บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 3 โม่เสวี่ยเยวียน

การเป็นแม่ทัพหญิงนางจะหยุดฝึกฝนไม่ได้แม้แต่วันเดียว เพราะเมื่อไรที่นางอ่อนแอลงเหล่าผู้คนและแม่ทัพนายกองคนอื่น ๆ ก็พร้อมที่จะรุมทึ้งนางทันทีโดยไม่อ่อนข้อให้แม้ว่าตัวตนของนางจะเป็นสตรีก็ตาม เพราะฉะนั้นคืนวันที่นางเป็น เผิงเสี่ยวหรัน ทายาทหนึ่งเดียวขอแม่ทัพเผิงผู้ยิ่งใหญ่ นางต้องใช้ความพยายาม สองถึงสามเท่าในทุก ๆ อย่างที่คนปกติทำกัน

เมื่อสาวใช้ยกสำรับอาหารและยาเข้ามา อู๋เสี่ยวหรันจึงเบือนหน้าออกมาจากกระจกทองแดงตรงหน้า มื้อเช้านี้เป็นโจ๊กข้าวสีขาวผสมกับลูกเดือย ดูแล้วเป็นสีขาวข้นไม่น่าจะมีอะไรมาก แต่เมื่อลองตักชิมคำแรกนางก็รู้ได้ทันทีว่าโจ๊กนี้มีน้ำแกงที่ทำมาจาก ฝูหลิง ไป๋จู๋ ต้าเจ่าและโสมขาวที่อายุไม่มาก ซึ่งสมุนไพรทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นยาบำรุงกระเพาะและม้ามให้แข็งแรงทั้งสิ้น

“มื้อเช้าวันนี้ห้องเครื่องเป็นผู้ปรุงหรือ”

อู๋เสี่ยวหรันถามขึ้นหลังจากได้ชิมโจ๊กไปแล้วสองคำ จนแน่ใจว่านี่คือการทำอาหารให้เป็นยา ซึ่งโดยปกติแล้วหากมิใช่ผู้ที่มีความรู้เรื่องยาสมุนไพรและมีฝีมือในการทำอาหาร จะไม่สามารถปรุงแต่งออกมาให้ได้รสชาติกลมกล่อมเช่นนี้ได้

“ทูลพระชายาตอนนี้ท่านอ๋องทรงอนุญาตให้ตำหนักของพวกเราเปิดห้องครัวเล็กและปรุงอาหารเองได้แล้วเพคะ แม่ครัวที่ปรุงอาหารมื้อนี้วันนี้นางมีชื่อว่าไป๋หลานเพคะ”

“พูดถึงเรื่องชื่อข้ายังมิรู้จักชื่อของเจ้าเลย”

“หม่อมฉันต้องขออภัยพระชายาเพคะ ที่จริงหม่อมฉันต้องเป็นผู้แนะนำตัวก่อนที่ท่านจะสอบถาม หม่อมฉันมีนามว่าเหมยฮวาเพคะ”

นางแนะนำตนเองจบก็ย่อตัวลงไป แสดงการทำความเคารพแบบฉบับชาววังอย่างถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว

หลังจากอนุญาตให้นางทำตัวตามสบายแล้ว อู๋เสี่ยวหรันก็ตักโจ๊กสมุนไพรตรงหน้าขึ้นมากินต่อจนหมด หลังจากกินโจ๊กหมดแล้วก็จะถึงเวลาของการดื่มยา

ซึ่งมันยังอยู่ในโถที่มีน้ำร้อนด้านในอีกชั้น เพื่อให้ยาในถ้วยยังคงอุ่นอยู่ตลอด ซึ่งนี่ก็ทำให้อู๋เสี่ยวหรันได้เห็นถึงความใส่ใจดูแลในทุก ๆ สิ่งของสาวใช้ประจำตัวของนาง

หลังจากที่จัดการกับมื้อเช้าและยาเสร็จแล้ว อู๋เสี่ยวหรันต้องการที่จะออกไปเดินรอบ ๆ ตำหนักเพื่อสูดอากาศข้างนอกบ้าง เมื่อเห็นว่าเจ้านายจะออกไปด้านนอก สาวใช้จึงแนะนำให้นางเปลี่ยนเป็นชุดที่อบอุ่นมากกว่านี้

แต่เมื่อมองดูเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ตอนนี้และหันไปมองที่เหลือในตู้นางก็ตัดสินใจที่จะไม่ผลัดเปลี่ยนชุดอีก เพราะตอนนี้นางได้เลือกใส่ชุดสีขาวที่ปักเลื่อมรูปดอกไม้ผีเสื้อ ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างกับชุดอื่น ๆ ที่อยู่ในตู้เลย

เมื่อออกมาด้านนอกจึงพบว่าตำหนักของนางมีบริเวณกว้างใหญ่มีรั้วรอบขอบชิด ตกแต่งด้วยภูเขาจำลองน้ำตกจำลองดอกไม้ใบหญ้าถูกจัดตกแต่งได้อย่างสวยงามและยังมีสระบัวอยู่ด้านหลัง ศาลารูปแบบเก๋งจีนก็ดูเข้ากันเป็นอย่างดี ทำให้เห็นได้ว่าเจ้าของจวนทุ่มเทกับตำหนักแห่งนี้มากทีเดียว

แม้ทุกอย่างจะสวยงามแต่ก็เป็นความสวยงามแบบผู้ที่อยู่ในสรวงสวรรค์ มองไปทางไหนล้วนเป็นสีเขียวสีขาวสีชมพูอ่อน ช่างไร้จิตวิญญาณและความสดใสยิ่งนัก

และก็เป็นเช่นเคยด้วยร่างกายที่อ่อนแอนี้ นางไม่สามารถเดินด้วยตัวคนเดียวได้ ยังคงเป็นเหมยฮวาสาวใช้คนเดิมที่คอยประคองนางออกมาเดินช้า ๆ เพราะรอบตัวนางไม่มีสาวใช้หรือนางกำนัลคนอื่นอีก ช่างผิดวิสัยของพระชายาเอกนัก มีตำแหน่งสูงสงเพียงนี้อย่างน้อยในยามที่ออกจากเคหสถาน ต้องมีสาวใช้คนสนิทและเหล่ามามาอีกเป็นกระพรวนติดตามอย่างใกล้ชิด

แต่ถึงอย่างไรตอนนี้นางยังไม่สามารถเข้าถึงความทรงจำของอู๋เสี่ยวหรันได้จึงไม่เข้าใจอยู่บ้าง และยังไม่กล้าถามออกไปเกรงว่าจะทำให้คนอื่นสงสัยได้ แต่เมื่อไม่มีใครทักท้วงอันใดเลยนางจึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปก่อน

ในที่สุดพวกนางทั้งสองก็มายืนอยู่ด้านหน้าสวนดอกไม้ ที่มีภูเขาจำลองพร้อมกับเสียงน้ำไหลจนได้

“เรียกคนสวนมาเปลี่ยนดอกไม้ในสวนทั้งหมด ข้าต้องการดอกไม้สีแดงและสีเหลืองจะเป็นชนิดใดก็ได้ ขอเพียงเปลี่ยนของเก่าสีขาวและชมพูอันจืดชืดนี้ออกไปทั้งหมดก็พอ”

อู๋เสี่ยวหรันหันไปบอกกับเหมยฮวา

“เพคะ …พระชายากลับไปที่ห้องก่อนดีหรือไม่เพคะ ที่ตรงนี้ลมเริ่มแรงขึ้นแล้ว”

“ได้สิ”

เหมยฮวารู้สึกแปลกใจกับท่าทีของพระชายาของนางเหลือเกิน พระชายาที่ตอนนี้เดินหลังตั้งตรง แม้เส้นเสียงจะยังคงแหบแห้งอยู่บ้าง แต่ลักษณะการพูดจาก็ฉะฉานมิได้พูดอยู่ในลำคอ หรือเดินห่อตัวเหมือนพระชายาก่อนที่จะป่วย แต่เป็นเช่นนี้ก็ดูสง่างามสมฐานะพระชายาเอกเช่นกัน

เมื่อทั้งสองพาร่างอันอ่อนแรงมาจนถึงเรือนนอน อู๋เสี่ยวหรันเลือกที่จะกลับไปพักอยู่ภายในห้องนอน

‘อ่อนแอเกินไปแล้วเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยหอบจนแทบหมดแรง’

อู๋เสี่ยวหรันบ่นอุบในใจแต่ครั้งนี้นางไม่ได้หลับเหมือนเมื่อวาน เพียงนั่งนิ่งพิงเตียงและนำหนังสือขึ้นมาอ่านโดยมีเหมยฮวาคอยเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ

เหตุการณ์ยังคงดำเนินไปเช่นนี้จนเข้าสู่ราตรีที่เจ็ด หลังจากการฟื้นคืนจากความตายอีกครั้งของเผิงเสี่ยวหรันผู้ที่บัดนี้ได้กลายเป็นอู๋เสี่ยวหรันแล้ว

ในทุก ๆ คืนที่ผ่านมานางจะใช้ความพยายามในการนั่งสมาธิ เพื่อเข้าถึงความทรงจำของร่างนี้ให้ได้ แต่ทุกครั้งเมื่อรู้สึกว่าคล้ายกับจะนึกอะไรออก นางก็หมดเรี่ยวแรงและสติดับวูบไปเสียก่อน แต่ยิ่งนานวันนางก็รู้สึกว่าตนเองสามารถนั่งสมาธิได้นานขึ้น เวลาที่นางสามารถประคองสติได้ก็นานยิ่งขึ้น และยังมองเห็นความทรงจำมันแจ่มชัดขึ้น น่าจะเป็นเพราะอาหารบำรุงและยาที่นางได้รับมาอย่างสม่ำเสมอตลอดหลายวันที่ผ่านมา

ค่ำคืนนี้ก็เช่นกันมองดูพระจันทร์ด้านนอก เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงแสงที่ส่องเข้ามาช่างสว่างไสวเป็นสีทอง ราวกับบรรยากาศช่างเป็นใจเหลือเกิน นางนั่งสมาธิอยู่บนเตียงนอนอีกครั้ง พร้อมกับเรียกชื่อของอู๋เสี่ยวหรันในใจไปด้วย ไม่รู้ว่าการนั่งสมาธิครั้งนี้กินเวลาไปนานเท่าไร ในที่สุดก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงขึ้นในห้วงภวังคจิตที่เคยมืดมิด

เหมือนร่างกายและวิญญาณของอู๋เสี่ยวหรันคงจะตอบรับคำขอของนาง เพราะจู่ ๆ นางก็หลุดออกจากภวังค์แห่งสมาธิเข้าไปอยู่ยังห้องมืด ๆ ที่ไม่มีแม้แสงใด แม้แต่มือของตัวเองนางยังมองไม่เห็น

ไม่นานนักก็เกิดแสงสว่างเล็ก ๆ เพียงแค่เท่าแสงจากหิ่งห้อย แล้วขยายกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนแสงเล็กจ้อยกลายเป็นลูกไฟที่ขยายออกอย่างไม่มีสิ้นสุดครอบคลุมห้องมืด ๆ ทั้งหมด กลายเป็นความสว่างไสว ที่สว่างจนนางต้องปิดตาลงเพื่อปรับให้มองเห็นในแสงนั้นได้

ตัวของนางยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ก้าวไปไหน แต่ภาพต่าง ๆ กลับวิ่งผ่านตัวนางไป เริ่มจากเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ มัดผมจุกสองข้างมีกระดิ่งเล็ก ๆ ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งเบา ๆ ประดับอยู่บนเรือนผม เด็กคนนั้นดูน่ารักสวยงามสมวัยสดใสร่าเริงยิ่งนัก นางกำลังวิ่งเล่นกับเด็กชายอีกคนที่ดูโตกว่าเล็กน้อย ใบหน้าของเด็กชายคนดังกล่าวหากนางจำไม่ผิดนั่นคือเฉิงอ๋องในวัยเด็กนั่นเอง

เด็กหญิงวิ่งผ่านไปก็เปลี่ยนเป็นภาพของเด็กหญิงผู้นั้นค่อย ๆ เติบโตและเติบโต จนกระทั่งภาพความโศกเศร้าที่มารดาและบิดาของนางตกตายพร้อม ๆ กันหลังจากนั้นอำนาจที่เคยมีก็ถูกแย่งชิงไป เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เพียงคนเดียวไม่มีความสามารถที่จะสู้อันใดได้

หลังจากนั้นเด็กหญิงก็กลายเป็นเป็นเด็กสาว นางถูกเลี้ยงดูมาโดยมารดาของเฉิงอ๋องผู้ที่เป็นป้าแท้ ๆ ของนางเอง นางเติบโตขึ้นมาด้วยความรักและความทะนุถนอมแทบจะไม่แตกต่างจากการเลี้ยงดูของมารดาแท้ ๆ และยังดูเหมือนว่าจะถูกตามอกตามใจมากกว่ามารดาเสียอีก

อาจจะเป็นเพราะอู๋เสี่ยวหรันผ่านการสูญเสียครั้งใหญ่ ทำให้ท่านป้าของนางพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้นางคลายเศร้า

จนกระทั่งเติบโตถึงวัยที่พร้อมจะออกเรือน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังได้รับการปกป้องจากมารดาของเฉิงอ๋องและตัวเฉิงอ๋องเองตลอดมา จนกระทั่งปรากฏภาพการแต่งงานเป็นพระชายาเอกแห่งเฉิงอ๋อง

