ตอนที่ 5 หมอพิษตายเพราะพิษ
เมื่ออู๋เสี่ยวหรันเดินผ่านห้องทรมาน ประตูห้องนี้ไม่ได้ปิดไว้เพราะยังไม่มีการใช้งานจึงสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าภายในนั้นมีอุปกรณ์ทรมานต่าง ๆ วางอยู่ในห้องทั้งไม้บีบมือ เก้าอี้ที่มีเครื่องพันธนาการ และอุปกรณ์อื่น ๆ มากมาย ที่ล้วนแล้วมองด้วยตาผ่าน ๆ ยังรู้สึกขนพองสยองเกล้า แต่นี่ก็น่าจะเป็นความรู้สึกสำหรับหญิงสาวในห้องหอทั้งหลาย สำหรับอดีตแม่ทัพหญิงอย่างนางแล้ว ของเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งธรรมดาในสายตาทั้งสิ้น
สาวใช้ทั้งสี่ที่ติดตามมาก็เช่นกัน ภาพของเครื่องทรมานเหล่านี้เป็นเรื่องปกติสำหรับพวกนางอยู่แล้ว จนกระทั่งพวกนางเหมือนว่าจะลืมฉุกคิดไปว่าพระชายาเอกผู้อ่อนแอและเป็นหญิงสาวผู้เพียบพร้อมมิเคยเห็นเครื่องทรมานเช่นนี้ แต่กลับไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวแต่อย่างใด ทำตัวราวกับว่านี่เป็นสิ่งปกติเช่นเดียวกับพวกนาง
ในที่สุดอู๋เสี่ยวหรันก็เดินมาถึงห้องขังที่สาม ภายในห้องขังมีหญิงนางหนึ่งนอนขดตัวอยู่บนกองฟาง ผมเผ้ายุ่งเหยิงมีเศษฟางติดอยู่ตามเสื้อผ้าและผม มีคราบเลือดเกรอะกรังติดตามเสื้อผ้าที่สีดั้งเดิมตอนนี้แทบมองไม่ออกแล้ว แต่อู๋เสี่ยวหรันก็ยังจำได้ว่าหญิงนางนี้คือซูเม่ย อดีตสาวใช้นั่นเอง
เมื่อมีเสียงเปิดลูกกรงดังขึ้น ซูเม่ยที่ตอนแรกนอนขดตัวอยู่ก็ลืมตาขึ้นมามองทันที คราแรกนางไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร เพียงมองอย่างเฉยเมยดวงตาล่องลอย ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดนางก็รู้ตัวจนได้
“พระชายาได้โปรดช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ทรยศพระองค์จริง ๆ”
ซูเม่ยร้องตะโกนออกมาและคลานมาทางหน้าประตูทันที แต่นางก็คลานไปได้ไม่ไกลเพราะที่ข้อเท้านางมีโซ่ล่ามไว้
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ! ตัวเจ้าสกปรกอย่ามาทำให้พระชายาต้องแปดเปื้อน”
เหมยฮวาที่ติดตามมารีบเอาตัวเข้าขวางหน้าอู๋เสี่ยวหรันทันที
“ไม่เป็นไรเหมยฮวา” อู๋เสี่ยวหรันผลักนางออกไปด้านข้างเบา ๆ จากนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่เหลียนฮวายกเข้ามาให้ อู๋เสี่ยวหรันจ้องไปยังอดีตสาวใช้ที่นั่งคุกเข่าอยู่
“ซูเม่ยเห็นแก่ที่เจ้าอยู่รับใช้ข้ามาอย่างยาวนาน หากเจ้ายอมรับความผิดและบอกความจริงกับข้ามาทั้งหมด ข้าสัญญาว่าจะปล่อยเจ้าไป เจ้าเองก็รู้ดีว่าผู้ที่จะสามารถช่วยชีวิตเจ้าได้มีเพียงแต่ข้าเท่านั้น”
อู๋เสี่ยวหรันนางเริ่มพูดอย่างใจเย็น
ซูเม่ยที่ได้ฟังเช่นนั้นนางก็ก้มหน้าลงทำตัวยุกยิกไปมาราวกับนางกำลังชั่งใจและคิด
“พระชายา ทะ ท่านให้สัญญาแล้วนะเพคะ มะ มะ หม่อมฉันจะเล่าความจริงทั้งหมดเพคะ”
“แน่นอน”
“สารหนูที่บ่าวใส่ในน้ำชาให้พระชายาได้ดื่มทุกวัน ก็เป็นเพียงแค่สารเล็กน้อยเท่านั้นเพคะ บะ บ่าวเพียงอยากให้ท่านอ่อนแอลง และจะได้หยิบฉวยเอาเครื่องประดับหรือเงินทองไปให้กับคนรักของบ่าว ตาบ่าวช่างมืดบอดเสียจริงที่หลงเชื่อชายชั่วผู้นั้นได้ ตอนนี้บ่าวสำนึกผิดแล้วขอพระชายาโปรดให้อภัยเพคะ”
ซูเม่ยพูดจบนางก็ก้มลงโขกหัวลงบนพื้นอย่างแรง จนกระทั่งเริ่มมีเลือดติดอยู่บนพื้น แต่ถึงแม้ว่านางจะลงแรงทำตนเองบาดเจ็บถึงเพียงนี้ ก็ไม่สามารถเรียกความสงสารจากอู๋เสี่ยวหรันได้เลยสักนิด
“ชายคนรักของเจ้าตอนนี้เขากำลังถูกทรมานอย่างหนักอยู่ที่ตำหนักข้าง ๆ แต่สิ่งที่เขาสารภาพมาไม่เหมือนที่เจ้ากล่าวอ้าง เขาบอกว่าเจ้าเป็นผู้ให้เขาไปหาซื้อสารหนูเพื่อจะมาวางยาฆ่าข้าผู้เป็นพระชายาเอกผู้นี้ เพื่อจะลักขโมยทรัพย์สินและหนีออกไปจากที่แห่งนี้ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นความคิดของเจ้า ซูเม่ย นั่นก็เพราะว่าเจ้าเห็นว่าข้าอ่อนแอและรังแกง่าย”
อู๋เสี่ยวหรันพักหายใจชั่วครู่จากนั้นจึงพูดต่อ
“อ้อ! ยังมีอีกอย่าง ชายชู้รักของเจ้าเขาสารภาพมาแล้วว่าเขาได้รับเงินค่าจ้างมาจากพระชายารองเพื่อมาหลอกใช้เจ้า ให้เจ้าหลงรักเมื่อแผนสำเร็จแล้ว เขาก็จะหอบทรัพย์สมบัติหนีไปกับหญิงคนรักที่แท้จริงของเขา จุ๊ จุ๊ ซูเม่ยที่น่าสงสารของข้า”
อู๋เสี่ยวหรันพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ นั่งอยู่บนเก้าอี้เชิดหน้าขึ้นแล้วเหลือบสายตามองต่ำลงมาที่ซูเม่ยอย่างผู้ที่มีชัยเหนือกว่าและยังแสยะยิ้มกว้าง
ทำให้ซูเม่ยที่มองจากพื้นขึ้นไปเห็นปากแดงสดฟันขาวเรียงตัวกัน และยังมีเขี้ยวเล็ก ๆ ยื่นแหลมลงมาสองข้างยิ่งทำให้นางสั่นกลัว นางไม่เคยเห็นพระชายาที่เป็นแบบนี้มาก่อนเลย แม้ว่าตัวนางจะอยู่กับพระชายาอีกมาตั้งแต่สมัยที่นางยังเป็นเด็ก ก็ไม่เคยเห็นสายตาและสีหน้าเช่นนี้เลยสักครั้ง ราวกับว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านางตอนนี้ หาใช่พระชายาคนเดิมที่อ่อนแอและหัวอ่อนคนนั้น
“ไม่ ไม่จริง พี่ถง เขา เขารักข้าเขาสัญญาจะแต่งงานกับข้า เขาสัญญาว่าข้าจะพาข้าออกไปยังที่นี่เพื่อใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย”
ซูเม่ยตอนนี้นางสติกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้วแม้แต่คำว่า หม่อมฉัน คำว่าบ่าว นางก็ยังลืมใช้
“เจ้ามองข้าสิซูเม่ย มองหน้าข้า!”
ซูเม่ยได้ยินประโยคอันทรงพลังราวกับมีมนตร์สะกดให้นางหยุดกรีดร้องและบังคับให้นางจำต้องเงยหน้าขึ้นไปสบตากับอู๋เสี่ยวหรันอย่างจัง
เมื่อสบเข้ากับสายตาที่เหมือนจะมองทะลุเข้าไปถึงก้นบึ้งของจิตใจ ราวกับจะบอกว่าคำโกหกของนางไม่สามารถหลอกนายหญิงผู้นี้ได้เลย
“บ่าวไม่มีอะไรจะกล่าวแล้วเพคะ” ซูเม่ยก้มหน้าลง
“หลันฮวาไปเอาแส้มา” อู๋เสี่ยวหรันออกคำสั่ง
หลันฮวาเดินออกไปยังห้องทรมานที่พวกนางเพิ่งจะเดินผ่านมาเมื่อครู่และหยิบเอาแส้หนังสีดำให้เจ้านายทันที แส้นี้ถูกถักทอให้แน่นหนาและแข็งแรงเป็นอย่างมาก ที่ปลายยังมีลูกตุ้มหนามเพียงเห็นก็รู้แล้วว่าหากกระทบลงเนื้อหนังจะเจ็บแสบมากเพียงใด
อู๋เสี่ยวหรันรับแส้มาถือไว้ในมือ นางลุกขึ้นจากเก้าอี้ สะบัดมือเบา ๆ แส้นั้นก็ถูกเหวี่ยงลงพื้นทันทีส่งเสียงดังเปรี๊ยะจากพื้นที่แตกออก คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวนางต่างสะดุ้งกันทั้งหมด ไม่คิดว่าพระชายาที่อ่อนแอมาตลอดจะเหวี่ยงแส้ได้รุนแรงเช่นนี้
ตามจริงแล้วการใช้แส้เส้นนี้เหมาะกับหญิงสาวที่มีเรี่ยวแรงน้อย เพราะหากว่าผู้ที่ใช้เป็นการออกแรงนั้นไม่ต้องใช้มากเหมือนภายนอกที่เห็น เพียงแต่ต้องจับจุดและวิธีการสะบัดข้อมือให้ถูกต้อง เพียงเท่านี้ก็ทำให้อนุภาคการทำลายล้างมันเพิ่มมากขึ้น
“ความจริงแล้วเจ้าไม่จำเป็นต้องสารภาพสิ่งใดเลยซูเม่ย เพราะสิ่งที่เจ้าทำข้าหาผู้บงการได้ไม่ยากนัก แต่หากเจ้าต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดเป็นอย่างสุดท้าย เจ้าควรบอกมาก่อนที่เจ้าจะได้ตายตามชู้รักของเจ้าไป”
เสียงของอู๋เสี่ยวหรันยังคงก้องกังวานอยู่ในคุก นางก้มมองอดีตสาวใช้ที่คุดคู้ตัวสั่นงันงกแต่ก็ยังกัดฟันไม่พูดอะไรออกมา เมื่อได้เห็นว่านางยังคงปากแข็ง อู๋เสี่ยวหรันก็เริ่มฟาดแส้นั้นลงบนตัวของซูเม่ยทันที โดยไม่ได้สนใจว่าแส้นั้นจะฟาดลงตรงไหนของร่างกายนาง
เกิดเสียงดัง พรึบ พรับ และเสียงกระทบเนื้อหนังของคนตามมาไม่ขาดสายและยังมีเสียงร้องโหยหวนของหญิงสาวดังออกมาตามเสียงเหวี่ยงของแส้ หลังจากถูกฟาดไปไม่ถึงสิบครั้ง ซูเม่ยก็ล้มนอนลงอย่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรงลงกับพื้นทันที ที่ปากนางมีเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก
“พระชายาเพคะ บ่าวรู้ตัวว่าคงไม่รอดแล้ว ขอพระชายาได้โปรดช่วยน้องชายของบ่าวด้วยเพคะ เขา…. เขาถูกคนของพระชายารองจับไว้ และบังคับให้บ่าววางยาท่านตลอดห้าปีที่ผ่านมา พวกเขาสัญญาว่าเมื่อพระชายาตายไปเมื่อใดน้องชายและบ่าวจะเป็นอิสระ แค่ก ๆ ”
แล้วซูเม่ยก็กระอักเลือดออกมาเรื่อย ๆ และเลือดนั้นก็เป็นสีดำสนิทส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง
“หึ ไม่ถึงที่ตายไม่สารภาพ ถึงวันนี้ข้าไม่ลงมือเจ้าก็ตายเพราะพิษอยู่ดี ก่อนตายข้าจะบอกให้เจ้าเอาบุญก็แล้วกัน หากอยากแก้แค้นก็จงเป็นผีแล้วไปหลอกหลอนคนที่ฆ่าน้องชายเจ้าซะ”
อู๋เสี่ยวหรันทิ้งแส้ลงบนพื้น นั่งลงเก้าอี้ตามเดิมแล้วยื่นมือข้างที่ถือแส้ให้เหมยฮวา เหมยฮวารีบนำผ้าสะอาดออกมาและเช็ดมือให้นางทันที
“กรี๊ดดดด… ไม่นะ…ไม่จริง ทะ ทะ …”
ซูเม่ยร้องโหยหวนออกมาอีกครั้ง ก่อนที่นางจะกระอักเลือดออกมา ตาเหลือกจนเห็นเพียงตาขาวหลังจากดิ้นทุรนทุรายไปมาสักพัก นางก็หยุดนิ่งลงสุดท้ายก็สิ้นใจไป
อู๋เสี่ยวหรันที่มองดูหญิงสาวตรงหน้า ทรมานจนสิ้นใจไปต่อหน้าต่อตา โดยที่ไม่มีความรู้สึกใด ๆ ปรากฏบนใบหน้าของนางสักนิด เมื่อเรื่องราวสิ้นสุดถึงตรงนี้แล้วอู๋เสี่ยวหรันจึงลุกขึ้นและเดินออกจากคุกนั้นไป เมื่อออกมาถึงด้านนอกนางสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอดทันทีและบ่นออกมาเบา ๆ ว่า
“อากาศข้างในคุกช่างแย่นักมีแต่ความอับชื้นหายใจลำบากจริง ๆ”
แต่ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอ และการฝืนใช้แส้รวมถึงการเข้าไปอยู่ในสถานที่อับชื้นเช่นคุกใต้ดิน ทำให้กำลังวังชาที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเหือดหายไปอีกครั้ง
อู๋เสี่ยวหรันแทบจะทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ จู่ ๆ ขาของนางก็อ่อนแรงทำท่าจะล้มลงไป เหมยฮวาที่อยู่ใกล้ตัวนางที่สุดก็เข้ามาประคองเอาไว้อย่างรวดเร็ว เหลียนฮวาและหวงหลานก็เข้ามาล้อมตัวไว้เช่นกัน
“พระชายาท่านหักโหมเกินไปแล้วเพคะ มาเถิดให้หม่อมฉันพาท่านกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักก่อน”
เหลียนฮวาจับที่ข้อมือของพระชายาทันที
“ข้าไม่เป็นอะไรเพียงแค่รู้สึกเหนื่อยก็เท่านั้นพวกเจ้าอย่าได้ตื่นตูมไปเอาล่ะเดินต่อ”
เมื่อเจ้านายออกคำสั่งเช่นนี้ทุกคนจึงต้องทำตาม ทั้งหมดก็ค่อย ๆ ออกเดินอีกครั้งกลับไปยังห้องโถงของตำหนักนางเอง
ระหว่างทางเหมยฮวากับหวงหลานที่แลกเปลี่ยนสายตากันมาตลอด สิ่งนี้ไม่สามารถเล็ดลอดไปจากสัมผัสของอู๋เสี่ยวหรันได้เลย
“ว่ามาเถอะ” อู๋เสี่ยวหรันบอกในขณะที่หยุดเดินเพื่อหันมาพูดกับสาวใช้ทั้งสอง
“ขออภัยเพคะพระชายา แต่ท่านทราบได้อย่างไรเรื่องของชายคนรักของซูเม่ย และน้องชายของนางที่ตายไปแล้ว”
เหมยฮวาที่อยู่ข้าง ๆ นางถามสิ่งที่สงสัยออกมา
“ข้าเดาเอาน่ะ”
“หา !”