ตอนที่ 14 หมอพเนจร
“อะแฮ่มบ่าวขออภัยที่เสียมารยาทเจ้าค่ะ” เหมยฮวาได้สติก่อนเพื่อน เหลียนฮวาอุทานออกมา “พระชายาท่านช่างดูแตกต่างและเหมือนคุณชายหน้าหวานแถวหอจิ๋วโหย่วมากเลยเจ้าค่ะ”
“หอจิ๋วโหย่วนั่นมันหอชายงามนี่ เหลียนฮวานี่เจ้าอยากจะหัวหลุดจากบ่าหรือไรกัน ตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้นะ” เหมยฮวาหันไปเอ็ดใส่เหลียนฮวา
“หยุด ๆ ข้าจะออกไปได้อย่างไรที่จะไม่มีใครเห็น”
“บ่าวนำทางเองเจ้าค่ะ บ่าวมีเส้นทางที่หน่วยของเราให้เข้าและออก บ่าวรับใช้แล้วก็คนอื่น ๆ ภายในจวน ที่ไม่เกี่ยวข้องจะไม่รู้เส้นทางนี้เลย”
“เยี่ยมมาก”
แล้วทั้งสองก็เดินตามกันออกไปทางด้านประตูหลังของตำหนัก ทิ้งไว้เพียงสายตาร้อนรนและเป็นห่วงของสาวใช้อีกสี่คนที่เหลือ
เหลียนฮวานำทางอู๋เสี่ยวหรันเดินมาทางด้านทิศตะวันตกของตำหนัก ทางด้านนี้ปกติจะเป็นส่วนที่ใช้พักอาศัยขององครักษ์พิเศษ และเป็นลานฝึกยุทธ์ของท่านอ๋อง
ดังนั้นพื้นที่ตรงนี้หากมิใช่ผู้ที่ได้รับอนุญาต ก็จะไม่สามารถผ่านเข้าออกได้โดยง่าย บ่าวรับใช้ที่เป็นสตรีและหญิงเรือนหลังทั้งหมด จะไม่ได้รับอนุญาตเช่นกัน
ส่วนของพื้นที่ตรงนี้มีกำแพงสูงกั้นอยู่ มีทหารยามเฝ้าอยู่สองคน อู๋เสี่ยวหรันยังสังเกตเห็นว่ามีคนที่แอบซุ่มอยู่ด้านบนกำแพงอีกด้วย แสดงว่าที่ด้านนี้ค่อนข้างจะมีความสำคัญอยู่ในระดับสูง
เหลียนฮวาถูกขวางทางไว้ที่หน้าประตู แต่เมื่อนางดึงเอาหยกประจำตัวยื่นไปด้านหน้าของทหารยามทั้งสอง พวกเขาก็ถอยออกมาและกลับไปเฝ้าอยู่คนละด้านเช่นเดิม ปล่อยให้อู๋เสี่ยวหรันและเหลียนฮวาเดินเข้าไปได้โดยสะดวก
“บ่าวเป็นคนของหน่วยพิเศษและยังเป็นคนของพระชายา ท่านอ๋องจึงได้อนุญาตให้เข้านอกออกในได้ตามสะดวกเจ้าค่ะ”
อู๋เสี่ยวหรันได้ฟังที่เหลียนฮวาอธิบายนางก็พยักหน้าเข้าใจ เหลียนฮวาพานางเดินเลี้ยวออกไปทางด้านขวาที่มีลักษณะเป็นซุ้มประตูดอกไม้ ดูแล้วก็เหมือนทั่วไปไม่ได้แตกต่างจากการจัดสวนที่เป็นที่นิยมกัน
แต่แล้วเมื่อก้าวเข้าไปด้านในอู๋เสี่ยวหรันจึงรู้ได้ทันที ว่าที่นี่เป็นประตูทางเข้าค่ายกล หากนางมิใช่ผู้ที่ได้เรียนรู้และศึกษาค่ายกลมาตั้งแต่เด็กคงไม่รู้แน่นอน มองผิวเผินอาจจะเป็นทางเดินคดเคี้ยวไปมา แต่ทุก ๆ พื้นที่จะมีสัญลักษณ์บางอย่างที่แตกต่างกับจุดอื่น ๆ ทำให้เหลียนฮวาที่เป็นผู้นำทางสามารถผ่านทางได้อย่างราบรื่น
หลังจากที่เดินเลี้ยวไปมาอยู่พักใหญ่ ระยะทางที่อู๋เสี่ยวหรันคำนวณตามการก้าวเท้าของนาง นางคิดว่าการเดินมาไกลขนาดนี้พวกนางน่าจะอยู่ด้านนอกของตำหนักอ๋องแล้วก็เป็นได้
ในที่สุดเหลียนฮวาก็พามาถึงกำแพงที่ทำมาจากอิฐมีตะไคร่ขึ้นประปราย ที่ตรงนั้นมีประตูเหล็กขนาดพอให้สองคนเดินเข้าออกได้เท่านั้น เหลียนฮวาใช้วิธีการเคาะจังหวะที่ประตู ไม่นานก็มีเสียงดังกึกกักและประตูก็ถูกเปิดออก
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออกเสียงจ้อกแจ้กจอแจและบทสนทนาที่ฟังไม่ได้ศัพท์ก็ดังเข้ามา เหลียนฮวาเดินนำหน้าออกไปก่อน จากนั้นจึงหันส่งสัญญาณให้อู๋เสี่ยวหรันเดินตามออกไป
ทางที่พวกนางโผล่ออกมานี้ เป็นร้านหนังสือที่ดูเก่าแก่และเงียบเชียบ เสียงที่ได้ยินตอนแรกนั้นดังมาจากหน้าร้าน ประตูนี้อยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานของผู้ดูแล เขาดูมีอายุประมาณห้าสิบปีได้ ไว้เคราแพะสีเกือบขาวทั้งหมด ดูเป็นผู้อาวุโสที่ชื่นชอบการอ่านเป็นอย่างยิ่ง
ไม่มีคำทักทายหรือคำพูดจาใด ๆ เพียงแค่เหลือบมองด้วยหางตาเท่านั้น ส่วนเหลียนฮวาเองก็ดูจะไม่ได้สนใจเขาเช่นกัน อู๋เสี่ยวหรันมองไปรอบ ๆ ร้านนี้ไม่มีลูกค้าแม้แต่คนเดียว เห็นเพียงบ่าวที่เช็ดทำความสะอาดชั้นหนังสือเพียงคนเดียว
“ออกไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
“อืม”
อู๋เสี่ยวหรันปรับท่าทางให้ดูเป็นคุณชายที่เพิ่งจะเดินออกมาจากร้านหนังสือ หลังจากที่เดินพ้นประตูร้านหนังสืออันดูมืดมนและอึมครึม บรรยากาศด้านนอกช่างแตกต่างกับด้านในลิบลับ ถนนเส้นนี้ดูเป็นย่านการค้าที่มีผู้คนเดินขวักไขว่เสียงแม่ค้าพ่อค้าร้องตะโกนเรียกลูกค้าแข่งกัน มีเด็ก ๆ วิ่งเล่นหัวเราะอย่างเริงร่า
“ทางนี้ขอรับคุณชาย”
เหลียนฮวาดัดเสียงเล็กน้อยแล้วหันมาบอกกับนาง
อู๋เสี่ยวหรันไม่ได้ตอบอะไรเพียงพยักหน้าและเดินตามเหลียนฮวาไป ทั้งสองเดินไปตามเส้นทาง จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่ร้านที่ให้บริการรถม้าและเกวียนจ้าง
“คุณชายทั้งสองวันนี้ต้องการรถม้าหรือเกวียนดีขอรับ”
เด็กหนุ่มที่ให้อาหารม้าอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นว่ามีลูกค้ามาเขาก็โยนหญ้าในมือทิ้ง และออกมาต้อนรับทั้งสองทันที
“ข้าต้องการจ้างรถม้า”
“ได้ขอรับนายท่านเชิญทางนี้ ข้าจะเป็นผู้ขับรถม้าให้พวกท่านเอง ไม่ทราบว่าคุณชายทั้งสองต้องการไปที่ใดขอรับ”
“ไปโรงเตี๊ยมหวงเซ่อ”
ตอนที่เหลียนฮวาบอกกับคนขับรถม้า อู๋เสี่ยวหรันก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ โรงเตี๊ยมประเภทไหนถึงได้ใช้ชื่อว่าหวงเซ่อที่หมายถึงสีเหลือง
รถม้าที่พวกนางนั่งมีลักษณะกลางเก่ากลางใหม่ ขนาดไม่ได้ใหญ่มากเพียงพอให้คนสี่คนขึ้นมานั่งได้ แบบที่ต้องนั่งใกล้ชิดกัน
“จากที่ตรงนี้ไปพวกเราต้องนั่งรถม้าประมาณสองเค่อขอรับคุณชาย”
“เข้าใจแล้ว” อู๋เสี่ยวหรันแง้มผ้าม่านออกเล็กน้อย เพื่อมองบรรยากาศด้านนอก ระหว่างทางที่พวกนางไปทางฝั่งของประตูเหมันต์นั้น เริ่มแรกผู้คนก็ดูมากหน้าหลายตา แต่เมื่อรถม้าวิ่งไปได้สักระยะ ก็เริ่มที่จะไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรมากนัก
ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นกำแพงบ้าน เมื่อพ้นระยะออกมาก็จะเป็นบ้านของชาวบ้านธรรมดาที่ปลูกติด ๆ กัน บางครั้งนางก็ยังเห็นชาวบ้านออกมาใช้ชีวิตบ้าง
“ถึงแม้ว่าที่นี่จะอยู่ในเขตเมืองหลวง แต่ฝั่งประตูเหมันต์เป็นเขตเสื่อมโทรมเจ้าค่ะ คนส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่จะมีฐานะยากจนและเป็นคนเร่ร่อนขอทาน อีกอย่างที่ด้านนี้ไม่ค่อยมีผู้คนออกมาให้เห็นมากนัก นั่นก็เป็นเพราะออกไปจากประตูเหมันต์แล้ว ที่ตรงนั้นจะเป็นแหล่งรวมของคนที่เป็นประเภท อืม คนกักขฬะรวมตัวกันอยู่ทั้งนั้นเจ้าค่ะ เอ่อ ขอรับ”
อู๋เสี่ยวหรันได้ฟังคำอธิบายของเหลียนฮวานางก็พยักหน้ารับ นางใช้เวลามองนอกรถม้าอีกชั่วครู่ ก็หันกลับมานั่งตรงด้านในตามเดิม
“เหลียนฮวาปกติเจ้าก็รู้วิชาแพทย์อยู่แล้วทำไมทุกครั้งที่ข้าอาการไม่ดีถึงต้องตามหมอจงด้วย”
“บ่าวพอรู้วิชาแพทย์ก็จริงแต่ก็รู้เพียงผิวเผินเท่านั้น บ่าวสามารถตรวจชีพจรวิเคราะห์โรคเบื้องต้นได้ แต่ที่บ่าวถนัดจริง ๆ คือการใช้พิษและการถอนพิษมากกว่าเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่ชอบการรักษาโรคงั้นหรือ”
ได้ฟังคำถามจากเจ้านายเหลียนฮวาก็ทำหน้าคิดเล็กน้อยแล้วตอบว่า “ความจริงก็ชอบนะเจ้าคะแต่เรื่องของพิษมันน่าสนใจมากกว่า บ่าวเกรงว่าหากเรียนเรื่องการรักษาโรคด้วย จะทำให้เสียเวลาเรียนเรื่องพิษเจ้าค่ะ”
“แต่ข้าอยากให้เจ้าศึกษาเรื่องการรักษาไว้ด้วยนะ หากมีเจ้าดูแลสุขภาพให้ ข้าเองก็จะสบายใจมากกว่าที่จะต้องเรียกหมอจงในทุก ๆ ครั้ง อีกอย่างอายุเจ้ายังไม่มากเท่าไรไม่เสียเวลาหรอก”
“จริงหรือเจ้าคะถ้าเช่นนั้นบ่าวจะศึกษาวิชาการแพทย์ให้ดีเจ้าค่ะ”
ดวงตาของเหลียนฮวาเป็นประกาย ที่ใครก็ดูออกว่านางพูดออกมาด้วยความเต็มใจ
อู๋เสี่ยวหรันส่งรอยยิ้มเจิดจ้าให้กับเหลียนฮวา นั้นทำให้เหลียนฮวาตกตะลึงจนเหม่อลอยไป
“นี่ ๆ” อู๋เสี่ยวหรันเห็นนางชะงักงันไปก็โบกมือไปมาตรงหน้าเพื่อเรียกสติ
“อ๊ะ! พระชายาขออภัยเจ้าค่ะรอยยิ้มของท่านเมื่อครู่ งดงามมากจริง ๆ ทำเอาบ่าวสติหลุดลอยไปเลย”
“ฮ่า ๆ เหลียนฮวาเจ้ามีอะไรก็พูดออกมาตรง ๆ เช่นนี้ตลอดเลยหรือ”
“โถ่พระชายา” เหลียนฮวารู้สึกอับอายจนใบหน้าแดงซ่านไปหมด
“นายท่านพวกเรามาถึงแล้วขอรับ” คนขับรถม้าส่งเสียงเข้ามาและหยุดรถ
เหลียนฮวาเปิดผ้าม่านเมื่อมองออกไป จนแน่ใจแล้วว่าพวกนางมาถูกต้อง จึงได้เดินลงไปพร้อมกับเปิดผ้าม่านให้กับผู้เป็นนาย และให้คนขับรถม้ารอจนกว่าพวกนางจะเสร็จธุระ โดยไม่ลืมที่จะเพิ่มค่าน้ำชาให้กับเขาด้วย
โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีสองชั้นด้วยกัน ดูเก่าแต่ก็สะอาดสะอ้านดี อู๋เสี่ยวหรันมองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรบ่งบอกว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีสีเหลืองเหมือนกับชื่อเลย
ด้านล่างมีโต๊ะอยู่สี่ตัวด้วยกัน มีเพียงตัวเดียวที่มีลูกค้านั่งอยู่ เสี่ยวเอ้อที่อยู่ด้านหน้าเห็นพวกนางยืนอยู่ด้านนอก แต่เขาเพียงมองอย่างสงสัยไม่ได้ออกมาต้อนรับ อาจจะเป็นเพราะพวกนางแต่งกายด้วยผ้าเนื้อดีผิวพรรณดูแล้วไม่น่าจะเป็นคนที่อยู่แถวนี้ได้ แต่แล้วเมื่อเห็นว่าทั้งสองยังคงยืนอยู่ไม่ไปไหน เขาจึงตัดสินใจออกมา
“คุณชายทั้งสองต้องการห้องพักหรือไม่ขอรับ โรงเตี๊ยมของเรามีห้องว่างที่สะอาด มีบริการอาหารและสุราด้วยนะขอรับ” เขาถามด้วยท่าทางสุภาพ
“ข้ามาตามหาท่านหมอพเนจรได้ข่าวว่าเขาพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมนี้”
เหลียนฮวาเดินหน้ามากั้นระหว่างเสี่ยวเอ้อกับพระชายา
“คุณชายมาถูกที่แล้วขอรับ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ เพิ่งจะออกไปเมื่อสักครู่”
“ไปแล้ว! ไปที่ไหนหรือพี่ชายพอจะรู้หรือไม่”
เสี่ยวเอ้อไม่ได้ตอบไปทันที เขามองหน้าเหลียนฮวาเล็กน้อยและก็ชะเง้อไปมองหน้าของอู๋เสี่ยวหรันด้วย
“พวกท่านมีคนใดคนหนึ่งป่วยอย่างนั้นหรือ หรือว่าต้องการจะมาเชิญให้เขาไปรักษาคนกัน”
เหลียนฮวาเห็นดังนั้นนางจึงยัดเงินตำลึงใส่มือของเขาไป เสี่ยวเอ้อเองก็รับเงินไว้โดยไม่แบมือออกดูว่าด้านในมีมูลค่าเท่าไร เขาเพียงกำ ๆ เอาไว้และก็ยกยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“ทุกวันเขาจะไปที่วัดร้างข้างกำแพงเก่า ไปรักษาคนเร่ร่อนที่นั่น พวกท่านไปที่นั่นอาจจะได้เจอเขาก็ได้ แต่ข้าน้อยขอเตือนท่านด้วยความหวังดี หมอพเนจรไม่รับรักษาคนรวย พวกท่านไปหาหมอที่โรงหมอใหญ่ ๆ เถิดจะได้ไม่เสียเวลา”
“ขอบใจมากพี่ชาย” เหลียนฮวาตอบเขาและหันหลังมาหาอู๋เสี่ยวหรัน กระซิบเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน
“คุณชายจะตามไปหรือไม่ขอรับ”
“ไปสิพวกเราออกมาไกลขนาดนี้แล้ว”
“แต่ที่นั่นมีแต่คนเร่ร่อน ขอทานและคนป่วย สกปรกมากนะขอรับ”
“ไม่เป็นไรพวกเราไปดูก่อน”
เมื่อห้ามเจ้านายไม่ได้เหลียนฮวาจึงเรียกให้คนขับรถม้าเตรียมรถ เพื่อพาไปที่วัดร้าง ตามคำบอกเล่าของเสี่ยวเอ้ออีกครั้ง และนางยังเพิ่มเงินตำลึงให้กับเขาเป็นสามเท่าของค่าแรงแบบเหมารถม้าทั้งวัน คนขับรถได้เงินจากพวกนางทั้งสองมากกว่าทำงานทั้งเดือนเสียอีกมีหรือเขาจะไม่ยินดี