บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 7 ชายปริศนา

นางออกคำสั่งพร้อมกับยื่นมือไปคว้าจับถ้วยยาที่ถูกวางไว้ จนมีอุณหภูมิที่เหมาะสมไม่ร้อนและไม่เย็นจนเกินไป เพื่อที่จะดื่มเข้าได้ง่ายขึ้น หลังจากสูดหายใจเข้าลึก ๆ กลั้นหายใจไว้จากนั้นนางก็ยกก็ดื่มรวดเดียวทั้งหมด

“ผลไม้เชื่อมและน้ำตาลกรวดเจ้าค่ะ” อิ๋งชุนรู้นิสัยของนายหญิงตนเองเป็นอย่างดี โจวเพ่ยเพ่ยรีบรับเอาผลไม้เชื่อมสองชิ้นโยนเข้าปากทันที พร้อมกับดื่มชากลั้วคอเพื่อให้รสชาติของยาขมหายไป

“อิ๋งชุนถึงเวลาที่เราต้องเอาของที่ท่านยายมอบให้ออกมาใช้แล้ว เวลานี้แหละที่นังแพศยาอู๋เสี่ยวหรัน ต้องหายไปจากโลกนี้เสียที”

สายตาของโจวเพ่ยเพ่ยที่มองไปยังสาวใช้คนสนิทเปลี่ยนไปแข็งกร้าวและเด็ดขาดขึ้นมา

อิ๋งชุนไม่กล้าออกปากคัดค้านที่จะนำสิ่งนั้นออกมาใช้ เพราะหากพวกนางถูกเฉิงอ๋องที่ทหารต่างขนานนามว่าเทพสงครามผู้นั้นจับได้ ผลที่ตามมาคงมีแต่ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น และคงจะเป็นการตายที่แสบทรมานเป็นแน่

เมื่อยามค่ำคืนได้มาถึง ที่ตำหนักเจินจูยังคงจุดตะเกียงและเทียนจนสว่างไสว โดยเฉพาะเรือนนอนของเจ้านาย ที่ยังคงหลับใหลไม่ได้สติอยู่ และเกรงว่าเมื่อพระชายาเอกตื่นขึ้นมาจะไม่มีใครเห็นและปรนนิบัติได้ทันท่วงที

ส่วนเฉิงอ๋องหลังจากที่เขาเข้ามาดูอาการเมื่อช่วงบ่าย เขาก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย เพียงสั่งให้ท่านหมอจงมาพักอยู่เรือนชั้นนอก ที่ใกล้กลับเรือนชั้นในมากที่สุดแทน

ภายในห้องนอนเหมยฮวานางกำลังค่อย ๆ ป้อนน้ำแกงโสมร้อยปีที่ต้มพร้อมกับสมุนไพรอื่น ๆ อีกกว่าร้อยชนิดนานนับชั่วยาม รินลงปากของอู๋เสี่ยวหรันผ่านช้อนหยกทีละน้อย ๆ

“เท่านี้ก็น่าจะได้แล้วล่ะ” เหมยฮวาส่งถ้วยที่ว่างเปล่าให้กับเหลียนฮวา พร้อมกับรับเอาผ้าชุบน้ำอุ่นจากหวงหลานเช็ดมุมปากและตามมือเท้าของเจ้านาย

“ไปกันเถิดพระชายาได้ดื่มยาที่ล้วนแต่มีสรรพคุณชั้นเลิศแล้วไม่นานต้องดีขึ้นแน่นอน” เหลียนฮวาเอ่ยปลอบใจเพื่อนของนางที่ดูเป็นห่วงเป็นใยพระชายาเกินกว่าจะตัดใจลุกออกไปจากห้องได้

เหมยฮวาพยักหน้าน้อย ๆ จากนั้นนางก็จัดการห่มผ้าให้อบอุ่นมองความเรียบร้อยรอบห้องก่อนจะออกไปเฝ้าที่หน้าห้องนอน ปล่อยให้เจ้านายนอนเพียงลำพัง

อู๋เสี่ยวหรันที่ดูเหมือนจะนอนหลับอย่างสงบ แต่ภายในห้วงแห่งความฝัน ตัวนางได้กลับไปเป็นเผิงเสี่ยวหรันคนเดิม นางกำลังกวัดแกว่งดาบคู่กายอยู่ในสนามรบที่เต็มไปด้วยฝุ่นและทราย รวมถึงซากศพมากมายสุดลูกหูลูกตา ที่ไม่ว่านางจะฆ่าไปมากเท่าไร ศัตรูก็ดูจะไม่ได้ลดลงไปเลยสักนิด

ในขณะที่นางหมดแรงล้มตัวลง คุกเข่าอยู่บนกองซากศพที่ไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายตนหรือฝ่ายศัตรู ทันใดนั้นเบื้องหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง จากสนามรบและมือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ดาบในมือของนางนั้นหายไป แทนที่ด้วยธนูคันงามที่เป็นธนูคู่กายของนางมาหลายปี ภาพเปลี่ยนไปอีกครั้งนางยืนอยู่บนกำแพงหินแห่งหนึ่งซึ่งมองลงไปด้านล่างยังคงเป็นสนามรบ ผู้ที่นำทัพอยู่ด้านหน้าสุดของฝ่ายศัตรู มิใช่ใครที่ไหนเขาคือโม่เสวี่ยเยวียนหรือเฉิงอ๋อง

โดยสัญชาตญาณนางกระชับธนูสีดำสนิทที่ถูกสลักเสลาด้วยลวดลายแสนวิจิตร นางยกขึ้นพร้อมกับน้าวสายจนสุดแขน เป้าหมายของนางคือศีรษะของแม่ทัพฝ่ายศัตรู

ในระหว่างที่นางกำลังเล็งเป้าอยู่นั้น เหมือนกับว่าเฉิงอ๋องเองก็รู้สึกตัวแล้วเช่นกัน เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับนางที่อยู่บนยอดกำแพง ทันใดนั้นตัวเขาเองก็หยิบเอาธนูคันใหญ่ประจำกายขึ้นมาพร้อมกับเล็งยิงมาที่นางเช่นกัน

แต่เขาไม่ได้รีรอเขาปล่อยสายธนูออกไป ซึ่งนั่นทำให้เผิงเสี่ยวหรันจำต้องปล่อยมือจากสายธนูที่นางน้าวไว้สุดแขนเช่นกัน ลูกธนูของทั้งสองปะทะกันที่กลางอากาศอย่างพอดิบพอดี ทำให้เกิดประกายไฟเล็ก ๆ ขึ้น

“ท่านแม่ทัพระวัง!” เสียงชายคนหนึ่งซึ่งนางจำได้ว่านี่คือคนสนิทของนางเขาตะโกนขึ้นมาจากด้านข้าง และตอนนั้นเองที่อกของนางก็ถูกกระแทกเข้าอย่างจัง คำเตือนของลูกน้องคนสนิทสายไปเสียแล้ว

บัดนี้ที่หน้าอกของนางถูกดาบยาวปักเข้าไปที่กลางอก เผิงเสี่ยวหรันนางเซถลามือกุมอกค่อย ๆ ถอยหลังยืนพิงกับกำแพงอีกด้าน เมื่อนางมองดูว่าผู้ใดกันที่ลอบสังหารนาง

มันกลับกลายเป็นใบหน้าของหญิงสาวผู้หนึ่ง หญิงนางนี้ไม่ได้อยู่ในชีวิตของเผิงเสี่ยวหรัน แต่เป็นคนที่อยู่ในความทรงจำของอู๋เสี่ยวหรัน

“โจวเพ่ยเพ่ย” เสียงของนางลอดไรฟันออกมาอย่างแผ่วเบา

ขณะที่สติกำลังจะดับวูบลงไป ภาพเบื้องหน้าของนางได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่มีสิ่งใดเลยมีเพียงความมืดมิดและถนนสายหนึ่งที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด

เผิงเสี่ยวหรันเห็นว่าด้านหน้านาง มีชายผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงกลางถนนเบื้องหลังของเขามีแสงจันทร์สาดส่อง ราวกับว่ามีเวทมนตร์ทำให้แสงนั้นส่องลงมาที่เขาแต่เพียงผู้เดียว

ไม่ว่าเผิงเสี่ยวหรันจะพยายามเพ่งมองหรือวิ่งเข้าไปใกล้ชายผู้นั้นสักเท่าใด ก็ดูเหมือนว่าระยะห่างของพวกเขาจะไม่ได้ขยับเข้ามาเข้ามาเลยสักนิด และเมื่อเพ่งมองใบหน้านั้น มันกลับชัดเจนและไม่ชัดเจน นางไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของชายผู้นั้นได้เลย ชายผู้นั้นมีรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าจากนั้นก็ทำท่าจะหันหลังเดินจากไป

“เดี๋ยว! หยุดก่อน ! ท่านเป็นใครกัน” นางตะโกนเรียกเขาออกมาสุดเสียง

มีเสียงตอบกลับมาแต่นางไม่สามารถแยกแยะได้เลย ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของหญิงหรือเสียงของชาย เสียงคล้ายกับว่ามันดังแว่วมาตามลม มันดังมาจากห้วงลึกอเวจีฟังไม่เข้าใจ เสียงนั้นยังทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดตามร่างกาย โดยเฉพาะที่หูของนาง นางรู้สึกว่าตอนนี้หูของนางใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว

เผิงเสี่ยวหรันทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น สองมือยกขึ้นมาปิดหน้าปิดตาและพยายามที่จะอุดหูของตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงนั้น แต่ไม่ว่านางจะทำอย่างไรเสียงนั้นก็ยังทะลุทะลวงเข้ามาได้อยู่ดี จนในที่สุดความเจ็บปวดก็ค่อย ๆ ทุเลาลง และในที่สุดนางก็สามารถเข้าใจสิ่งที่เสียงนั้นพยายามจะสื่อออกมาจนได้

“เผิงเสี่ยวหรัน เจ้าโทษนรกไม่มีตาอย่างนั้นหรือ เจ้าโทษว่าสิ่งที่เจ้าถูกกระทำเป็นนรกที่บงการมันมาอย่างนั้นหรือ ที่สุดแล้วกฎแห่งนรกต่างหากที่ยุติธรรมที่สุด”

“เผิงเสี่ยวหรัน กลับไปเสียตอนนี้นรกยังไม่ต้อนรับเจ้า เมื่อใดที่เจ้าเจ็บปวดจนต้องเรียกหาความตาย ข้าผู้นี้จะมอบมันให้กับเจ้าด้วยตนเอง ฮ่า ฮ่า ฮ่า…...”

เสียงหัวเราะยังคงก้องกังวานอยู่ไม่หายไป แต่ตัวของชายผู้นั้นค่อย ๆ สูญสลายกลายเป็นไอหมอกและหายไปในที่สุด เมื่อชายผู้นั้นหายไปแสงสว่างก็หายไปกับเขาด้วย รอบข้างของนางมืดมิดลงจนไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดอีกเลย

ในตอนเช้าสาวใช้ทั้งห้าคน ต่างพร้อมใจกันมาอยู่ที่หน้าห้องบรรทมของพระชายาเอกกันทั้งหมด

“พี่เหมยฮวาท่านอยู่กับพระชายามานานที่สุดท่านเข้าไปปลุกเถิด” หลันฮวาเอ่ยก่อนอีกสามคนที่เหลือต่างพยักหน้าว่าเห็นด้วย

เหมยฮวากวาดสายตามองทุกคน แล้วนางก็ค่อย ๆ เปิดประตูเข้าไปด้านในโดยมีเพื่อนอีกสี่คนที่เหลือยืนอยู่ด้านนอก

“พระชายาเช้าแล้วเพคะท่านตื่นเถิด” นางยืนอยู่ด้านนอกของผ้าม่านโปร่งบางที่ปิดกั้นสายตาจากภายนอก เพื่อไม่ให้เห็นเรือนร่างของผู้ที่กำลังอยู่บนเตียง

“เหมยฮวาหรือ” เสียงตอบกลับแผ่วเบาดังขึ้น

“พระชายาท่านตื่นแล้วหรือเพคะ ดีเหลือเกิน…. ขอบคุณสวรรค์ในที่สุดท่านก็ตื่นสิที”

เหมยฮวาดีใจอย่างสุดขีด แต่นางก็ไม่ได้พรวดพราดเข้าไปหาเจ้านาย นางค่อย ๆ ม้วนเก็บผ้าม่านทีละข้าง สาวใช้ที่เหลืออีกสี่คนต่างก็รีบเข้ามาในห้องเช่นกัน

“เกิดอะไรขึ้นทำไมพวกเจ้าต้องดูดีใจขนาดนั้นที่ข้าตื่นนอน”

อู๋เสี่ยวหรันยันตัวขึ้นมานั่งและมองบรรดาบ่าวรับใช้ด้วยใบหน้างุนงง

ทุกคนต่างก็ค่อย ๆ คุกเข่าแล้วขยับเข้ามารอบ ๆ เตียง

“ท่านนอนหลับตั้งแต่วันที่พวกเราไปที่คุกใต้ดิน จนตอนนี้ก็ผ่านมาสองวันแล้วเพคะ”

“มิน่าล่ะข้าถึงรู้สึกมึนงงไปหมด”

อู๋เสี่ยวหรันยกนิ้วขึ้นมานวดบริเวณคิ้วไปด้วย

“หม่อมฉันจะออกไปแจ้งท่านอ๋องและตามท่านหมอก่อนนะเพคะ”

“ไปเถิด”

“หม่อมฉันช่วยพระชายาเปลี่ยนชุดเกล้าผมใหม่ พระชายาลุกไหวหรือไม่เพคะ”

“ได้สิ”

อู๋เสี่ยวหรันแทบจะไม่ต้องใช้แรงของตนเองเลย เพราะไป๋หลานสาวใช้ที่มีแรงมากเข้ามาช่วยนางพยุง จริง ๆ จะพูดว่านางอุ้มอู๋เสี่ยวหรันเสียมากกว่า

หมอจงเข้ามาและตรวจชีพจรให้กับนาง เขาบอกว่าชีพจรของนางกลับมาเป็นปกติแล้ว การนอนครั้งนี้อาจจะเพราะร่างกายเหนื่อยล้าเกินไป เพราะฉะนั้นหลังจากนี้ขอให้กินยาบำรุงและอาหารให้ครบถ้วน จากนั้นเขาก็สะพายย่ามออกไปบอกว่าขอไปรายงานความคืบหน้าให้กับเฉิงอ๋อง

แต่ตัวของเฉิงอ๋องนั้นมิได้มาเยี่ยมนางและไม่มีคำตอบจากสาวใช้ว่าตัวของท่านอ๋องนั้นบัดนี้อยู่ที่ไหน แต่เรื่องที่เขาไม่ได้มาดูแลนาง อู๋เสี่ยวหรันหาได้สนใจไม่

เหลียนฮวาและไป๋หลาน ทั้งสองคนทำอาหารสำหรับพระชายาด้วยตนเองเหตุเพราะไม่ไว้ใจใครอีก อู๋เสี่ยวหรันพึงพอใจในรสชาติของอาหารที่ทั้งสองร่วมกันทำเป็นอย่างมากเช้านี้หลังจากตื่นมานางสามารถกินข้าวต้มพร้อมกับเครื่องเคียงได้ถึงสองถ้วยด้วยกัน

หลังจากนั้นนางก็ให้สาวใช้ช่วยพยุงไปนอนอยู่บนเก้าอี้ ที่ออกแบบมาเพื่อใช้เอนหลังที่ชายคาของเรือนนางเอง ตอนนี้มีเพียงเหมยฮวาและเหลียนฮวาเท่านั้นที่อยู่ข้างกาย

“พวกเจ้าทั้งสองรู้จักสามสิบกับสามสิบสี่ใช่หรือไม่”

“รู้จักเพคะเพราะว่าพวกเราถูกฝึกมาด้วยกัน”

“เวลาที่พวกเราอยู่กันตามลำพัง แทนตัวเองว่าบ่าวและใช้คำว่าเจ้าค่ะ ก็พอแล้ว อย่าใช้คำศัพท์ที่ดูห่างเหินเช่นนั้นตลอดเวลาเลย บอกกับอีกสามคนด้วยรวมถึงพวกขององครักษ์เงาก็เช่นกัน”

“เจ้าค่ะ”

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”

“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปให้เพิ่มซันเย่าตุ๋นเนื้อไก่ และต้องเป็นไก่ตัวผู้ในทุก ๆ มื้อด้วย…อืม… ส่วนอาหารอย่างอื่นขอให้เพิ่มส่วนประกอบของสมุนไพรที่เป็นยาบำรุงชี่ โอ้จริงสิข้าชอบกินขนมรากบัวแล้วก็ขนมกุ้ยฮัวด้วย”

“พระชายาทรงรู้เรื่องสมุนไพรดีจริง ๆ เลยนะเจ้าคะ” เหลียนฮวาถามขึ้นระหว่างที่นางกำลังบีบนวดบริเวณขา ที่เป็นหนังหุ้มกระดูกของอู๋เสี่ยวหรันไปด้วย

“จริง ๆ ข้ารู้อีกหลายอย่างเลยล่ะ เจ้าก็อาจจะนึกไม่ถึง หึ ๆ”

อู๋เสี่ยวหรันหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ทำให้บรรยากาศการพูดคุยระหว่างเจ้านายกับลูกน้องดูใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก

✼ •• ┈┈┈┈┈┈┈ •• ✼

"ซันเย่า" (ShanYao: 山药) หรือในอีกชื่อหนึ่งว่า "ห่วยซัว"

มีสรรพคุณในการบำรุงชี่ม้าม จากการศึกษาพบว่าในซันเย่ามีสารที่ช่วยในการกระตุ้นระบบการย่อยอาหาร เหมาะกับผู้ที่มีพื้นฐานสุขภาพของร่างกายที่จัดอยู่ในกลุ่มชี่พร่อง
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel