ตอนที่ 4 อดีตสาวใช้
บนโต๊ะอาหารอู๋เสี่ยวหรันพบว่าเฉิงอ๋องรอนางอยู่แล้วนางจึงโค้งตัวขออภัยกับเขา
“ขออภัยเพคะท่านอ๋องหม่อมฉันมาช้า”
“หรันเอ๋อร์ที่นี่ไม่มีคนนอกเรียกข้าตามเดิมเถิด”
“เจ้าค่ะพี่เสวี่ยเยวียน”
นั่นเป็นชื่อที่พวกเขาใช้เรียกกันมาตั้งแต่เด็ก และไม่ได้ใช้คำราชาศัพท์ในระหว่างที่พวกเขาอยู่กันเพียงลำพัง แม้จะอยู่ต่อหน้าสาวใช้หรือบ่าวรับใช้คนสนิทก็ตาม ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติระหว่างพวกเขาอยู่แล้ว
“กินข้าวก่อนแล้วค่อยดื่มน้ำแกงโสม” เขาบอก
“เจ้าค่ะ”
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็กินมื้อเช้าด้วยกันอย่างเงียบเชียบ จบมื้อเช้าโม่เสวี่ยเยวียนยกน้ำแกงโสมส่งให้นางกับมือ อู๋เสี่ยวหรันรับเอามาแล้วยกขึ้นเพื่อจะดื่ม ครานี้นางเลิกคิ้วขึ้นยกยิ้มเล็กน้อยและดื่มต่อไป เพราะน้ำแกงโสมครั้งนี้เป็นโสมห้าร้อยปี นี่เป็นของดีที่หาได้ยากยิ่ง จวนอ๋องแห่งนี้สามารถหามาต้มให้นางได้ก็นับว่าร่ำรวยใช่ย่อย
“ไปเถิดไปเดินรอบ ๆ เพื่อย่อยอาหารกัน”
โม่เสวี่ยเยวียนลุกขึ้นมาประคองและจับมือนางเดินออกไปจากห้อง ตรงไปยังสวนดอกไม้ด้านหลังตำหนัก อู๋เสี่ยวหรันเดินตามการจับจูงของเขาไปอย่างเงียบ ๆ แม้ว่าจะไม่คุ้นเคยและรู้สึกต่อต้านอยู่บ้าง แต่นางก็ต้องย้ำเตือนตนเองอยู่ซ้ำ ๆ ว่านางไม่ใช่เผิงเสี่ยวหรันคนเดิมที่มีเฉิงอ๋องเป็นศัตรูอีกแล้ว บัดนี้นางเป็นภรรยาของเขา
จนกระทั่งทั้งคู่เดินมาหยุดอยู่ที่ม้านั่งข้าง ๆ สระดอกบัว ใต้ต้นอู่ถงที่ให้ร่มเงาปกคลุมอย่างกว้างขวาง
“พี่เสวี่ยเยวียนวันนี้ท่านดูแปลก ๆ นะเจ้าคะ”
“อีกสี่เดือนข้างหน้าข้าต้องเดินทางไปต้าเลี่ยเพื่อเป็นตัวแทนส่งมอบของขวัญในราชพิธีแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่”
เขาพูดราวกับนี่เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง แต่สำหรับอู๋เสี่ยวหรันแล้วกลับตรงกันข้าม หลังจากฟังคำพูดของเขาจบลง จิตใจของนางสั่นไหวอย่างรุนแรง มันแทบจะกระโดดออกมาจากอก ความกดดันหนักหน่วงเข้ามากดทับในจิตใจ จนนางรู้ว่าตอนนี้เลือดลมของตนเองกำลังตีตื้นขึ้นมาในอกแทบจะพุ่งทะลุออกมา หลังจากที่หายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อข่มอาการอยู่หลายครั้ง นางจึงกัดฟันถามออกไป
“ทำไมพวกเขาถึงมีการแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ล่ะเจ้าคะ”
“ซือหม่าหวงตี้ประกาศว่าเผิงฮองเฮาผู้เป็นวีรสตรีและเป็นหญิงเพียงหนึ่งเดียวที่เขารักสุดหัวใจ หลังจากนางสิ้นชีวิตลงเหตุเพราะครรภ์เป็นพิษ เขาจึงไม่มีการแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ทันที และเพื่อไว้อาลัยแก่เผิงฮองเฮาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม และตอนนี้ครบเวลาแล้วจึงได้แต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ที่มาจากตระกูลเจียง เพราะอย่างนี้ซือหม่าหวงตี้ถึงได้ใจจากประชาชนเป็นอย่างมากในเรื่องรักมั่นคง ถึงขนาดที่ว่ามีนักแสดงและนักเล่านิทานตามเหลาสุรานำมาเป็นเรื่องเล่าขานกันไปทั่ว”
โม่เสวี่ยเยวียนอธิบายอย่างใจเย็น
“โอ้เช่นนี้นี่เอง”
อู๋เสี่ยวหรันพยายามที่จะยิ้มน้อย ๆ ออกมา
“ระหว่างที่ไม่อยู่นี้ข้าจะมอบคนไว้ให้เจ้า ทั้งองครักษ์เงาและสาวใช้เพิ่มอีกข้ารับรองว่าพวกเขาเหล่านี้พร้อมพลีชีพเพื่อเจ้าอย่างแน่นอน สักครู่พวกเขาทั้งหมดจะไปพบเจ้าที่ตำหนัก รวมถึงสาวใช้ที่ชื่อว่าเหมยฮวาด้วย นางเป็นคนของข้าเองสามารถไว้ใจและใช้งานนางได้”
โม่เสวี่ยเยวียนบอกถึงจุดประสงค์หลักของวันนี้
“ขอบคุณพี่เสวี่ยเยวียนมากเจ้าค่ะ ข้าจะใช้คนของท่านให้ดี”
อู๋เสี่ยวหรันขอบคุณเขาอย่างจริงใจ แม้ในชีวิตก่อนเขาคือศัตรูของนาง แต่ในชีวิตนี้เขาคือที่พึ่งพิงหนึ่งเดียวของนางเช่นกัน
หลังจากโม่เสวี่ยเยวียนส่งนางกลับไปยังตำหนักและแยกตัวไปแล้ว อู๋เสี่ยวหรันพบว่ามีคนจำนวนหนึ่งรอนางอยู่ ทั้งหมดเป็นหญิงสาวจำนวนห้าคนด้วยกัน
คนเดียวที่นางรู้จักก็คือสาวใช้คอยติดตามนางมาตลอดหลายวันนี้เหมยฮวานั่นเอง ส่วนอีกสี่คนมีหน้าตาน่ารักสมวัยดูแล้วอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีสักคน หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ประธานแล้วนางจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“พวกนางเป็นใครหรือ”
“ทุกคนล้วนเป็นคนที่ท่านอ๋องส่งมาให้พระชายาใช้งานเพคะ ส่วนนามของทุกคน รวมถึงหม่อมฉันเองต้องขอให้พระชายาช่วยประทานให้ใหม่เพคะ”
ได้ฟังแล้วอู๋เสี่ยวหรันก็คิดเล็กน้อยแล้วตอบออกไป
“เจ้าชื่อเหมยฮวาก็ไพเราะดีอยู่แล้วมิต้องเปลี่ยนชื่อใหม่”
“ส่วนพวกเจ้าที่เหลือเงยหน้าขึ้นมา บอกความสามารถของพวกเจ้าแต่ละคนคืออะไร”
อู๋เสี่ยวหรันกวาดตามมองสาวใช้ทั้งสี่ที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้านาง
สายตาของพวกนางทุกคนมองตรงไม่ว่อกแว่ก แผ่นหลังตั้งตรงรูปร่างสมส่วน การแต่งกายมิดชิดเรียบร้อย มีแถบสีชมพูปักที่ปกเสื้อพวกนาง ผมรวบตึงไม่มีแม้สักเส้นที่แตกแถวออกมา
รูปร่างส่วนสูงของสามคนใกล้เคียงกัน จะมีหนึ่งคนที่รูปร่างหนากว่าเพื่อน แต่ดวงหน้าของพวกนางคล้ายคลึงกันมาก ตากลม จมูกเล็ก ปากกระจับ ผิวขาว เป็นนิยามของสาวงาม
‘ดี’ อู๋เสี่ยวหรันให้คำนิยามสั้น ๆ แก่พวกนางทั้งสี่ในใจ
“ขออนุญาตให้หม่อมฉันตอบคำถามแทนพวกนางทั้งหมดเพคะ”
เหมยฮวาเป็นผู้ออกตัวตอบคำถาม
“ได้สิว่ามา”
“พวกเราทุกคนเป็นคนที่ท่านอ๋องฝึกฝนมาตั้งแต่อายุยังน้อย
นางมีนามว่าหวงหลาน (จำปา) เรื่องของศาสตร์การต่อสู้เรียกได้ว่าดีเพคะ ความจริงแล้วพวกเราทุกคนได้เรียนรู้วรยุทธ์จนสามารถปกป้องตนเองและผู้อื่นได้เหมือน ๆ กันทั้งหมดเพคะ”
เหมยฮวาสูดหายใจและชี้ไปยังสาวใช้คนแรกของแถว
“นางมีชื่อว่าเหลียนฮวา (ดอกบัว) จะถนัดในเรื่องของการปรุงยาพิษและทำอาหาร ถัดมาคือหลันฮวา(กล้วยไม้) เก่งเรื่องการสอดแนมข่าวสารการสะกดรอยและพรางตัวและไป๋หลาน (จำปี) นางมีพละกำลังมากเทียบกับชายฉกรรจ์แล้วนางมีกำลังมากกว่าถึงสองเท่าและยังทำอาหารอร่อยมากเช่นกันเพคะ” แนะนำเพื่อนของนางจบก็เบี่ยงตัวมายืนด้านข้างอู๋เสี่ยวหรันอีกครั้ง
“ชื่อของพวกเจ้านั้นไพเราะมากเช่นกันคงไม่ต้องเปลี่ยนอันใดอีก แต่เครื่องแต่งกายจากนี้ให้เปลี่ยนใส่สีฟ้าและชมพู ที่ปกเสื้อปักรูปไป่เหอฮวาสีแดง(ดอกลิลลี่) พวกเจ้าทั้งสี่เริ่มแรกจากการจัดการหูตาที่อยู่ในตำหนักนี้ก่อนก็แล้วกัน”
“รับทราบเพคะ”
แม้สาวใช้ทั้งห้าจะไม่เข้าใจจุดประสงค์แต่ก็ทำตามแต่โดยดี
หลังจากส่งสาวใช้ทั้งสี่ออกไปแล้ว อู๋เสี่ยวหรันก็ได้ต้อนรับกลุ่มขององครักษ์เงาทั้งสิบนาย ที่รู้ว่ามีสิบนายนั่นเป็นเพราะความสามารถของนางเอง ส่วนองครักษ์เงาที่ปรากฏตัวออกมาและคุกเข่าอยู่ตรงหน้านางตอนนี้มีเพียงสองคนเท่านั้น
คนแรกรูปร่างสูงไหล่กว้าง คิ้วดกดำ ตาชั้นเดียวแต่หางเชิด แต่งกายด้วยชุดรัดกุมมีแถบสีฟ้าเล็ก ๆ อยู่ตรงปกเสื้อ ชายอีกคนรูปร่างสูงใหญ่ตัวล่ำหนา คิ้วกระบี่ตามคมกริบ แต่งกายเหมือนชายคนแรก
“คารวะพระชายา กระหม่อมทั้งสองเป็นตัวแทนของกลุ่มองครักษ์เงาที่ท่านอ๋องส่งมาดูแลพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ขอพระชายาได้โปรดมอบนามให้ข้าทั้งสองใหม่”
“แล้วแต่เดิมพวกเจ้ามีชื่อหรือไม่” นางชี้ไปยังแต่ละคน
“เดิมทีพวกเราจะเรียกกันด้วยหมายเลขตามลำดับการเข้ามาอยู่ในหน่วยพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมสามสิบ”
“กระหม่อมสามสิบสี่”
“คำเรียกขานก็ให้เรียกเหมือนเดิมเถิด เพื่อจะได้ไม่เป็นการสับสนกับอีกแปดคนที่เหลือ”
องครักษ์เงาทั้งสองได้ยินคำสุดท้ายว่าอีกแปดคนที่เหลือ ก็ผงะตกใจเงยหน้าขึ้นมองพระชายา แต่เมื่อตั้งสติได้ทั้งสองก็ก้มหน้าลงไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง คิดในใจว่าท่านอ๋องคงเป็นผู้บอกกล่าวกับพระชายาแล้วเป็นแน่แท้ ว่าท่านได้ส่งพวกเขามาทั้งหมดสิบคนด้วยกัน และพระชายาเองก็ไม่มีทางที่จะทราบได้ว่ายังมีอีกแปดคนที่เหลือคอยซุ่มอยู่ใกล้ ๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นทั้งสองจึงกล่าวขอบคุณ
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนนี้สิ่งที่ข้าต้องการคือข้อมูลทั้งหมดของคนในจวน ไม่ใช่ข้อมูลเพียงแค่เป็นลูกเต้าเหล่าใคร เข้ามาอยู่ที่นี่เมื่อไร สิ่งที่ข้าต้องการข้าต้องการรู้แม้กระทั่งพวกเขาติดต่อคนน่าสงสัย คนจากนอกตำหนักเป็นพิเศษหรือไม่ หรือแม้กระทั่งเหล่าอนุชายารองทั้งหลายผู้ใดติดต่อกับบ้านเดิมบ่อย ๆ หากสืบได้ว่าติดต่อเรื่องใดจะดีมาก ส่วนเรื่องความปลอดภัยของข้าตอนนี้ให้ทั้งสาวใช้ทั้งห้าก็เพียงพอ พวกเจ้าทั้งหมดไปจัดการเรื่องที่ข้ามอบหมายให้ก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนนี้ซูเม่ยอยู่ที่ไหนข้าไปพบนางได้หรือไม่”
“ตอนนี้นางถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินตำหนักข้าง ๆ หากพระชายาต้องการพบนางก็สามารถเข้าไปได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี พวกเจ้าแยกย้ายกันไปเถอะ” ชายทั้งคู่โค้งตัวทำความเคารพนางแล้วหายตัวไปทันที
หลังจากองครักษ์ทั้งหมดหายไปจากการรับรู้ของนางเรียบร้อยแล้ว ตัวนางเองก็รู้สึกเหนื่อยหอบขึ้นมาอีกครั้ง จึงได้เรียกเหมยฮวาเข้ามาปรนนิบัติ บีบนวดตามร่างกายเบา ๆ จนตัวนางเองเคลิบเคลิ้มและหลับไป
เหมยฮวาเห็นว่าพระชายาของนางหลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงได้เรียกให้ เหลียนฮวาเข้ามาจับชีพจรของเจ้านาย
เมื่อเหลียนฮวาจับชีพจรเรียบร้อยแล้ว นางก็หันมาพยักหน้าให้กับเหมยฮวาและทั้งคู่ก็ค่อย ๆ ออกจากห้องไปพร้อมกับปิดประตู
“พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง”
เหมยฮวาถามขึ้นด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“ดีขึ้นมากแล้วล่ะแต่ร่างกายถูกทำร้ายมานาน การจะให้หายขาดคงต้องใช้เวลานานสักหน่อย”
“ถ้าเช่นนั้นไปเตรียมอาหารที่เป็นยาให้เพราะชายาบำรุงร่างกายกันเถอะ”
“ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกว่าเจ้าก็มีท่าทีเรียบเฉยต่อพระชายาอู๋ แต่ทำไมตอนนี้ข้ารู้สึกว่าเจ้านั้นห่วงใยพระองค์เป็นพิเศษกันเล่า”
“เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าพระชายาอู๋ตอนนี้นางเปลี่ยนไปบ้างแล้ว ข้ารู้สึกว่ากลิ่นอายของพระชายาตอนนี้ช่าง…เอ่อ…แข็งแกร่งล่ะมั้งนะ”
“ก็ยังเป็นคนป่วยรูปร่างผอมบางคนเดิมข้าไม่เห็นจะรู้สึกเลย”
“ช่างเถิดช่างเถิดเจ้ามันคนมีความรู้สึกช้าแต่ไหนแต่ไรแล้ว ข้าไปตามไป๋หลานดีกว่า เจ้าอย่าไปไหนเฝ้าพระชายาอยู่ตรงหน้าห้องนี้แหละ”
“แปลกจริงเชียว”
เหลียนฮวามองเพื่อนตัวเองที่เดินไปจนลับตาพลางกับเกาหัว ด้วยเพราะไม่เข้าใจพฤติกรรมของเพื่อนคนนี้ของนางจริง ๆ
อู๋เสี่ยวหรันตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นเวลาของการกินอาหารและยามื้อกลางวันแล้ว หลังจากกินข้าวเรียบร้อยก็รู้สึกว่ามีกำลังวังชาขึ้นมาบ้าง แทนที่นางจะพักผ่อนอู๋เสี่ยวหรันเลือกที่จะออกไปยังคุกที่ใช้ขังซูเม่ยที่ตำหนักใกล้ ๆ แทน โดยที่มีสาวใช้สามคนติดตามนางไปด้วย
หลังจากเดินผ่านประตูเหล็กสีแดงที่ต้องใช้แรงชายร่างกำยำสองคนเปิดออก ก็จะเป็นทางเดินลงไปยังใต้ดินที่ถูกขุดขึ้นมา สำหรับใช้ในการนี้โดยเฉพาะ ระยะความสูงจากพื้นถึงเพดานสูงประมาณ เจ็ดถึงแปดเชียะได้พอให้ผู้ชายตัวโต ๆไม่ต้องก้มตัวเวลาเดิน ภายในถูกเสริมด้วยอิฐและหินให้แน่นหนา มีห้องขังที่เป็นลูกกรงเหล็กห่างกันเป็นระยะ ๆ ภายในนี้มีห้องขังอยู่หกห้องด้วยกันและยังมีห้องทรมานอีกหนึ่งห้อง