ชีวิตในแต่ละวันอู๋เสี่ยวหรันแทบจะไม่ออกไปไหนมาไหน นางจะอยู่เพียงในบริเวณตำหนักของตัวเอง แม้แต่จะทำหน้าที่ของพระชายาเอก นางก็ยังเลือกที่จะไม่ยุ่งเกี่ยวอำนาจในจวนอ๋องแห่งนี้จึงตกไปอยู่กับพระชายารองแซ่โจว ที่มาจากจวนโจวกั๋วกงที่ยิ่งใหญ่นั่นเอง

ในภาพความทรงจำเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน อู๋เสี่ยวหรันเองก็สังเกตเห็นซูเม่ยสาวใช้คนสนิทที่ติดตามรับใช้นางมาตั้งแต่เด็กเริ่มเปลี่ยนไป ซูเม่ยเริ่มแต่งเนื้อแต่งตัวมีเครื่องประดับมากมายขึ้น แต่เมื่อสอบถามซูเม่ยเพียงบอกว่านางกำลังมีคนรัก ดังนั้นจึงอยากแต่งเนื้อแต่งตัว อู๋เสี่ยวหรันเห็นดังนั้นนางจึงแค่ยิ้มรับพร้อมแสดงความยินดีและไม่สาวความต่อด้วยเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจ

และช่วงเวลานั้นเองที่ร่างกายของอู๋เสี่ยวหรันเริ่มอ่อนแอลงเรื่อย ๆ จนรู้สึกได้ แต่นางคิดว่าร่างกายของนางก็อ่อนแอมาตลอดอยู่แล้วจึงไม่ได้เอะใจอันใด เพียงให้ท่านหมอในจวนตรวจอาการและดื่มยาบำรุงเท่านั้น

ช่วงเวลานั้นน่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เผิงเสี่ยวหรันที่อยู่ต่างแคว้น กำลังตั้งครรภ์และถอนตัวออกจากการเป็นกุนซือควบคุมชายแดน กลับไปยังเมืองหลวงเพื่อรับการแต่งตั้งขึ้นเป็นฮองเฮาแห่งต้าเลี่ย และนั่นเองที่โศกนาฏกรรมในชีวิตนางก็เกิดขึ้นจากคนรักและเพื่อนรักของนางเอง

ภาพในหัวเปลี่ยนไปอีกครั้ง ปรากฏเป็นเหตุการณ์เมื่อสองเดือนก่อน ตอนนั้นร่างกายของอู๋เสี่ยวหรันอ่อนแอจนกระทั่งลุกจากเตียงไม่ไหว แต่ยังมีสติรับรู้และสามารถพูดคุยได้

ขณะนั้นยังคงเป็นซูเม่ยสาวใช้คนสนิทที่ป้อนข้าวป้อนน้ำดูแลนางเป็นอย่างดี นั่นเป็นความทรงจำสุดท้ายก่อนที่สติจะดับวูบลงไป อู๋เสี่ยวหรันนอนเป็นเจ้าหญิงนิทรา จนวิญญาณล่องลอยออกไป ทำให้เผิงเสี่ยวหรันมีโอกาสเข้ามาอยู่ในร่างนี้แทน

ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ที่วิ่งผ่านตัวนางอย่างเร็วและเร็วขึ้นไปอีก จนในที่สุดภาพทั้งหลายก็สิ้นสุดลง แสงที่เคยสว่างก็ดับวูบราวกับมีใครมาเป่าตะเกียงให้ดับไป รวมถึงสติรับรู้ของนางด้วยกายเนื้อของนางล้มตัวลงนอนอีกครั้งทั้งที่ยังอยู่ในท่านั่งสมาธิอยู่

เช้าวันรุ่งขึ้นอู๋เสี่ยวหรันที่ตื่นขึ้นมาจากการปลุกของสาวใช้ผู้เฝ้าหน้าประตู

“ขออภัยพระชายาเพคะท่านอ๋องทรงเรียกหาเพื่อให้ท่านร่วมกินอาหารเช้าพร้อมกันเพคะ”

“ได้สิ...มาช่วยข้าหน่อย” อู๋เสี่ยวหรันที่เพิ่งจะรับความทรงจำมานางค่อนข้างมึนงงสับสนอยู่บ้าง แต่ด้วยความช่วยเหลือจากเหมยฮวา นางก็สามารถประคองตนเองมาถึงห้องโถงจนได้
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel