิ่งใหญ่แล้ว เขายังโง่มากอีกด้วยที่กำจัดแม่ทัพผู้เก่งกาจของแผ่นดินตนเองทิ้งไป

เฉิงอ๋องนั่งคิดถึงอดีตและแผนการในอนาคตของเขา ก็ให้ยกยิ้มออกมาเล็กน้อยอยู่ในเงามืด

สองวันต่อมาเสื้อผ้าที่สั่งตัดเก็บไว้ ก็เริ่มทยอยมาส่งถึงหน้าจวนอ๋องตั้งแต่เช้า ครั้งนี้พ่อบ้านโม่ไม่กล้าสร้างปัญหาใด ๆ อีก เขาให้ตัวแทนร้านผ้าเหล่านั้นไปรับเงินได้แต่โดยดี เพราะครั้งล่าสุดเขาถูกท่านอ๋องเรียกไปตำหนิโดยตรง

ตั้งแต่เขารับงานพ่อบ้านในจวนแห่งนี้ต่อจากบิดามาตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่เคยมีครั้งไหนที่ถูกตำหนิแรง ๆ เช่นนี้ แม้กระทั่งเรื่องโสมร้อยปีที่เขาแอบสลับสับเปลี่ยนเป็นโสมธรรมดาทั่วไป ท่านอ๋องก็ยังทรงทราบ แล้วอย่างนี้เขาจะกล้าเล่นลูกไม้อันใดอีกเล่า

วันนี้พ่อบ้านโม่เป็นผู้นำบ่าวทั้งหลาย ยกกล่องใส่อาภรณ์ทั้งหมดมาส่งที่ตำหนักของพระชายาด้วยตัวเอง

ในตอนที่เขามาถึงตำหนักจูเจิน อู๋เสี่ยวหรันกำลังกินรังนกตุ๋นโสมอยู่ นางจึงปล่อยให้เขานั่งรอก่อน พ่อบ้านโม่แม้จะไม่พอใจสักเพียงไหน แต่ด้วยความที่เป็นบ่าวจำต้องนั่งลงคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับบ่าวทั้งหลายที่ยกของมา

อู๋เสี่ยวหรันนางไม่ได้รีบร้อนอันใดนางค่อย ๆ ละเลียดกินรังนกทีละน้อยทีละน้อย ราวกับว่าสิ่งที่นางกินไปนั้นเป็นเดือนเป็นดาว นางกินมันยังมีความสุขสำราญยิ่งนัก จนกระทั่งกินจนถึงช้อนสุดท้ายลงไปแล้ว นางจึงค่อย ๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเบา ๆ ตามมุมปาก

จากนั้นค่อย ๆ หันมาด้านข้างทางด้านที่พ่อบ้านโม่นั่งรออยู่ ด้วยสีหน้าพี่ไม่ค่อยดีนัก

“เสียเวลาอันมีค่าของพ่อบ้านแล้ว รังนกนี้ตุ๋นด้วยโสมร้อยปีไว้ตั้งแต่เมื่อคืน จนกระทั่งมันพร้อมกินในเช้าวันนี้ หากข้าไม่รีบกินมันลงไปคงพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดไปแน่”

อู๋เสี่ยวหรันพูดไม่ช้าไม่เร็วและยังอมยิ้มบางเบาให้กับเขา โดยไม่สนใจสีหน้าถมึงทึงของพ่อบ้านโม่แต่อย่างใด

✼ •• ┈┈┈┈┈┈┈ •• ✼

ฮั่วท้อเซียนซือ ถือว่าเป็นประดุจเทพเจ้าแห่งการแพทย์ช่วยปัดเป่า ความเจ็บ ความป่วย
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel